(ฝั่งเมืองหลวงของอาณาจักรแอนวอลเลล์)
” ท่านเมอร์ริอาร์ครับ ให้ไปเตรียมกำลังพลไปเตรียมตรวจสอบทันทีเลยไหมครับ ” หนุ่มนักเวทย์คนสนิทของจอมเวทย์เฒ่าเมอร์ริอาร์ พูดถามด้วยความกระตือรือร้น เด็กหนุ่มนักเวทย์คนดึงกล่าวคือ ลุค คนเดียวกับที่เข้ามารายงานเมอร์ริอาร์เมื่อคราวก่อนเรื่องการระเบิดแสงสีขาวครั้งใหญ่ทางตะวันตกนั่นเอง
” เจ้าจะบ้าหรือไง เอากำลังพลไปแล้วถ้าหากการระเบิดนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งมันช่วยอะไรได้หรือไง ! ” จอมเวทย์เฒ่าตะโกนออกไปอย่างเอือมระอา ยิ่งเห็นความเอาจริงเอาจังและเป็นงานของลุคยิ่งรู้สึกทำให้หงุดหงิด
” งะ-งั้นจะเอายังไงดีล่ะครับ ” ลุคถามอย่างระมัดระวังเนื่องจาก เมอร์ริอาร์เป็นจอมเวทย์หลวงที่ขึ้นชื่อว่าเอาแน่เอานอนไม่ได้ แถมยังเอาใจยากที่สุดในบรรดาคนที่ลุคทำงานด้วย ถ้าทำอะไรโดยไม่ทันคิดอีกคงไม่วายโดนด่ากลับมาเป็นชุดแน่ ๆ
” ให้ตายสิ เจ้าเนี่ยหัดใช้หัวบ้างสิ… ” เมอร์ริอาร์เอือมระอากับหนุ่มนักเวทย์คนสนิทอีกรอบ โดยทั่วไปแล้วเมอร์ริอาร์จะเป็นคนที่ไม่สอนอะไรตรง ๆ มักจะให้ผู้เรียนคิดด้วยตนเอง ส่วนเจ้าตัวจะคอยช่วยหนุนและใบ้ให้เท่านั้นถ้าหากนับความสามารถในการเป็นครูบาอาจารย์ก็ถือว่ายอดเยี่ยม แต่ด้วยความเป็นตาแก่เพี้ยน ๆ อย่างที่หลาย ๆ คนว่าทำให้ความไม่ค่อยได้รับการเคารพเท่าที่ควร
หากย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีก่อนเป็นปีที่ลุคพึ่งจะได้รับการบรรจุเข้าเป็นนักเวทย์ราชสำนักใหม่ ๆ ตอนนั้นลุคเป็นคนที่เอาจริงเอาจังและบ้างานเป็นอย่างมาก ลุคคิดเพียงแค่ว่าหน้าที่หรือภารกิจที่ได้รับมอบหมายมานั่นต้องทำให้สำเร็จโดยไม่มีอะไรบกพร่อง นั่นคือนิสัยดั้งเดิมของลุค แต่เมื่อมาเจอกับเมอร์ริอาร์ที่ผู้คนต่างยกย่องว่าเป็นจอมเวทย์หลวงของราชสำนักที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรแอนวอลเลล์เลยก็ว่าได้ เชื่อเสียงของเมอร์ริอาร์ไม่ใช่แค่นั้น แม้กระทั่งอาณาจักรหรือเมืองที่อยู่ต่างทวีปยังรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเมอร์ริอาร์เช่นเดียวกัน
ในตอนที่ลุคกำลังเรียนอยู่โรงเรียนเวทย์มนตรา ลุคก็ได้ยินชื่อเสียงของเมอร์ริอาร์อยู่ก่อนแล้วเลยเกิดความคาดหวังพอสมควร และรอคอยวันที่ตนจะได้ร่วมทำงานกับจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น แต่เมื่อความจริงในปัจจุบันที่จอมเวทย์หลวงผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นกลับเป็นแค่ตาแก่จอมขี้เกียจ วัน ๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง งานฝึกสอนส่วนใหญ่ก็โยนให้กับครูท่านอื่น ทำให้ลุคเกิดความไม่พอใจในตัวเมอร์ริอาร์ในช่วงแรกเป็นอย่างมาก
