ไหงอยู่ดี ๆ มาเป็นไฮเอลฟ์ในเกม แถมยังมีคนบูชาฉันด้วยล่ะคะ !! - ตอนที่ 28 - (???) หนูอยากจะมีเพื่อนเล่นด้วยนี่นา
- Home
- ไหงอยู่ดี ๆ มาเป็นไฮเอลฟ์ในเกม แถมยังมีคนบูชาฉันด้วยล่ะคะ !!
- ตอนที่ 28 - (???) หนูอยากจะมีเพื่อนเล่นด้วยนี่นา
[ประตูทิศตะวันตกป้อมปราการเดธวอลเลย์]
ฝุ่นควันที่เกิดจากดินและพื้นที่บริเวณถูกทำลายอย่างย่อยยับ สายลมที่พัดโชยอย่างรุนแรงราวกับพายุพัดเอาฝุ่นที่ตอนนี้ลอยเต็มอากาศของพื้นที่โดยรอบลอยขึ้นไปบริเวณทางเข้าป่าของประตูทิศตะวันตกของป้อมปราการเดธวอลเลย์
สภาพพื้นดินและต้นไม้ต่าง ๆ ใกล้ ๆ บริเวณนั้นถูกทำลายราวกับมีลูกระเบิดตกลงมาจากฟ้า หากแต่ว่าสิ่งที่อยู่ตรงนั้นเป็นลูกระเบิดที่มีรูปร่างเป็นหมาป่าสีเงินขนาดใหญ่ถึง 4 เมตร และลักษณะรูปร่างที่งดงามขนสีเงินที่ส่องประกายราวกับแสงจันทร์ยามค่ำ และลวดลายสัญลักษณ์บนใบหน้าและลำตัวที่ดูศักด์สิทธ์อย่างกับสัตว์รับใช้ของเทพธิดา
ดันทาเลียนและเค็นโซแทบไม่ได้ขยับออกจากจุดเดิมเลยแม้แต่น้อย ทั้งคู่ต่างละสายตาจากกันและกัน แต่กลับจ้องมองไปที่ตัวตนใหม่ที่ดูอันตรายยิ่งกว่าเหมือนกันอย่างกับนัดหมายกันมาแต่ก่อนแล้ว แรงกดดันอันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างกายใหญ่โตของสัตว์สี่ขาอันงดงาม ทำให้สัญชาตญาณความหวาดกลัวและเอาชีวิตรอดของทั้งสองถูกกระตุ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่แล้วดวงตาสีเงินที่ราวกับดวงจันทร์เต็มดวงที่เฉิดฉายอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีก็ได้ละสายตาไปจากเค็นโซแล้วหันไปมองดันทาเลียนเพียงคนเดียว เค็นโซที่เห็นดังนั้นนึกประหลาดใจว่าสิ่งที่หมาป่าตนนี้ทำคือการเมินตนเองหรือว่าสมผัสได้ว่าเค็นโซไม่ได้มีจิตมุ่งร้าย
ดันทาเลียนที่เห็นแววตาสีเงินมุ่งความสนใจมาที่ตน ความหวาดระแวงและจิตต่อสู้จึงเตรียมพร้อมทันที แม้ดันทาเลียนจะรู้ตัวว่ามอนสเตอร์หมาป่าตรงหน้ามีแรงกดดันที่มหาศาล ไม่ใช่เพียงเท่านั้นยังสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ที่มากมายภายในตัวของหมาป่าของใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย แม้จะคลื่นพลังเวทย์จะไม่เท่ากับกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ก็ตาม
( ชิ ! ไอ้เจ้าหมาตัวนี้มันมาจากไหนกัน ! แค่ตาแก่นั่นก็ยุ่งยากพออยู่แล้วแท้ ๆ ! )
พริบตาต่อมาดันทาเลียนพุ่งเข้าไปพร้อมกับเหวี่ยงดาบใหญ่ที่เกินกว่าขนาดตัวคิดจะโจมตีใส่หมาป่าตัวใหญ่ตรงหน้าราวกับลืมเค็นโซนักผจญภัยระดับ S ไปแล้ว แน่นอนสำหรับนักรบอย่างดันทาเลียนแล้วการเริ่มโจมตีก่อนอาจจะดูได้เปรียบ แต่นั่นหมายถึงในกรณีที่ระดับความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ใกล้เคียงกันเพียงเท่านั้น
ในจังหวะที่ก้าวขาได้เพียงก้าวเดียวจู่ ๆ แรงกดดันมหาศาลที่กัดกินจิตใจและความกล้าหาญของดันทาเลียนในชั่วพริบตา แน่นอนว่าไม่ได้มาจากเค็นโซที่ตอนนี้ทำได้เพียงยืนอยู่นิ่ง ๆ เท่านั้น แต่มาจากตัวตนตรงหน้าที่ดันทาเลียนพุ่งเข้าไปหา
