ไหปีศาจ - บทที่ 1069 ดวงจันทร์ในกลางวัน
บทที่ 1069 ดวงจันทร์ในกลางวัน
”ตอนนี้พวกเจ้าพักผ่อนที่นี่เถอะ”
ลั่วอู๋สงบอารมณ์ของฝูงชนอยู่พักหนึ่ง เมื่อรู้เหตุและผลที่เกิดแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่าง
”นารุ ไปกันเถอะ”
”ขอรับ”
นารุมีสีหน้าอาฆาต
”เราไม่ได้จะไปฆ่าคน เรากำลังจะไปช่วยชีวิตคนต่างหาก” ลั่วอู๋เหลือบมองเขา “นรกมนตรายังไม่บุกมา เราจะไปจัดการมันทีหลัง”
นารุดึงจิตสังหารกลับไปอย่างเชื่องช้า “ขอรับ”
ฉูหนิงซวงก็อาสาที่จะตามไปด้วย ลั่วอู๋ก็ไม่ได้คัดค้าน
“นายท่าน โปรดพาพวกเราไปด้วย” กูระไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บของตัวเองและกล่าวอย่างรีบร้อน
ลั่วอู๋ขมวดคิ้ว “ตอนนี้เจ้าอ่อนแอเกินไป พักผ่อนเถอะ มีคนของเผ่าเจ้าอยู่ในห้องตีเหล็ก ไปบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเถอะ”
”ไม่!”
”ไม่จำเป็น.”
ทั้งเจ็ดปฏิเสธความเมตตาของลั่วอู๋พร้อมกัน
“ชีวิตของเราไม่ควรสูญเปล่าไปกับการพักผ่อนที่ไร้ความหมาย” กูระกล่าวอย่างจริงจัง “นายท่าน ได้โปรดพาพวกเราไปด้วย ให้เราได้ทำสิ่งที่ควรทำในตอนนั้นเถอะ ”
“ใช่ ใช่” อีกหกคนเห็นด้วย
ชีวิตของพวกเขาเหลืออยู่ไม่นาน การพักผ่อนเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายที่สุด
ลั่วอู๋มองไปที่ใบหน้าที่คุ้นเคยของทั้งเจ็ดคนและไม่สามารถปฏิเสธได้ “ตกลง พวกเจ้ามากับข้าก็ได้”
พวกเขาออกเดินทางโดยไม่ชักช้า
“เจ้าจำได้มากแค่ไหน?” ลั่วอู๋ถาม
“ข้าเหมือนจะจำได้ว่าฆ่าคนไปสองสามคน แต่ข้าจำรายละเอียดไม่ได้จริง ๆ” กูระพยายามนึก
ท้ายที่สุด เมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของปรมาจารย์ปีศาจแห่งหว่านเซียง สติสัมปชัญญะทุกอย่างก็ถูกสะกดไว้จริง ๆ
มันยากมากที่จะจำเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ได้
”แล้วพวกเจ้าล่ะ?” หลังจากถามกูระแล้วเขาก็หันไปถามคนอื่น ๆ
คนอื่น ๆ ก็ส่ายหน้าเช่นกัน “ข้าจำได้แค่รางๆ เหมือนกัน”
“ข้าคิดว่าข้าฆ่าไปเจ็ดคน”
“ข้าจำได้แค่ว่าเห็นหินวิญญาณจำนวนมาก แต่ข้าไม่ได้หยิบมาสักก้อนเลย”
“ไฟ มีไฟไหม้ และเสียงกรีดร้อง นอกนั้นข้าก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
ปากของลั่วอู๋กระตุกเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ดูเหมือนว่าพวกเขาได้ทำเรื่องเลวร้ายมากมายในช่วงที่ถูกควบคุม
แต่ในเวลานี้ มีคนพูดอย่างครุ่นคิดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าข้าฆ่าคนไปคนหนึ่ง ส่วนความทรงจำราง ๆ ที่เหลือทั้งหมดเกี่ยวข้องกับทะเลทราย”
”ทะเลทราย! ทะเลทรายแบบไหน?” ลั่วอู๋ถาม
”ข้าจำไม่ได้ ข้าแค่รู้สึกว่ามันกว้างใหญ่จนมองไม่เห็นขอบของทะเลทรายเลย”
”ไม่นะ!” หัวใจของลั่วอู๋เต้นแรง