ใช่ นั่นแค่ช่วงแรกเท่านั้นถ้าหากไม่เกิดเหตุการณ์ตอนนั้นล่ะก็
เมื่อ 4 ปีก่อนหลังจากที่ลุคทำงานเป็นนักเวทย์หลวงของราชสำนักได้ 2 ปี ได้รับภารกิจในการไปปราบ ‘ ไฮดร้า ‘ มอนเตอร์ระดับ A ที่มีลักษณะเป็นงู 4 หัวขนาดใหญ่ที่อาศัยในหนองน้ำ แน่นอนว่าลุคไม่ได้ไปคนเดียว มีทั้งทหารระดับอัศวินอีกประมาณ 15 คน และยังมีนักเวทย์หลวงเหมือนกับลุคอีกถึง 5 คน รวมทั้งหมด 21 คนที่มีภารกิจไปปราบ ‘ไฮดร้า’
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบจะลืมหายใจ ระดับความอันตรายของ ‘ไฮดร้า’ อันตรายกว่าที่ทีมของพวกลุคคาดไว้มาก เพราะมันไม่ใช่แค่ตัวเดียวแต่มีถึง 2 ตัวนั่นเอง ในระหว่างที่ความหวาดกลัวกัดกินสติของลุคอยู่นั้นเพื่อนในทีมก็ตายกันไปทีละคนทีละคน จนสุดท้ายเหลือแค่ลุคคนเดียว เมื่อรู้ตัวว่าเหลือตัวคนเดียวและไร้ซึ่งทางหนี ทำให้หมดกำลังใจที่จะมีชีวิตต่อและได้แต่รอความตาย ในขณะที่ไฮดร้ากำลังพ้นไอกรดรุนแรงมานั้น เมอร์ริอาร์ที่ได้ตามมาสมทบเนื่องจากได้ยินเรื่องไฮดร้าที่มีสองตัว ก็กางกำแพงเวทย์ปกป้องลุคเอาไว้ และได้ทำการปราบไฮดร้าไปหนึ่งตัวก่อนที่อีกตัวจะดำน้ำหนีไป
เมอร์ริอาร์คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตลุคเอาไว้ และยังเป็นอาจารย์ที่เตือนสติให้ลุคอีกด้วยเพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นลุคที่เอาแต่โทษตัวเองว่าตนเป็นต้นเหตุให้เพื่อนให้ทีมทุกคนต้องตายจนเกือบจะลาออกจากราชสำนัก แต่เพราะถ้าเมอร์ริอาร์คอยช่วยเหลือแต่สอนอะไรหลาย ๆ อย่างจึงได้เข้าใจและยอมรับพร้อมทั้งให้อภัยกับตัวเอง นั่นสินะหลังจากวันนั้นก็ผ่านมาถึง 4 ปีแล้ว
” งั้นท่านจะเอายังไงครับ ” ลุคที่ขี้เกียจจะคิด ถามเมอร์ริอาร์กลับไปอย่างขอไปที นิสัยขี้เกียจและขอไปทีของลุคคงจะติดมาจากเมอร์ริอาร์แน่ ๆ
” ฟังนะ … เรายังไม่รู้ว่าการระเบิดนั้นคืออะไร แต่จากรายงานที่เรามีการระเบิดนั้นรุนแรงถึงขั้นที่ส่งผลกระทบมายังพื้นดินเลยทีเดียว เพราะงั้นจะเอากองพลจำนวนมากไปก็เท่ากับพากันไปตายเท่านั้น ทางที่ดีคือควรจะไปสืบหาข้อมูลด้วยคนน้อย ๆ นี่แหละดีที่สุด ” เมอร์ริอาร์แสดงความเห็นของผู้ทรงปัญญาให้เห็นเป็นครั้งแรกของวัน
” แล้วจะเริ่มสืบยังไงครับ ” ลุคถามในขณะที่หน้ายังนิ่งเฉย