แน่นอนว่านั่นคือสกิลของลูลิที่แม้แต่โนเอลร่าเองก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน การวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ของลูลินั่นได้ก้าวข้ามสิ่งที่เรียกว่า ‘เฟ็นรีร์’ ไปแล้วนั่นเอง ตอนนี้เผ่าพันธุ์ของลูลินั่นก็คือ ‘ ดีไวท์เฟ็นรีร์ ‘ (หมาป่าสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์) เผ่าพันธุ์ที่ไม่เคยถูกค้นพบหรือมีบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์มาก่อน ตัวตนที่เป็นดั่งสัตว์อสูรรับใช้ของเทพธิดา
แรงกดดันและคลื่นพลังเวทย์ที่แผ่ออกมามากมายจากตัวของลูลิ นั่นคือสกิล ‘ จิตคุกคามเทวะ ‘ หากเปรียบกับสมัยที่โนเอลร่ายังอยู่ในเกมแล้วละก็ สกิลนี้จะทำให้ศัตรูอยู่ในสถานะหวาดกลัวหนำซ้ำยังลดความสามารถทั้งหมดของศัตรูกว่า 15 % แน่นอนว่าเค็นโซที่แม้จะยืนเฝ้ามองดูเฉย ๆ ก็ตกอยู่ภายใต้สกิลนี้อย่างไม่มีข้อยกเว้น
” อึก !! นะ-นี่มันอะไรกัน ! ”
ร่างกายที่ถูกแรงกดดันและความหวาดกลัวจนทำให้ขยับตัวไม่ได้ ความเร็วเมื่อครู่ถูกหยุดลงอย่างกะทันหัน เรี่ยวแรงของดันทาเลียนลดลงราวกับถูกกดเอาไว้ทั้งพละกำลังและความเร็วหรือแม้จะความสามารถใด ๆ ก็ตาม ระยะห่างเพียงไม่กี่สิบเมตรแต่ดันทาเลียนรู้สึกราวกับห่างไกลแสนไกล
เม็ดเหงื่อที่เริ่มปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดบนใบหน้าของดันทาเลียนหมายถึงสถานการณ์ที่กำลังตกที่นั่งลำบากเพราะไม่คาดคิดว่าตนเองกำลังหวาดกลัวจนถึงกับขยับตัวไม่ได้ แน่นอนว่าไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับสุดยอดนักรบเป็นแน่ เค็นโซที่อยู่ไม่ไกลจากดันทาเลียนมากนักได้แต่คิดหาคำตอบถึงสิ่งที่หมาป่าสีเงินตนนี้กำลังแสดงออกมา
เหตุใดถึงมุ่งไปที่ดันทาเลียนเพียงคนเดียว เหตุใดถึงไม่สนใจตนทั้งที่ตนน่าจะมีฝีมืออยู่ในระดับเดียวกับหญิงสาวผมสีแดงผู้นั้นแท้ ๆ สิ่งเดียวที่เค็นโซพอที่จะใช้มันสมองอันแก่ประสบการณ์ของตนคิดได้นั่นก็คือ เค็นโซไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเมืองหรือประชาชนคนธรรมดานั่นเอง
หรือหากจะพูดอีกอย่างก็คือมอนสเตอร์หมาป่าตนนั้นสามารถสัมผัสได้ถึงจิตมุ่งร้ายของคนอื่นได้นั่นเอง และถือเป็นความโชคดีของเค็นโซที่คิดได้ถูกต้อง เพราะตอนนี้หมาป่าที่ดูราวกับเป็นสัตว์ของเทพธิดาได้ทำการปล่อยจิตสังหารรุนแรงใส่ดันทาเลียนที่คิดจะโจมตีใส่ตน แม้ว่าจิตสังหารจะรุนแรงจนส่งมาถึงเค็นโซก็ตาม
( แบบนี้ไม่ใช่มอนสเตอร์ทั่วไปแล้ว นี่มันอย่างกับสัตว์เทพในตำนานไม่ใช่หรือไง )
เค็นโซทำได้เพียงคิดพร้อมทั้งกู่ร้องภายในใจ แม้ตนที่เป็นนักผจญภัยมาอย่างยาวนานผ่านการกำจัดมอนสเตอร์มานับไม่ถ้วนก็ยังไม่เคยเจอตัวตนแบบนี้ที่ไหนมาก่อน แต่เรื่องนั้นหาใช่ประเด็นสำคัญไม่ สิ่งที่เค็นโซใส่ใจและคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ หากหมาป่าสีเงินตัวนี้เข้าไปในเมืองตนจะหยุดได้หรือไม่ต่างหาก
ในจังหวะที่คิดอยู่นั่นดันทาเลียนที่ถูก ‘ จิตคุกคามเทวะ ‘ อยู่นั่นได้เค้นพลังทั้งหมดเพื่อที่จะได้หลุดจากสถานะหวาดกลัวทำให้กลับมาเคลื่อนไหวร่างกายได้อีกครั้ง
