ไล่ผีแบบเจอะหน้าปุ๊บแตะจึ๊กเดียวถึงสวรรค์! - ตอนที่ 98 เสียงครางของการตื่นขึ้น (7)
“ มันหมายความว่ายังไงกัน อธิบายมาเลยเชียว ”
หลายวันหลังจากเหตุการณ์
คาเอเดะที่ถล่มเข้ามาในห้องผู้ป่วยของฉันด้วยสีหน้าท่าทางสุดจะเดือดดาล พลันบีบเค้นเข้ามาใส่ด้วยแรงกดดันที่ไม่ยอมให้ปฎิเสธได้
“ ผนึกถูกปลดแล้วใช่มั้ยล่ะ แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอถึงยังปกติดีอยู่ได้ นังผู้หญิงที่โผล่ออกมาจากมือนั่นมันไปไหนแล้ว ตอนที่พวกฉันวิ่งมาถึงที่ เค้าลางมันก็หายไปแล้วด้วย ”
“ เอ้ย จะ ใจเย็นๆก่อนดิ ฉันเป็นคนไข้เพิ่งจะฟื้นตัวนะเฟ้ย ”
“ หายดีสมบูรณ์ตั้งนานเนแล้วไม่ใช่เหรอ เพราะคราวนี้ ได้คนตระกูลหลักของตระกูลเก่าที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านฟื้นฟูมาช่วยรักษาให้เลยเชียวนะ ”
ถูกอย่างที่คาเอเดะว่านั่นแหละ ร่างกายที่โดนกระทืบจนอ่วมอรทัยของฉันนั่นได้ถูกฟื้นฟูจนหายดีสมบูรณ์แล้ว กระดูกที่หักไปก็กลับมาดีเหมือนใหม่แล้วด้วยเช่นกัน
คงเป็นการชมเชยที่เล่นงานไอ้เจ้าเผ่ามารจนมันต้องถอยไป หรือไม่ก็คงเพื่อที่คาเอเดะจะได้สืบปากคำฉันได้เร็วๆแบบนี้ละมั้ง….เอาเป็นว่าเขาถึงกับเรียกตัวผู้ใช้ศาสตร์ฟื้นฟูระดับสูงสุดมาช่วยรักษาให้เลย ทำให้ฉันลืมตาตื่นได้ภายในระยะเวลาสั้นๆไม่นานหลังจากที่เหตุการณ์จบลงนี่แหละ
แต่โซยะที่ได้รับการรักษาแบบเดียวกันนั้นยังคงไม่ได้สติอยู่เลย
เหมือนว่าอาการจะไม่ได้เป็นอันตรายก็จริงหรอก แต่ต่อให้ผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่นซะที ถูกห้ามไม่ให้เยี่ยมไข้ดูอาการด้วยอีกต่างหาก
“ จะยังไงก็เถอะ เอาผนึกมาให้ดูก่อน ”
คาเอเดะจับมือฉันไว้อย่างรุนแรง ทำการถอดกำไลออก
การตรวจวินิจฉัยตามวาระที่ดำเนินต่อเนื่องมากว่าหลายปีแน่ะ คาเอเดะเอามือฉันแนบติดกับหน้าผาก เริ่มต้นตรวจสอบเชิงวิญญาณ
แต่ผลลัพธ์นั่นกลับออกมาเป็นอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมสุดขั้ว
“ ……? เอ๊ะ? ”
คาเอเดะทำดวงตาสั่นไหวไปด้วยความสับสน
“ ศาสตร์วิชามัน……เปลี่ยนไป? ไม่สินี่มัน เป็นศาสตร์วิชาเดิม แต่หยั่งกับว่าคนที่ร่ายใส่เป็นคนละคนกัน…… ”
“ โซยะเป็นคนร่ายให้น่ะ ”
“ ……ห้ะ? ”
คาเอเดะทำหน้าตาฉงนสงสัยเหมือนคิดว่าตัวเองฟังผิดไป
เอ้อก็แหงอยู่แล้วเนอะ ฉันเองขนาดมาจนป่านนี้แล้วก็ยังปักใจเชื่อไม่ลงเลยเนี่ย