” เจ้าบอกว่าใกล้ ๆ จุดที่ระเบิดมีหมู่บ้านแถวชายแดนใช่ไหมล่ะ งั้นก็ไปถามเอาจากชาวบ้านก็ได้นิ ส่วนคนที่จะไปยิ่งน้อยก็ยิ่งดี ที่สำคัญไปสืบแบบส่วนตัวจะดีกว่า ถ้าหากอ้างไปว่ามาจากเมืองหลวงเพื่อสืบเรื่องระเบิดสีขาวนั่นแล้วล่ะก็ชาวบ้านอาจจะไม่ยอมพูดอะไรออกมาก็ได้ ”
” งั้นใครจะไปบ้างครับ ” ลุคฟังอย่างเข้าใจและเห็นด้วยกับเมอร์ริอาร์ เลยถามต่อถึงเรื่องคนที่จะไป
” ก็เจ้ากับข้าไง สองคนก็เพียงพอแล้ว ” เมอร์ริอาร์พูดกลางเหล่ตามองลุคอย่างมีนัย
” เฮ้อ…ไม่พ้นแบบนี้อีกแล้วสินะครับ ” ลุคที่เดาได้ว่าเมอร์ริอาร์จะพูดอะไรต่อ ก็ถอนหายใจขอคาดหวังว่าให้ตัวเองคิดผิด เพราะเมอร์ริอาร์เป็นพวกชอบเคลื่อนไหวด้วยตัวเองแถมยังไม่เขียนรายงานส่งให้ทางราชสำนักอีกด้วย เพราะงั้นถ้าหากมีคนที่นอกเหนือจากลุคและเมอร์ริอาร์แล้วล่ะก็จะทำให้เมอร์ริอาร์ต้องทำตามระเบียบอย่างเลี่ยงไม่ได้
” งั้นข้าจะเตรียมรถม้าเอาไว้ให้ครับ ” ลุคที่พูดเสร็จก้มหัวแล้วเดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้เมอร์ริอาร์หาวอย่างคนขี้เกียจในขณะที่อ่านหนังสือเวทมนตร์ต่อไปในห้อง
.
.
.
.
หลังจากที่เมื่อวานได้ทดลองใช้สกิลเวทย์ต่าง ๆ มาแล้ววันนี้ก็เลยไม่มีแผนจะทำอะไรเป็นพิเศษเลยค่ะ แถมวันนี้ยังตื่นเช้าอีกด้วยคงเพราะเมื่อวานนี้ใช้ MP ไปเยอะเลยเหนื่อยมากเลยค่ะ พอหัวถึงโซฟาก็หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันเองก็ไม่รู้ค่ะ แต่ตื่นเช้าก็ดีเหมือนกันนะคะ ถึงจะไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่แล้วก็เถอะ แต่ถ้าให้เดาคงประมาณ 7 โมงนิด ๆ ล่ะมั้งคะ รู้ได้ยังไงน่ะเหรอคะ ? แน่นอนค่ะ เดาล้วน ๆ เลยค่ะ !!
” อือ…!!! ” บิดขี้เกียจหลังตื่นนอนบนโซฟานี้มันสดชื่นจริงๆเลยค่ะ แต่ถ้าได้นอนบอกเตียงจริง ๆ น่าจะฟินมากกว่านี้แน่นอนค่ะ เพราะแต่เดิมในโลกก่อนฉันเป็นคนชอบนอนเอามาก ๆ มักจะเผลอหลับในคาบเรียนประจำจนเพื่อนในสาขาเดียวกันต้องสะกิดปลุกเลยล่ะค่ะ
ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรต้องให้ปวดหัวก็คงจะดีไม่น้อยเลยค่ะ ทำไมฉันถึงกังวลงั้นเหรอคะ ? ก็มันแน่อยู่แล้วค่ะ เมื่อวานเล่นยิง ‘ มหามนตราพิสุทธิ์ ‘ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสกิลเวทย์สูงสุดซะอลังการขนาดนั้น ต้องมีคนสงสัยแน่ ๆ ค่ะ โดยเฉพาะถ้าหากชาวบ้านที่หมู่บ้านโคลินเห็นเข้าล่ะก็อาจจะคิดว่าเป็นฉันก็ได้ค่ะ (คิดไปแล้ว) แต่ยังไงก็ต้องหาทางกลบกลื่นให้ได้ค่ะ ไม่สิ ๆ โกหกมันจะดีจริง ๆ เหรอคะ หรือพูดความจริง ไปเลยว่าทดลองใช้เวทมนตร์ไปเลยดีไหมนะ งือออออ คิดไม่ออกเลยค่ะ !!!!