” อย่ามาดูถูกข้านะเว้ย !! ” ดันทาเลียนถีบท้าวอย่างรุนแรงอีกครั้งพุ่งเข้าใส่หมาป่าสีเงินตรงหน้า ดาบใหญ่ที่เกินขนาดตัวถูกเหวี่ยงขึ้นพร้อมทั้งออร่าสีแดงที่ห่อหุ้มตัวดาบราวกับกำลังอาบเลือดอยู่หมายจะฟาดฟันสัตว์สี่ขาตรงหน้า
ชั่วพริบตาที่ดาบใหญ่สีชาดกำลังจะโดนขนสีเงินอันเงางามดั่งจันทราทอแสง สายลมรุนแรงก็พัดผ่านตัวของดันทาเลียนขมเขี้ยวสีเงินและเท้าหน้าที่มีกรงเล็บอันน่าเกรงขามของราชันย์หมาป่าตรงหน้าขยับเพียงเล็กน้อย ทันใดนั้นดาบใหญ่ที่เต็มไปด้วยออร่าสีชาดก็แตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยราวกับถูกฉีกกระชาก
” ” หา ? ” “
เศษใบดาบขนาดใหญ่ที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สะท้อนอยู่ในดวงตาของทั้งเค็นโซและดันทาเลียนพร้อมทั้งใบหน้าที่ตกตะลึงอย่างถึงขีดสุด แน่นอนว่าไม่อาจทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ตรงหน้าได้ โดยเฉพาะดันทาเลียนผู้เป็นเจ้าของดาบที่แตกสลายไม่สามารถตามเหตุการณ์ได้แม้แต่น้อย
” อะ-อะไร ? ” ประโยคคำถามที่เอ่ยออกมาโดยราวกับเป็นปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติของร่างกาย ในมุมมองของดันทาเลียนที่เห็นมีเพียงหมาป่าสีเงินขยับเขี้ยวและขาหน้าเพียงเล็กน้อยราวกับขยับเท้าเท่านั้น แต่ผลที่ตามมาคือดาบเล่มใหญ่ที่ห่อหุ้มด้วยออร่าปีศาจที่ทรงพลังถูกทำลายย่อยยับ
” เอ๊ะ ? ” อาการตกใจครั้งแรกยังไม่ทันจะหาย ดันทาเลียนก็ต้องตกใจเป็นครั้งที่สองกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ร่างขนาดใหญ่ที่สูงกว่า 4 เมตรของหมาป่าสีเงินได้หายไปจากวิสัยทัศน์ของดันทาเลียน
ชั่วพริบตาดันทาเลียนก็รู้สึกถึงตัวตนที่หายไปเมื่อครู่มาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ความรวดเร็วที่น่าจะเหนือกว่าเค็นโซที่ได้ประมือกันอย่างเทียบไม่ติด จู่ ๆ ก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจและของเหลวที่ต้นคอราวกับคมดาบที่จ่อที่คอของตน ความเย็นของของเหลวที่น่าจะเป็นน้ำลายและลมหายใจที่อบอุ่นแผ่กระจายมาทั่วบริเวณหลังของดันทาเลียน
เค็นโซที่มองดูอยู่ได้แต่ยืนนิ่งเพราะตามความเร็วของหมาป่าสีเงินตรงหน้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เค็นโซเห็นตอนนี้มีเพียงหมาป่าสีเงินคาบคอเสื้อของดันทาเลียนขึ้นมาจากด้านหลังราวกับคาบของเล่น ในตอนนี้คงไม่ใช่เพียงแค่ดันทาเลียนแต่เค็นโซเองก็กำลังสงสัยว่าหมาป่าตรงหน้าคิดจะทำอะไรกันแน่
ในขณะที่คิดหาคำตอบอยู่นั้นเอง จู่ ๆ หมาป่าสีเงินก็สะบัดหน้าอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับจะเหวี่ยงสิ่งที่คาบอยู่ในปากให้กระเด็นออกไป เพียงแต่ว่าสิ่งที่คาบอยู่ในปากคือผู้ที่ได้ชื่อว่าราชันย์ผู้บัญชาการกองทัพปีศาจที่ทุกคนต่างหวาดกลัว
” เฮ้ย ! ดะ-เดี๋ย- !! ”