เรื่องที่ยัยโซยะคนนั้น เปิดใช้ศาสตร์ผนึกระดับเดียวกับพ่อที่ความสามารถเทียบเท่า 12 เซียนอัมพรนั่น
“ ……พูดจริง น่ะเหรอ? ”
คาเอเดะยิ่งมองกลับมาหาฉันด้วยแววตาเคลือบแคลง——ไม่สิ ถ้าให้พูดแล้วออกทำนองเหมือนไม่อยากจะเชื่อมากกว่า——เข้าไปอีก
“ แล้วก็ไม่ได้มีแค่นี้นะ วันนั้นมันมีเรื่องที่ชวนมึนตึ๊บเกิดขึ้นเต็มไปหมดเลยล่ะ ”
ฉันเล่าอธิบายออกมาทีละเรื่องทีละอย่าง ราวกับเป็นการจัดเรียงข้อเท็จจริงที่แม้แต่ตนเองก็ยังทำความเข้าใจได้ไม่ครบถ้วน
เรื่องที่เผ่ามารซึ่งยุให้รุ่นพี่โคฮินาตะออกอาการกลายเป็นไคอิ——อันโดรมาเลียสมันโจมตีเข้ามา
มันกำลังจ้องเพ่งเล็งเครื่องมือต้องสาปที่สิงอยู่ในตัวฉันกับโซยะ โดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าอะไรดลใจให้มันจ้องเพ่งเล็งอยากได้อะไรพรรค์นั้น
พริบตาก่อนที่จะถูกมันลากเอาตัวไป ตัวอะไรซักอย่างที่แนะนำตนว่าชื่อมิโฮโตะก็พุ่งออกมาจากมือฉัน ก่อนจะลงมือไล่ให้เผ่ามารถอยกลับไป
แล้วก็เรื่องที่โซยะเป็นคนกำราบมิโฮโตะที่เริ่มจะบ้าคลั่งขึ้นมาได้อย่างอยู่หมัด
หลังจากที่วางผนึกใหม่ ก็ยังใช้เทคโนเบรคเกอร์ได้ตามปกติหรอก แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงของมิโฮโตะอีกต่อไปแล้ว……เล่าเรื่องพวกนั้นออกมาให้ฟังทั้งหมดในทีเดียว
ถึงจะต้องขออุบเงียบในส่วนตรงที่จับจุดสงวนของโซยะก็เหอะนะ……
“ ดะ เดี๋ยวก่อนสิ ที่ว่ามานั่น เป็นเรื่องจริงทั้งหมดเลยเหรอ? ”
คาเอเดะเอามือแตะหน้าผาก ก่อนจะร้องบอกให้ฉันหยุด เอ้อจะสับสนก็สมควรแหละ……
“ ก็จริงสิ ถ้ายังไงจะให้นางิสะเข้าสิงตรวจสอบเชิงวิญญาณใส่ฉัน เพื่อพิสูจน์ว่าจริงเท็จหรือไม่ยังไงเลยก็ได้ ”
เอ้อแต่ถ้าโดนตรวจสอบเชิงวิญญาณเข้าจริง ก็จะโป๊ะแตกเรื่องที่ทำอย่างนู้นอย่างนี้กับโซยะจนมีแววฉิบหายเหมือนกันหรอกนะ……และ เป็นในฉับพลันที่ฉันกล่าวออกไปแบบกึ่งๆพูดเล่นนั่นเอง
[โฮ่ แกพูดแล้วนะ?]
“ ฮึก!? ”
ผู้ที่ลอยทะลุกำแพงห้องผู้ป่วยดัง ซึ่ดซึ่ด…เข้ามาปรากฎกายนั่นก็คือ วิญญาณคนเป็นที่มีพลังในฐานะผู้ปราบมาร, นางิสะซึ่งเป็นอธิบดีแห่งกรมตรวจสอบตัวจริงเสียงจริงนั่นเอง
ชุดสูทสีดำกับผมสีดำยาว ดวงตาที่ราวกับปลาตายนั่นกำลังจับจ้องมองลงมายังฉันในเชิงยัดเยียดบังคับ
[พอยกหน้าที่สอบปากคำให้คุซึโนะฮะจัดการเข้าหน่อยก็เอาใหญ่……นั่นแกริอาจเรียกชื่อใครห้วนๆไม่มีหางเสียงน่ะเฮ้ย?]