เอาเป็นว่าตอนนี้เติมพลังของท้องน้อย ๆ ก่อนดีกว่าค่ะ ถึงจะเรียกว่าเติมพลังก็เถอะค่ะ แต่กินแอปเปิ้ลแค่ลูกเดียวก็อิ่มทั้งวันนี้มันก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกันนะคะ จริง ๆ ก็อยากลองกินอย่างอื่นบ้างจังเช่น เนื้อย่าง ไม่ก็ ข้าวแกงกะหรี่ อะไรแบบนั้นบ้างจังเลยคะ แต่ถึงจะอยากแค่ไหนมันก็ไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ สักหน่อย ยิ่งโลกนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำค่ะว่าอาหารการกินเป็นยังไง จะเหมือนโลกเดิมหรือเปล่ายังไม่รู้เลยค่ะ
ว่าแล้วก็ใช้สกิลเวทย์ ‘ชะล้าง’ ให้กับตัวเองแล้วเดินออกจากบ้านต้นไม้ออกไปเด็ดแอปเปิ้ลกินดีกว่าค่ะ จะว่าไปแล้วฉันก็ยังไม่ได้สำรวจป่าที่ตัวเองอาศัยอยู่เลยนะคะ ถึงจะรู้ได้จากคุณโยฮันว่าเป็นป่าที่อยู่ใกล้ภูเขาที่ชื่อมัวริสก็เถอะ แต่ฉันจำไม่ได้เลยว่ามีภูเขาชื่อนี้อยู่ด้วย คงจะเป็นจุดที่แตกต่างกันระหว่างโลกนี้กับเกม Fantasy Graden ล่ะมั้งคะ คงต้องหาแผนที่สะแล้วค่ะ ถึงคุณโยฮันบอกว่ามาครั้งหน้าจะเอามาให้ก็เถอะแต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ค่ะ
ระหว่างที่เดินคิดอยู่นั้นก็มาถึงจุดที่มีสวนผลไม้ต่าง ๆ นานาชนิดแล้วล่ะค่ะ จะว่าไปยังไม่เคยกินอย่างอื่นนอกจากแอปเปิ้ลเลยนินา งั้นลองดูสักหน่อยคงไม่เสียหายหรอกนะคะ ว่าแล้วก็เด็ดองุ่นมาหนึ่งพวงแล้วเด็ดลูกองุ่นที่ดูเน้น ๆ เข้าปากทันทีค่ะ
” อร่อย !! ” องุ่นนี่ก็อร่อยมากเลยค่ะ มีรสหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นมากเลยค่ะ แถมยังไม่มีเมล็ดอีกด้วย เอ๊ะ ? ถ้าเอาไปขายที่โลกจริงล่ะก็รวยเป็นเทน้ำเทท่าแน่ค่ะ แบบนี้คงต้องลองหมดทุกอย่างซะแล้วล่ะค่ะ
” อื้ม !! อันนี้ก็อร่อยค่ะ ! ” ส้มที่หยิบมาลูกกลมสวยไร้ตำหนิสีส้มทอง แถมยังปลอกเปลือกง่ายมากเลยค่ะ รสชาติหวานช่ำน้ำเยอะอะไรแบบนี้ ถ้าเอาไปคั้นเป็นน้ำคงได้น้ำส้มชั้นเลิศที่เสิร์ฟในร้านอาหารหรูแน่ ๆ เลยค่ะ
ลองจากนั้นก็ลองกินหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเชอร์รี่ กล้วย และอะไรอย่างอื่นอีกมากมาย ไม่ว่าจะอันไหนก็อร่อยไปหมดเลย เป็นผลไม้ชั้นเลิศที่เรียกได้ว่าคัดเกรดคุณภาพระดับ AAA เลยค่ะ จะว่าไปตอนที่พวกคุณโยฮันเอาของมาถวายก็มีพวกผลไม้เหมือนกันแต่แปลกที่อันนั้นไม่อร่อยเหมือนกับที่ฉันหยิบกินเองค่ะ ทั้งที่น่าจะเก็บมาจากจุดเดียวกันแท้ ๆ เพราะเห็นจูน่าจังมาเก็บผลไม้ในตอนที่เจอกันครั้งแรกนิคะ หรือจะคิดไม่เองหรือเปล่านะ