พูดยังไม่ทันจะจบประโยคดีร่างของหญิงสาวผมสีแดงของนักรบก็ถูกเหวี่ยงให้ปลิวอย่างรุนแรงขึ้นไปบนฟ้าทางป่าทิศตะวันตกราวกับลูกปืนใหญ่ที่ถูกยิงขึ้นฟ้า และแล้วร่างของดันทาเลียนก็ลอยไปไกลจนลับตาของเค็นโซ
( … เมื่อกี้นี้มันอะไร ? )
เค็นโซที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทันได้แต่มองร่างของหญิงสาวที่ตนได้ประมืออยู่เมื่อครู่ลอยปลิวไปอย่างกับกระสุนปืนใหญ่จนลับตา และแล้วก็ได้หันมาสบตากับตัวตนที่ทำให้เกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาสีเงินที่งดงามดั่งพระจันทร์จ้องมองเค็นโซอย่างพินิจพิเคราะห์ และแล้วจู่ ๆ ก็มีสายลมรุนแรงพัดกระโชกเกิดขึ้นในจังหวะเดียวกันนั้นร่างอันสูงใหญ่ของหมาป่าสีเงินก็ได้อันตรธานหายไป
” นี่ข้าไม่ถูกจับโยนด้วยงั้นสิน่อ … ”
และแล้วก็เหลือเพียงนักผจญภัยเฒ่าชราเพียงคนเดียวท่ามกลางความเสียหาย ควันที่เกิดจากฝุ่นดิน ต้นไม้ที่ถูกโค่นหักอยู่กระจัดกระจาย หลุมที่เกิดจากการระเบิดมากมาย ทั้งหมดได้จบลงแบบที่เต่าชราไม่ได้คาดคิดเอาไว้ …
[ ??? ]
” สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ? ” เสียงทุ้มของชายวัยกลางคนที่ดูภูมิฐานดังขึ้นท่ามกลางเหล่าผู้มีอำนาจและคนสำคัญระดับประเทศ มีทั้งขุนนางและผู้บัญชาการทางทหารหรือแม้แต่เหล่านักเวทย์หลวงแห่งราชสำนักเองก็อยู่ด้วยเช่นกัน
ภายในห้องที่มีโต๊ะยาวลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ และเหล่าผู้คนที่นั่งรอบโต๊ะให้ภาพเป็นการประชุมที่สำคัญอย่างมาก และชายวัยกลางคนที่ถามถึงสถานการณ์ดังกล่าวนั่งอยู่หัวโต๊ะ เป็นชายวัยกลางคนที่รูปร่างดี หน้าตาที่แม้จะเลยวัยหนุ่มมานานแล้วแต่ก็ยังดูหล่อเหลา ผมสีทองอ่อนที่ดูงดงาม และหนวดเคราที่ดูสมชายก็ดูมีสง่าราศี
เครื่องแต่งกายที่ดูหรูหราดูแพงที่สุดในบรรดาคนอื่น ๆ แน่นอนว่าผู้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวคือพระราชาของอาณาจักรแอนวอลเลล์ นามนั้นคือ หลุยส์ ฮาโรลด์ แอนวอลเลล์ กษัตริย์องค์ปัจจุบันและเป็นกษัตริย์ลำดับที่ 26 ของอาณาจักรแอนวอลเลล์
” ตอนนี้ได้รับรายงานว่านักผจญภัยกำลังต้านพวกมอนสเตอร์ที่ประตูฝั่งตะวันออกอยู่พ่ะย่ะค่ะ ส่วนทหารหลวงกำลังคุ้มกันภายในเมืองพ่ะย่ะค่ะ ! ” เสียงดังที่รายงานอย่างชัดเจนมาจากหนุ่มทหารที่ดูไฟแรงยืนลุกขึ้นเพื่อรายงานต่อผู้ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ
” ท่านแม่ทัพ เราสามารถส่งกำลังพลไปช่วยที่ป้อมปราการเดธวอลเลย์ได้หรือไม่ ”
” เกรงว่าต่อให้ส่งไปได้ก็ต้องใช้เวลาในการเดินทัพไม่ต่ำกว่า 3 วันพ่ะย่ะค่ะ ” แม่ทัพวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะน่าเกรงขามสีดำ ที่ใบหน้ามีแผลจากการถูกฟันอยู่ตรงกลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและหนักแน่น
” ฝ่าบาท ! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปป้อมปารการเดธวอลเลย์จะถูกทำลายเป็นแน่ ! โปรดทรงพิจารณาส่งกำลังพลไปช่วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ ! ” ชายหนุ่มที่สวมเครื่องแต่งกายดูดีและสะอาดสะอ้านดูมีสกุลลุกขึ้นออกความเห็นต่อหลุยส์อย่างตรงไปตรงมา แน่นอนว่าชายผู้นี้คือขุนนางที่เข้าร่วมประชุมด้วย