มีทะเลทรายมากกว่าหนึ่งแห่งทั่วทั้งทวีปนี้
แต่แน่นอนว่าทะเลทรายที่ขนาดที่ใหญ่ที่สุดคือทะเลทรายของป่าหวงชา
ยิ่งไปกว่านั้นป่าหวงชายังเป็นที่ผนึกนรกมนตรา
“มันเป็นแผนการของเขาจริง ๆ ด้วย มันไม่ใช่การฆ่าคนระบายความโกรธธรรมดา ๆ เพื่อก่อความวุ่นวาย” ลั่วอู๋พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ไปกันเถอะ”
ไม่มีเวลาหยุดพักแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงตรงไปที่ป่าหวงชา
การฆ่าบุคคลสำคัญในทางธุรกิจและการปกครองเป็นเพียงการกระทำบังหน้า เป้าหมายสูงสุดของปรมาจารย์ปีศาจแห่งหว่านเซียงยังคงเป็นผนึก
เข้าใจได้ไม่ยาก
ถ้าจะบอกว่าปรมาจารย์ปีศาจตนไหนอยากออกมามากที่สุดก็ต้องปรมาจารย์ปีศาจแห่งหว่านเซียง
เขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้ปกครองมนุษย์และกลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่เพื่อสนองความต้องการที่ผิดปกติของเขา
ลั่วอู๋ไม่มีเวลาแม้แต่จะไปหาตัวช่วย เขาพาหลี่หยินและเจียโรวออกจากโลกไหโดยตรง “หลี่หยิน ไปที่สำนักเฉียนหลงและแจ้งรองเจ้าสำนักเพื่อให้เขาพาคนมาช่วยเพิ่ม”
หลี่หยินพยักหน้าและกลายเป็นเงาดำ
“เจียโรว ไปที่ค่ายหน่วยสยบมังกร แล้วแจ้งหลงเซี่ยกับผู้บัญชาการหลิงหลง ถ้าเป็นไปได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไปยังอาณาจักรโบราณหมื่นอมตะด้วย” ลั่วอู๋กล่าวเสริม
ผนึกเริ่มไม่มั่นคงไปแล้วเล็กน้อย
หากมีอุบัติเหตุ เกรงว่ามีเพียงราชินีภูติเท่านั้นที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
เจียโรวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็พยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
แล้วนางก็บินจากไปอย่างรวดเร็ว
ลั่วอู๋โบกมือและใส่ทุกคนลงในไหปีศาจชั่วคราว
“จื่อซวน!”
เขาส่งเสียงคำรามเบา ๆ
ดาบใสเริ่มส่งเสียง และปรากฏขึ้นในพริบตา เงาดาบกลายเป็นปราณดาบคมกริบ ลั่วอู๋ขึ้นไปยืนบนดาบโดยตรง ทะลวงผ่านมิติและบินไปยังทิศทางของป่าหวงชา
เขากระตุ้นแก่นวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง ความเร็วของเขานั้นเร็วถึงขีดสุด
เป็นความเร็วที่มองไม่เห็นแม้แต่เงา
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ลั่วอู๋ก็มาถึงเขตป่าหวงชาที่คุ้นเคยอีกครั้ง ทรายสีเหลืองทอดยาวนั้นกว้างใหญ่ไพศาลและไร้ขอบเขต แต่เขาไม่มีเวลาที่จะพักหายใจ
เขาถามคนทั้งเจ็ดว่า “เจ้าจำสถานที่นั้นได้หรือไม่”
”ไม่จำเป็นต้องจำสถานที่ได้หรอก” กูระพูดอย่างรวดเร็ว “พวกเราชาวแซคมีวิธีไล่ตามคนของพวกเรา”
”งั้นก็ทำเลย” ลั่วอู๋เร่ง
กูระสูดหายใจเข้าลึก ๆ ผิวของเขากลายเป็นสีแดงเล็กน้อย และเส้นเลือดที่คอของเขาค่อย ๆ ตึงขึ้น จากนั้นเขาก็หยิบมีดออกมาแล้วแทงเข้าที่ต้นขาของเขา