อ๊ะ ! จะว่าไปมีสกิลเวทย์ ‘เหินฟ้า’ ที่ทำให้ผู้เล่นลอยได้อยู่นิคะ ถึงจะไม่มีแผนที่แต่ก็สำรวจด้วยตัวเองได้ ทำให้รู้ว่าในป่าเป็นอย่างไรได้ด้วยค่ะ ทำไมฉันถึงได้ลืมสกิลเวทย์ที่ตัวเองใช้บ่อยขนาดนี้ได้กันคะ ! ถ้าพูดถึงสกิลเวทย์ ‘เหินฟ้า’ เป็นอีกหนึ่งในสกิลเวทย์ที่นิยมใช้มากในอาชีพสายนักเวทย์ค่ะ เนื่องจากว่าผู้เล่นในอาชีพนี้จะมีค่า AGI ค่อนข้างน้อยทำให้เคลื่อนไหวได้ช้าถ้าเทียบถ้าอาชีพอื่น ๆ ทำให้ตกเป็นเป้าได้ง่ายเวลาสงครามแย่งชิงพื้นที่
จึงมีเวทย์ ‘เหินฟ้า’ ขึ้นมาเพื่อให้เหล่านักเวทย์ทั้งหลายสามารถเอาตัวรอดไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะบินได้อย่างอิสระขนาดนั้นเพราะสกิล ‘หินฟ้า’ เป็นสกิลที่กิน MP พอสมควรยิ่งได้หากคนที่ไม่มีสกิลฟื้นฟู MP อัตโนมัติด้วยแล้วใช่ไม่เกิน 10-15 นาที MP ก็หมดแล้วล่ะค่ะ แต่โชคดีที่ฉันมีทั้งสกิล MP อัตโนมัติและยังมีของส่วมใส่ที่เน้นไปทาง MP และพลังป้องกันเวทย์ทำให้จะบินเป็นวันก็ไม่มีปัญหาค่ะ
” ‘เหินฟ้า’ ” เมื่อคิดได้ก็ร่ายสกิลเวทย์ทันทีค่ะ แสงสีฟ้าจาง ๆ วนอยู่รอบตัวก่อนจะห่อหุ้มผิวหนังจองฉันเหมือนตอนที่ใช้สกิลเวทย์สนับสนุนทั้งหลายนั่นแหละค่ะ เพียงแต่ว่าจะแสงจะแตกต่างกันเช่น พละกำลังจะเป็นแสงสีแดง ความว่องไวจะเป็นสีเขียว และความแว่นยำจะเป็นสีเหลือง ส่วนสกิลเวทย์ ‘เหินฟ้า’ จะเป็นแสงสีฟ้า เมื่อแสงจากสกิลเวทย์ห่อหุ้มตัวฉันเสร็จแล้ว ตัวฉันก็ลอยขึ้น และยังสามารถควบคุมได้เหมือนในเกมอีกด้วย
แต่สิ่งที่แตกต่างจากในเกมคือ กระแสลม นั่นเองค่ะเพราะในเกมนั้นจะมีบางพื้นที่เท่านั้นที่ทีมงานมีการ Setting ให้มีกระแสลมหรือภูมิอากาศที่แตกต่างกันซึ่งสกิลเวทย์ ‘เหินฟ้า’ เองก็จะโดนสภาพภูมิอากาศของแต่ละแผนที่คอยรบกวนด้วยค่ะ เพื่อเป็นการปรับสมดุลไม่ใช่เหล่านักเวทย์ในเกมได้เปรียบจนเกินไป
แต่พอได้บินจริง ๆ แบบนี้รู้สึกดีกว่าในเกมเป็นไหน ๆ เลยค่ะเพราะมีแรงลมต้านและได้รับลมเย็นมากระทบร่างกายทำให้รู้สึกดีสุด ๆ เลยค่ะ โชคดีจริงๆ ๆ ที่ฉันไม่ได้เป็นโรคกลัวความสูง พอได้ยินบินเล่นแล้วก็บินเพลินค่ะ ลืมไปเลยว่าจะต้องบินสำรวจป่า เอาล่ะ ๆ ทำงานค่ะ ๆ ต้มแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติเสร็จแล้วก็บินให้สูงขึ้นเพื่อนให้ได้มุมมองที่กว้างที่สุดเท่าที่พอจะมองเห็นได้ค่ะ แต่ก็ไม่ลืมร่ายเวทย์ ‘นัยน์ตาเหยี่ยว’ เพื่อเพิ่มระยะการมองเห็นเข้าไปด้วยค่ะ ไม่งั้นคงลำบากน่าดู