” ไม่ได้ยินที่ท่านแม่ทัพกาเฮริสพูดหรือไง ว่ามันต้องใช้เวลาในการเดินทัพน่ะ ” ขุนนางอีกคนที่ดูจะสูงวัยกว่าทักท้วงขุนนางหนุ่มที่เรียกร้องเมื่อครู่อย่างเปิดเผย เมื่อขุนนางหนุ่มได้ยินดังนั้นจึงเกิดอาการไม่พอใจขึ้น
” แล้วแบบนี้จะปล่อยให้เมืองปราการเดธวอลเลย์ถูกทำลายไปอย่างงั้นหรือ ท่านเนวิลล์ ! ” ขุนนางหนุ่มไม่พอใจกับท่าทางที่ดูจะไม่ทุกข์ร้อนของผู้เป็นขุนนางที่มีลำดับชั้นที่สูงกว่าอย่างมาร์ควิสเนวิลล์
” ท่านเอิร์ลฮาราล ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น แต่ถ้าลองคิดดูตามหลักแล้วการเดินทัพขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาถึง 3 วันเป็นอย่างน้อยอาจจะสายเกินไปก็ได้ ข้าว่าควรจะลองคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้กันดีกว่านะ ”
มาร์ควิสเนวิลล์ที่อธิบายด้วยเหตุผลอย่างผู้มากประสบการณ์ทำให้ทั้งเหล่าขุนนางและทหารที่เข้าร่วมประชุมก็ต่างเห็นด้วย ฮาราลนั้นเป็นขุนนางหนุ่มไฟแรงที่พึ่งจะสืบทอดตระกูลต่อจากบิดาได้เพียงไม่นานแต่ก็เป็นคนขยันและจริงจังทำให้สามารถไต่เต้ามาจนถึงยศเอิร์ลได้นั่นเอง
” แต่ว่า- ” แม้ฮาราลจะเห็นด้วยกับเนวิลล์แต่ถ้าหากไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ต่างจากการที่ปล่อยให้ป้อมปราการเดธวอลเลย์ถูกทำลาย
” ใจเย็น ๆ ก่อนท่านเอิร์ลฮาราล ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้านะ แต่ตอนนี้พวกเราต้องคิดให้รอบคอบกันก่อน ” หลุยส์ที่เห็นฮาราลที่ดูร้อนรนจึงช่วยดึงสติกลับมาให้เย็นลง
” พ่ะย่ะค่ะ.. ” เมื่อเห็นฮาราลใจเย็นลงหลุยส์จึงได้ตามความคิดเห็นต่าง ๆ จากคนในที่ประชุมต่อ
แน่นอนว่าในตอนนี้ไม่มีใครที่พอจะคิดถึงวิธีที่ดีที่สุดได้เลย เพราะถ้าหากอยากจะส่งกำลังเสริมไปช่วยให้เร็วที่สุดก็ต้องเดินทัพขนาดเล็กแต่จากรายงานระบุว่าจำนวนมอนสเตอร์นั่นมีหลายร้อยจนเกือบ ๆ จะเป็นหลักพัน การที่ส่งกองทัพขนาดเล็กไปช่วยก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งคนไปตายเพิ่ม แต่หากจะส่งกองทัพขนาดใหญ่ไปก็ต้องใช้เวลาในการเดินทัพที่นานทำให้สถานการณ์อาจจะอยู่ในจุดที่แก้ไม่ได้อีกต่อไป
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทุกคนในที่ประชุมก็ต่างไม่คาดคิดกันมาก่อน ไหนจะการเพิ่มจำนวนของมอนสเตอร์อย่างกะทันหัน ไหนจะทิศทางที่เหล่ามอนสเตอร์บุก หรือแม้กระทั่งการที่ดูราวกับมีคนบงการอยู่เบื้องหลังเองก็ตามทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ท่ามกลางความสิ้นหวังของที่ประชุมจู่ ๆ ที่มีผู้เสนอความคิดที่ราวกับเป็นความหวัง
” ถ้าหากเป็นท่านเมอร์ริอาร์ล่ะพ่ะย่ะค่ะ ”
” ” … ” ”
เมื่อชื่อของจอมเวทย์หลวงถูกกล่าวถึงในที่ประชุมก็เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณห้องประชุมที่กว้างขวาง เสียงสุดท้ายของผู้พูดสะท้อนไปมาในห้องจนเกิดเป็นเสียงก้องเบา ๆ จนกระทั่งหายไปจนเงียบสนิทอยู่สักครู่จนกระทั่ง..