ในชั่วพริบตา เลือดก็ไหลริน
เลือดได้ย้อมทรายสีเหลืองใต้เท้าให้เป็นสีแดงทันที
สีเลือดไม่ใช่สีแดงเข้มปกติ ซึ่งดูเหมือนจะมีจุดสีดำสองสามจุด แต่ก็ไม่ใช่ของจริง
ครั้งหนึ่งลั่วอู๋เคยคิดว่ามันเป็นเพราะเขาอยู่ในนรกมนตรา แต่การกระทำต่อไปของกูระทำให้ลั่วอู๋เปลี่ยนความคิด
”จงดื่ม!” กูระพึมพำ
เลือดของเขาลอยขึ้นช้าๆ แล้วกลายเป็นหมอกเลือดเต็มอากาศและลอยออกไป ดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงกลองโบราณดังขึ้นมาแต่ไกล
เสียงไม่มีอยู่จริง มันเหมือนฟ้าร้องในวิญญาณ
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ทักษะที่สอนโดยลั่วอู๋
มันไม่มีอยู่ในทักษะรูปแบบใด ๆ เลย
ต้องเป็นความสามารถเฉพาะของชาวแซคเท่านั้น
เป็นความจริงที่ว่าเลือดของชาวแซคนั้นไม่ธรรมดา ทายาทขององครักษ์ราชวงศ์ซุยหยุนนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ
ทักษะนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นทักษะลับซึ่งลั่วอู๋ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่เมื่อดูจากสีหน้าที่สงบของนารุเห็นได้ชัดว่าเขารู้อยู่แล้ว
“ฮึ่ม!”
“ฮึ่ม!”
เสียงเหมือนกลองสงครามดังขึ้นเรื่อย ๆ
กูระชี้ไปทางหนึ่ง “ที่นั่น”
เขาพบที่อยู่ของสหายของเขาแล้ว
”ดีมาก!” ลั่วอู๋พุ่งตรงไปพร้อมกับดาบของเขา นารุและพรรคพวกของเขาก็ตามไป
ใกล้กับส่วนลึกของป่าหวงชา หาดทรายสีเหลืองเต็มไปด้วยความรกร้างว่างเปล่า ที่นี่ไม่มีชีวิต และเกือบจะไม่มีทีมล่าสัตว์ใกล้ ๆ ที่นี่
เพราะส่วนลึกเป็นที่รวมของความแปลกประหลาดและความตาย
แต่ตอนนี้มีร่างเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งเดินไปมา
ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายด้วยสีแดงเข้มที่ผิดปกติ และอารมณ์ของพวกเขาก็แปลกมาก ระหว่างตำแหน่งของพวกเขาแสงเชื่อมกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ราวกับสอดคล้องกับดวงดาวบนท้องฟ้า
ลั่วอู๋เงยหน้าขึ้นราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
แม้ว่าท้องฟ้าจะยังไม่มืดสนิท แต่ท้องฟ้ากลับปรากฏเป็นพระจันทร์เต็มดวงที่สว่างสดใส พระจันทร์เต็มดวงมีดวงดาวที่ส่องแสงจำนวนหนึ่งกระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือแสงของดาวเหล่านี้เป็นสีดำ
ฉู่หนิงซวงกล่าวอย่างสงสัย “แปลกจัง เวลาตอนนี้น่าเป็นเที่ยงนี่ จะเห็นดวงจันทร์โดยไม่เห็นดวงอาทิตย์เลยได้อย่างไร?”
ใช่ แปลกมาก
แต่มันไม่ใช่ดวงจันทร์ที่ลั่วอู๋ให้ความสำคัญ เขากำลังมองดูดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า
“เก้า! เก้าดวง”
ลั่วอู๋คุ้นเคยกับรูปแบบการเรียงของดาวเก้าดวง
เขารู้สึกราวกับว่าเขาได้กลับสู่นรกมนตราราง ๆ