หลังจากที่บินได้รอบ ๆ ป่าหลายรอบทำให้พอเห็นภาพรวมแล้วล่ะค่ะ ที่แน่ ๆ เลยคือบ้านต้นไม้ของฉันเป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในป่าแบบไม่ต้องสงสัยเลยซึ่งอยู่ห่างจากบึงน้ำที่ไปทดสอบสกิลเวทย์ประมาณ 200 เมตร และที่สำคัญมองเห็นหมู่บ้านด้วยล่ะค่ะ จะต้องเป็นหมู่บ้านโคลินของจูน่าจังแน่ ๆ ให้กะด้วยสายตาน่าจะห่างจากบ้านต้นไม้ประมาณ 5 กิโลเมตร ถ้าเดินก็ถือว่าไกลอยู่นะคะ แต่ก็ไม่ถึงกับไกลจนเดินไม่ได้ ป่าที่ฉันอาศัยอยู่ก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น
และทางทิศใต้ของบ้านต้นไม้ของฉันจะเป็นภูเขา ถ้าจำไม่ผิดจะชื่อว่ามัวริสตามที่คุนโยฮันได้บอก เป็นภูเขาหิวที่ใหญ่มากๆเลยค่ะ ไม่มีต้นไม้หรือใบหญ้าขึ้นเลย แอบ ๆ เหมือนเขตแห้งแล้งเล็ก ๆ เลยล่ะค่ะ แต่เหมือนจะช่วยบังกระแสลมที่พัดลมมาจากชายฝั่งทะเลทำให้ป่าไม่ได้รับความเสียหายเวลาพายุมานะคะเนี่ย ถือมีประโยชน์มากเลยค่ะ
พอบินสำรวจจนได้รู้ลักษณะภูมิศาสตร์ของป่าและพื้นที่รอบ ๆ แล้วก็บินลงบริเวณบึงน้ำ
” บางทีอาจจะต้องลองตกปลาเองซะแล้วล่ะค่ะ ” เพราะเห็นมีปลาว่ายน้ำกระโดดจ่อมอยู่บ้างในบึงน้ำ แต่แปลกจังมันน้อยกว่าตอนแรกที่มานิคะ ตอนแรกที่มานั่งซึมเห็นปลาว่ายน้ำ กระโดดน้ำกันอย่างกับสวนน้ำดิสนีย์เวิลด์เลยไม่ใช่เหรอคะ
ในระหว่างคิดอยู่นั้นก็เห็น มอนเตอร์ประเภทกระต่ายมีเขา คาบเอาปลาที่ตายอยู่ขอบบึงน้ำอีกฝั่ง พอมันสังเกตุเห็นฉันก็รีบคาบปลาแล้ววิ่งหนีไปในทันที เอ๊ะ ! เดี๋ยวนะคะ นั้นมันมอนเตอร์ ‘ฮอร์นแรบบิท’ นิ แต่นั้นไม่ใช่ที่สงสัยทำไมมีปลาตายเกิยตื้นที่ขอบบึงน้ำกันล่ะคะ ? ในวินาทีนั้นภาพจำในหัวเมื่อวานก็โผล่เข้ามาในสมองทันทีค่ะ
‘ ตูม….. !!!! ‘ อ๊ะ ! ที่โยนก้อนหินระเบิดน้ำตอนนั้นนั่นเอง เอ๋เดี๋ยวนะคะ นี่ฉันทำให้ปลาในบึงเกือบสูญพันธุ์งั้นเหรอคะ ! พอลองมองดูดี ๆ ก็มีปลาเกิยตื้นตายจำนวนหนึ่ง คิดว่าที่มันน้อยลงเพราะพวกมอนเตอร์คาบไปกินหมดแล้วนั้นเองค่ะ งืออ ไหงเผลอไปล้างบางปลาในบึงแบบไม่ได้ตั้งใจได้ล่ะคะเนี่ย …
ความคิดที่จะตกปลาหายไปจากสมองทันทีเหมือนกำลังรู้สึกผิด เฮ้อ…กินแอปเปิ้ลต่อไปก็ได้ค่ะ
.
.
.
.
MANGA DISCUSSION