ฉิบหายมันได้ยินด้วย!
เล่นเอาสับสนไปเลยว่าไหงนางิสะถึงมาอยู่ที่นี่ แต่พอคิดดูดีๆแล้วมันก็นะ ก่อเรื่องไว้ใหญ่โตมากขนาดนั้นเลยนี่เนอะ……ผู้บังคับการในสถานที่อย่างนางิสะจะมาสอบถามเรื่องราวมันก็สมควรแล้วแหละ
[แล้วไง? ตะกี้แกว่าอะไรนะ? อยากจะโดนฉันเข้าสิงตรวจสอบเชิงวิญญาณใส่ม๊ากมากเลยงั้นเรอะ?]
“ อ่าแบบว่าคือว่า……ประมาณพูดเปรียบเปรยเฉยๆอะครับ…… ”
รีบกลับมาเร็วเข้าซากุระ! …พอฉันร้องในใจเพื่อขอความช่วยเหลือจากยัยน้องสาวที่ตอนนี้กำลังไปดูอาการของโซยะปุ๊บ นางิสะก็ยกมุมปากอย่างท้าทาย พร้อมกับพูดว่า [ล้อเล่นหรอกน่าล้อเล่น] แน่ะ เอ้ยแต่โกรธแน่ๆเลยไม่ใช่เรอะตะกี้……
[ฉันแอบฟังเรื่องราวที่แกเล่ามานั่นแล้วล่ะ เอ้อแกก็คงไม่ได้โกหกหรอกนั่นแหละ ที่พูดมานั่นก็ตรงกับเค้าลางทั้งหลายที่สัมผัสได้ในคืนนั้นด้วย……แถม <<โซยะแห่งชิกิงามิ>> ก็เป็นสายตระกูลที่ผีเข้าผีออกเอาแน่เอานอนไม่ได้สุดๆมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้วด้วยละนะ]
ว่าก็ว่าแล้ว ยังปักใจเชื่อไม่ลงเลยนะเนี่ย ว่านังหนูไม่เอาอ่าวที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนโด่งดังคนนั้นมันจะสำแดงแผลงฤทธิ์ออกมาได้หยั่งนั้น……นางิสะพูดต่อว่างั้น แล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายสุดขั้วหัวใจ ก่อนจะ
[ก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันวางแผนกะทำอะไร แต่ใครจะคิดกันว่าเผ่ามารมันมีส่วนรู้เห็นด้วยเงี้ย……พวกแกเตรียมใจเอาไว้ให้ดีเลยเชียวล่ะ]
ส่งเสียงลงมาใส่ฉัน กับคาเอเดะที่ก้มหัวอยู่ด้วยสีหน้าคอขาดบาดตาย
[แน่นอนว่าต้องขอเอาเรื่องนี้ไปรายงานกับทางสมาคมล่ะ แต่ผลลัพธ์นั่นจะทำให้ “ผู้ครองชิ้นส่วน” ถูกปฎิบัติแบบไหนยังไงขึ้นมานี่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน โดยเฉพาะแกน่ะนะ ฟุรุยะ ฮารุฮิสะ]
“ …… ”
เรื่องนั้น ก็พอจะคาดเดาได้อยู่
ว่าตามตรงแล้ว ฉันก็ไม่ได้คิดว่าคำสาปของตัวเองมันเป็นแค่ผลลัพธ์ที่เกิดจากเครื่องมือต้องสาปเฉยๆหรอก
แต่เป็นคำสาปสุดประหลาดเลยต่างหาก คำสาปที่นอกจากจะถูกเผ่ามารมันเพ่งเล็งต้องการแล้ว ยังมีตัวประหลาดที่สามารถต่อกรกับเผ่ามารได้อย่างสูสีค่อนข้างไปทางได้เปรียบสถิตอยู่ภายในอีกด้วยน่ะ