” จะ- จริงด้วย ! ถ้าเป็นท่านจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์ละก็น่าจะสามารถไปที่ป้อมปราการเดธวอลเลย์ได้ด้วยเวลาสั้น ๆ ได้แน่ ! ”
” จริงด้วยแถมยังสามารถแก้ไขเรื่องกำลังพลได้อีกด้วย เพราะถ้าเป็นท่านเมอร์ริอาร์จะต้องกวาดล้างพวกมอนสเตอร์ได้สบาย ๆ แน่นอน ! ”
เสียงฮือฮาที่ดูมีความหวังขึ้นมาไม่ขาดสายในวงประชุม มีผู้ออกความเห็นกันไม่หยุดจนเกิดความวุ่นวาย แม้กระทั่งหลุยส์ที่นั่งอยู่บนหัวโต๊ะก็กำลังคิดตามเช่นกัน
( ก็จริง ถ้าหากเป็นตาแก่นั่นละก็คงจะสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้แน่ ถึงจะไม่อยากเรียกใช้ตาแก่นี่ก็เถอะ )
ใช่แล้วที่จริง หลุยส์ กาเฮริส และเมอร์ริอาร์ เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน โดยที่กาเฮริสกับหลุยส์เรียกว่าเป็นเพื่อนในชั้นเดียวกันตั้งแต่สมัยยังเด็ก ส่วนเมอร์ริอาร์เป็นรุ่นพี่ที่โตกว่าทั้งสองอยู่เป็นสิบยี่สิบปี จะพูดในถูกก็คงเป็นพี่ทั้งพี่ชายและอาจารย์ก็คงไม่ผิด
เมอร์ริอาร์ที่รับใช้อาณาจักรแอนวอลเลล์มายาวนานตั้งแต่ก่อนที่หลุยส์จะขึ้นครองราชย์ หลุยส์เป็นพระโอรสเพียงองค์เดียวของกษัตริย์องค์ก่อนทำให้ช่วงที่สืบทอดราชสมบัติค่อนข้างราบรื่นไม่มีการแก่งแย่งจากญาติ ๆ หรือพี่น้องเหมือนราชวงศ์อื่น ๆ และในช่วงที่หลุยส์และกาเฮริสยังเรียนที่อยู่ก็ได้เมอร์ริอาร์คอยเป็นพี่เลี้ยงและอาจารย์ที่คอยสอนสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับอาณาจักรแอนวอลเลล์
และตอนนี้ชื่อของเมอร์ริอาร์ก็ถูกกล่าวถึงอย่างมากเพราะเป็นจอมเวทย์ผู้ทั้งเก่งกาจและฉลาดหลักแหลมย่อมเป็นความหวังของหลาย ๆ คนในที่ประชุมแห่งนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่แท้จริงของจอมเวทย์หลวงชราที่ทุกคนต่างยกย่องนั้นจริง ๆ แล้ว เป็นตาแก่สันหลังยาว ที่เอาแต่ขี้เกียจและชอบเอาแต่เที่ยวเล่น ไม่ทำการทำงาน แถมยังสติเพี้ยนชอบทำอะไรแปลก ๆ ไม่ก็ทดลองเวทมนตร์อันตราย ๆ อยู่เสมอ
แน่นอนว่าในที่ประชุมแห่งนี้มีอยู่สามคนที่ล่วงรู้ถึงความเป็นจริงนี้นั่นก็คือ หลุยส์ ลุค และกาเฮริส แต่ที่จะหนักหน่อยคงหนีไม่พ้นลุคที่เป็นเลขาและที่ผู้ช่วยของเมอร์ริอาร์ที่จะต้องทนกับการเอาแต่ใจของตาแก่รากมะม่วงแถมยังต้องคอยตามล้างตามเช็ดอยู่ตลอดราวกับพ่อลูกอ่อนไม่มีผิด
” ข้าเห็นด้วยถ้าเป็นตาแก- เมอร์ริอาร์ละก็จะต้องจัดการกับสถานการณ์นี้ได้แน่นอน เจ้าว่ายังไงสเตฟาน ” หลุยส์ออกความเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับกระแสในที่ประชุม แต่ก็ยังถามเห็นความเห็นจากเลขานุการส่วนพระองค์ที่เปรียบดั่งคลังความรู้ที่คอยรับใช้หลุยส์อยู่ข้างกายตลอดเวลา
” กระหม่อมคิดว่าเป็นความคิดที่ดีพะยะค่ะ ท่านเมอร์ริอาร์สามารถต่อกรกับมอนสเตอร์จำนวนมากได้ แม้จะไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทั้งหมดแต่ก็ถือว่าช่วยซื้อเวลาให้เราส่งกำลังพลเข้าไปช่วยได้พะยะค่ะ , ว่าแต่เมื่อกี้ฝ่าบาทจะตรัสว่าตาแก่ใช่ไหมพะยะค่ะ ? ”