[เอ้อ แต่ไอ้เจ้าเผ่ามารที่จ้องเพ่งเล็งชิ้นส่วนนั่นก็โดนดีเข้าไปจนน่าจะหายหัวไปซักพักนั่นแหละมั้ง แถมสมาคมก็คงต้องใช้เวลาในการสรุปผลซักระยะนึงด้วย จนกว่าจะถึงตอนนั้น แกก็ใช้ชีวิตแบบตลอดมาจนตอนนี้ไปซะเหอะ]
นางิสะพูดอะไรที่เหมือนกับปลอบใจทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะลอยออกไปจากห้อง
มีเพียงฉันกับคาเอเดะที่ถูกทิ้งไว้อยู่ภายในห้องผู้ป่วย คาเอเดะนั้นก้มหัวอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งทั้งอย่างนั้น เหมือนว่าจะกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรซักอย่างอยู่แบบร้อนรนสุดขั้วไปเลย
ตามจริงแล้วก็อยากจะขอปรึกษาเรื่องเทคโนเบรคเกอร์หรอก……แต่คาเอเดะวันนี้กลับดูเคร่งเครียดกลุ้มหนักซะเหลือเกิน เอ้อ ถ้าได้ฟังเรื่องที่โซยะแผลงฤทธิ์เอย เผ่ามารกำลังเพ่งเล็งเครื่องมือต้องสาปเอย อะไรเทือกนั้นในทันทีหลังจากที่เพิ่งจะเคลียร์เหตุการณ์ได้แหม่บๆนี่ จะเครียดหน้ามืดขึ้นมามันก็สมควรแหละนะ ยัยนี่ก็ดูจะยุ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
“ ……อ่า แบบว่า คราวนี้ก็ทำให้เธอต้องเป็นห่วงมากมายอีกแล้วหรือไงดี… เหมือนว่าจะก่อความวุ่นวายให้เธอเยอะแยะไปหมดเลยก็จริงหรอก ”
ฉะนั้นฉันจึง กล่าวความเป็นไปได้นั้นออกมาเพื่อหวังจะช่วยผ่อนภาระของคาเอเดะลงให้ได้ซักหน่อยก็ยังดี
“ แต่โซยะก็ช่วยปรับปรุงผนึกของสองมือนี่ให้แล้วนี่นะ งั้นจากนี้ไปก็ส่งหน้าที่ตรวจวินิจฉัยตามวาระไปให้โซยะทำแทนเลยก็แล้วกัน แบบนั้นน่าจะช่วยผ่อนภาระของเธอลงได้บ้างมั้ง? ”
พูดออกไปแบบนั้นเพราะเป็นห่วงคาเอเดะที่ช่วงนี้ดูจะเหนื่อยเป็นพิเศษ ทว่า
“ ……ฮึก! ”
“ เอ๊ะ……? ”
ใบหน้าของคาเอเดะที่แหงนกลับขึ้นมานั่นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความช็อก ทำเอาฉันพูดอะไรต่อออกมาไม่ได้เลย
เอ๊ะ ปฎิกิริยาแบบนั้นมันอะไร……พอสับสนอยู่แบบนั้น
“ พี่จ๋า! ”
ซากุระที่เวลาอยู่ข้างนอก น่าจะต้องเรียกฉันว่า “ฟุรุยะ ฮารุฮิสะ” เรื่อยนั่น พลันพูดแบบนั้นไปพลางแล่นเข้ามาในห้องผู้ป่วย
แถมยังมีคาราสึมะและนางุโมะวิ่งถล่มต่อเข้ามาจากข้างหลังนั่นอีกด้วย
“ แม่หนูมิซากิลืมตาตื่นแล้วนะ! ”
“ รีบมาเร็วเข้าฟุรุยะ! ”
“ จริงเรอะเฮ้ย!? ”
คำรายงานนั่นทำเอาฉันถึงกับกระโดดลงจากเตียง แล่นออกไปยังทางเดินโดยที่ไม่สวมรองเท้าแตะเลย
“ อ๊ะ…… ”
แต่เป็นตรงนั้นเอง ที่ได้ยินเสียงเล็กๆของคาเอเดะหลุดออกมาจากข้างหลัง ฉันที่ตะหงิดใจถึงหันขวับไป
แต่คาเอเดะกลับยั้งมือที่ทำท่าเหมือนจะยื่นเข้ามาหาฉันเอาไว้ตรงบริเวณอก ก่อนจะ
“ มัวมองอะไรอยู่น่ะ รีบไปสิ ”
“ โอะ โอ้ว นั่นสินะ ”
โดนเขม่นมองด้วยหน้าดุเฉยเลยซะงั้น ฉันจึงหันกลับมุ่งหน้าตรงไปยังห้องผู้ป่วยของโซยะอีกครา แต่ไม่ว่ายังไงก็อดติดใจกับท่าทางของคาเอเดะไม่ได้ เลยวนกลับมายังห้องผู้ป่วยตัวเองอีกรอบนึง ก่อนจะ
“ เธอน่ะ ชอบกลุ้มไม่ก็ฝืนทำอะไรเกินตัวอยู่เรื่อยเลยนี่นะ แถมเหมือนตอนเด็กมากๆเธอจะเคยพูดว่าแค่เป็นผู้สืบสกุลคุซึโนะฮะแค่นั้นก็มีแรงกดดันหนักหนาเอาเรื่องเลยด้วย……ถ้ามีเรื่องอะไรก็พูดบอกกันล่ะ ”
เอาเป็นว่าบอกเพียงแค่นั้น แล้วฉันก็เร่งรุดตรงไปยังห้องผู้ป่วยของโซยะ
“ ……จะไปพูดได้ยังไงกันล่ะ ตาบ้า ”
รู้สึกเหมือนคาเอเดะพึมพำด่าอะไรฉันอยู่หรอก แต่คำพูดนั่นก็ถูกเสียงฝีเท้าอันรีบร้อนของพวกซากุระกลบจนฟังไม่ได้ยินเลย
——เอ้อ ก็วิ่งตรงด่วนจี๋มายังห้องผู้ป่วยของโซยะเลยหรอกนะ
“ ม่าาายยยยน้าาาาาาาาาาา! ”
เพี๊ยะ!
พอโซยะที่ขมวดคิ้วโกรธาหน้าแดงแจ๋ขึ้นมาในทันทีที่เห็นหน้าฉัน พลันฟาดลูกตบเน้นๆสุดแรงสุดฤทธิ์สุดกำลังกระแทกฉันปลิวกระเด็นออกมานอกห้องผู้ป่วยแล้ว คุณหล่อนก็คลั่งปาเก้าอี้เอยแจกันดอกไม้เอยสารพัดข้าวของอัดเข้ามาใส่กันรัวๆ แม้แก๊งซากุระที่ถึงกับงงเต๊กจะพยายามช่วยกันหยุดอย่างสุดความสามารถ แต่ประตูห้องผู้ป่วยก็พลันถูกปิดลงอย่างไร้ความปรานี แล้วหลังจากนั้น ฉันก็ไม่ได้เจอหน้ากับโซยะอีกเลยจนกระทั่งออกจากโรงพยาบาลนั่นแหละ
เป็นการตอบสนองที่สมควรแล้วแหละ เผลอๆแล้วฉันที่ไม่ได้คาดการณ์ถึงกรณีนี้เอาไว้ต่างหากที่โง่เง่าซะไม่มี
“ ……เป็นซะแบบนี้ แล้วหลังจากนี้จะทำงานด้วยกันได้มั้ยเนี่ยเฮ้ย? ”
แค่นี้สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคำสาปของพวกเรามันก็คับขันซะจนผิดปกติแล้วแท้ๆ
แบบนี้อย่าว่าแต่จะรวบรวมข้อมูลเพื่อหาทางเป็นใหญ่เป็นโตเลย แค่ประคองสภาวะร่วมมือกันเพื่อหาทางคลายคำสาปให้ได้นี่ยังจะยาก
ฉันสัมผัสได้ว่ามาจนตอนนี้แล้วระดับความยากของการคลายคำสาปมันยิ่งจะเพิ่มพูนสูงมากขึ้นอีกไปพลาง กองแผ่หราหยั่งกับผ้าขี้ริ้วรุ่งริ่งอยู่ตรงทางเดินของโรงพยาบาลแหละ