สเตฟานชายวัยกลางคนที่อายุเท่ากับหลุยส์ เป็นคนที่ดูสุขุมเยือกเย็นและเข้าถึงได้ยาก ลักษณะภายนอกที่ดูเย็นชาทำให้คนไม่ค่อยกล้าที่จะเข้าหา สเตฟานเดิมเป็นเพียงบุตรของขุนนางชั้นบารอนเท่านั้นในสมัยเรียน แต่ด้วยความสามารถที่โดดเด่น ไหนจะความฉลาดและไหวพริบทำให้หลุยส์สนใจจึงได้ชักชวนเข้ามาเป็นเลขานุการส่วนตัว จนกระทั่งหลุยส์ได้ขึ้นครองราชย์สเตฟานก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการที่ปรึกษาส่วนพระองค์ไปด้วย
แม้ว่าในตอนที่หลุยส์แต่ตั้งสเตฟานจะได้รับความเห็นคัดค้านจากเหล่าบรรดาขุนนางส่วนใหญ่ เนื่องจากตอนที่หลุยส์ขึ้นครองราชย์สเตฟานพี่งจะดำรงตำแหน่งเป็นไวเคานต์ซึ่งถือว่าเป็นขุนนางระดับล่างแถมยังไม่ได้มาจากตระกูลเก่าแก่ที่มีประวัติอะไร แต่ด้วยความสามารถที่ช่วยหลุยส์บริหารประเทศทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างมาก เสียงที่คอยคัดค้านสุดท้ายก็หายไปจนหมด จนปัจจุบันสเตฟานดำรงตำแหน่งเป็นมาร์ควิสอาวุโสนั่นเอง
” งั้นเหรอเจ้าก็คิดว่าดีสินะ งั้นเอาตามนี้… ว่าแต่ตาแก- เมอร์ริอาร์ไปไหน ข้าไม่เห็นหัวไอ้แก- หมอนั่นตั้งแต่เริ่มประชุมแล้ว ”
” ฝ่าบาทเมื่อกี้จะพูดตาแก่อีกแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ แถมเมื่อกี้มีคำที่ฟังดูแย่กว่าอย่างไอ้แก่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ ”
ในขณะที่สเตฟานกับหลุยส์ตอบโต้กันอยู่นั้น หลาย ๆ คนในที่ประชุมยังไม่ได้สังเกตเลยว่าจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์ไม่ได้เข้าประชุมด้วยที่งที่เป็นการประชุมที่สำคัญคือการล่มสลายของเมืองสำคัญอย่างป้อมปราการเดธวอลเลย์เป็นเดิมพัน แต่แล้วผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นความหวังของทุกคนในที่ประชุมกลับไม่อยู่ แน่นอนว่าในที่นี้มีเพียงคนเดียวที่สามารถบอกได้ว่า ตาแก่รากมะม่วงที่ทุกคนคาดหวังหายไปไหน
” เอ่อ…คือว่าท่านเมอร์ริอาร์ออกไปข้างตั้งแต่ 3 วันก่อนยังไม่กลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ ” คงไม่จำเป็นต้องถามว่าใครเป็นคนพูด ลุคผู้ช่วยของตาแก่เมอร์ริอาร์ที่เป็นประเด็นอยู่นั่นเอง
เกิดความเงียบโดยไม่ได้นัดหมายขึ้นทั่วทั้งการประชุม แน่นอนว่ายังมีผู้ที่ยังตามเรื่องที่หนุ่มนักเวทย์ผู้ช่วยของเมอร์ริอาร์พูดไม่ทัน แต่สำหรับผู้ที่ตามสิ่งที่ลุคพูดทันในเวลานี้ราวกับว่าความหวังที่เป็นดั่งฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดลงต่อหน้าต่อตา และไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ทั้งหลุยส์และกาเฮริสก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน
” ” ไอ้แก่ !!!!!! ” ”
…
[???]
เด็กแน่นอนว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักน่าเอ็นดู ความไร้เดียงสาและความซื่อตรงที่เด็กส่วนใหญ่แสดงออกมามักจะสร้างรอยยิ้มให้กับคนรอบข้างได้เสมอ หากแต่นั่นก็อาจเป็นข้อเสียที่ทำให้หลงเชื่ออะไรผิด ๆ ก็เป็นได้ และหากเจอคนที่ตัวตนที่เด็กคนนั้นเคารพนับถือด้วยแล้วละก็นับว่าผ้าสีขาวได้ถูกย้อมจนไม่เหลือสีขาวอีกต่อไป
เด็กสาวที่แสนจะงดงามถูกเครื่องแต่งกายที่ดูหรูหราและน่ารักปกคลุมอยู่ ผมสีทองอ่อนสลวยยาวม้วนเป็นลอนสองข้าง ดวงตาสีม่วงอ่อนกลมโต ปากเล็กที่ดูบอบบางเต็มอิ่มสีชมพูของผิวที่สุขภาพดี กำลังวิ่งเล่นอยู่ตามทางเดินที่ถอดยาวโดยมีหญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดคนรับใช้ที่ดูสง่าและดูภูมิฐานวิ่งตามอย่างรีบร้อน
” องค์หญิงเพคะ !! โปรดทรงอย่าวิ่งบนทางเดินแบบนี้สิเพคะ ! ”
” ไม่เป็นไรหรอกมารี ! หนูแค่อยากจะไปหาเสด็จพ่อเท่านั้นเอง ” องค์หญิงตัวน้อยที่อายุได้ 6 ขวบเพียงไม่นานกำลังวิ่งอย่างร่าเริงภายในปราสาทโดยมีข้ารับใช้ส่วนตัวคอยวิ่งตามอย่างเป็นห่วง
” ตอนนี้ฝ่าบาททรงกำลังประชุมเรื่องสำคัญอยู่เพคะ ! องค์หญิงโปรดรอจนกว่าฝ่าบาทประชุมเสร็จก่อนนะเพคะ ” มารีข้ารับใช้พูดชี้แจงต่อองค์หญิงตัวน้อยอย่างเหน็ดเหนื่อยที่จะต้องวิ่งไปด้วยอธิบายไปด้วย
” เอ๋ อย่างนั้นหรอ ? ” ว่าแล้วองค์ตัวน้อยก็หยุดวิ่งแล้วหันหน้าอันแสนจะน่ารักสดใสมามองมารีที่วิ่งตามตนมา
” ใช่ ใช่แล้วเพคะ ” มารีที่หอบจนตอบแบบจะขาดใจ การที่ต้องสวมชุดกระโปรงยาวของข้ารับใช้แล้วจะต้องวิ่งเป็นอะไรที่ลำบากอย่างมาก เพราะจะต้องจับชายกระโปรงไม่ให้เปื้อนพื้น แล้ววิ่งมากก็ไม่ได้จะทำให้เกิดเท้าพลิกได้ง่าย
” แต่หนูอยากจะมีคนเล่นด้วยนี่นา ” องค์หญิงด้วยน้อยพูดพลางก้มหน้าแก้มป่องอย่างน่ารัก แม้จะรู้สึกเอ็นดูและสงสารแต่มารีก็ไม่สามารถตามใจได้ เพราะตอนนี้ไม่มีรุ่นราวคราวเดียวกันกับองค์หญิงเลยที่อยู่ในปราสาท หนำซ้ำด้วยสถานะขององค์หญิงทำให้ไม่สามารถเข้าใกล้คนแปลกหน้าได้ ที่จะเล่นได้มีเพียงลูกของบรรดาขุนนางเท่านั้น แต่นาน ๆ ทีจะมีขุนนางที่มีลูกอายุยังน้อยมาที่ปราสาท
ด้วยเหงาที่จะต้องเอาแต่เรียน และอยู่แต่ในปราสาททำให้ องค์หญิงตัวน้อยได้แต่ปรารถนาที่อยากจะได้เพื่อนเล่นที่เข้าใจและมอบความรู้ใหม่ ๆ ข้างนอกปราสาทให้กับตนมาตลอด โดยไม่รู้เลยว่า มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเธอที่จะมอบดวงตาแห่งศรัทธาให้ในอนาคต
.
.
.