ไล่ผีแบบเจอะหน้าปุ๊บแตะจึ๊กเดียวถึงสวรรค์! - ตอนที่ 71 บทส่งท้าย 2 (จบเล่มสอง)
“ ……เฮ่อ ”
สำนักงานใหญ่สมาคมผู้ปราบมาร ณ มุมขอบทางเดินที่เงียบกริบไร้เสียง ตรงม้านั่งอันสำหรับใช้พักผ่อนอันเปล่าเปลี่ยวข้างตู้ขายน้ำอัตโนมัติ
นั่นคือช่วงสิบกว่าวันให้หลังจากที่โลลิค่อนสเลเยอร์ถูกปราบลงไป
การสืบตามหาเผ่ามารดันชนตอเข้าอย่างจัง ส่งผลให้คุซึโนะฮะ คาเอเดะมีเวลาว่างขึ้นมาอย่างไม่ได้หวัง และเป็นในยามที่เธอกำลังจะปล่อยตัวไปกับการพักผ่อนที่ไม่ได้ทำมาซะนานนั่นเอง
[เฮ้ย คุซึโนะฮะ]
ที่จู่ๆก็มีสตรีร่างโปร่งแสงปรากฎตัวออกมาจากข้างในกำแพง พร้อมกับส่งเสียงลงมาจากตำแหน่งที่อยู่เหนือหัวคาเอเดะซึ่งกำลังซดกาแฟกระป๋อง
“ ……คุณนางิสะหรือคะ ”
คาเอเดะส่งดวงตาที่สั่งสมความเหนื่อยล้าอยู่หน่อยไปยังนางิสะ โดยที่ราวกับว่าไม่ได้หวั่นไหวต่อการปรากฎตัวนั่นเลยแม้แต่นิด
<<นางิสะผู้บดขยี้ศาสตร์วิชา>>
อดีต 12 เซียนอัมพร และอธิบดีคนปัจจุบันของกรมตรวจสอบ
หญิงผู้สั่งพักการพิจารณาคดีแท่นตัดคอประหารของฟุรุยะ ฮารุฮิสะได้ด้วยอำนาจของตนเพียงคนเดียวนั่น พลันส่งดวงตาที่ราวกับปลาตายให้จ้องมองลงมายังคาเอเดะ ก่อนที่จะพูดต่อออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม
[บอกมาซะทีได้แล้ว ไอ้เจ้านั่นมันคืออะไรกันน่ะ?]
“ ……ก็น่าจะ เป็นอย่างที่คุณกำลังคาดการณ์อยู่นั่นแหละค่ะ ”
ไม่จำเป็นต้องถามเลยด้วยซ้ำ ว่าไอ้เจ้านั่นในที่นี้มันหมายถึงอะไร
หมายถึงฟุรุยะ ฮารุฮิสะ—-หรือถ้าให้ถูกก็คือคำสาปที่สถิตอยู่ภายในสองมือของเขานั่นเอง
คาเอเดะกล่าวทัศนะความเห็นให้กับอีกฝั่ง โดยระวังไม่ให้เผลอปล่อยข้อมูลที่เหนือกว่าที่นางิสะล่วงรู้อยู่ในตอนนี้ออกมา เท่านั้นแหละนางิสะพลันหรี่ตาเล็กลงข้างนึงอย่างหัวเสีย ก่อนที่จะ
[ไม่ต้องมาคิดกลบเกลื่อนเชียวนะเว้ย ทางกรมตรวจสอบลงความเห็นตรงกันอย่างเป็นทางการไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าตระกูลคุซึโนะฮะของแกต้องแอบปกปิดตัวตนของ “โบราณวัตถุแห่งตัณหาอันลี้ลับ” ไว้แน่นอนเลยน่ะ แถมเรื่องนี้พวกตระกูลเก่า รวมไปถึงพวกระดับสูงของสมาคมมันก็รู้กันหมดแล้วด้วย]
เพราะการตรวจสอบเชิงวิญญาณของฉันมันมีระดับความน่าเชื่อถือสูงสุดกู่ไปเลยไง……นางิสะกล่าวเช่นนั้นเพื่อหมายจะจับปฎิกิริยาของคาเอเดะ
แล้วจากนั้นจึงพูดขึ้นต่อ ราวกับเป็นการเน้นหนักตรงคำว่า “โบราณวัตถุแห่งตัณหาอันลี้ลับ”
[……ปักใจเชื่อไม่ลงเลยก็จริงหรอก แต่ไอ้เจ้านั่นน่ะมันต้องเป็น “โบราณวัตถุแห่งตัณหาชิ้นที่ 9” ไม่ผิดแน่….ทว่าถ้าเป็นแบบนั้นจริง งั้นเรื่องมันก็จะยิ่งสับสนชวนงงหนักเข้าไปใหญ่เลย]
นางิสะเกาหัวร่างวิญญาณของตนเองดังแกรกๆ ก่อนจะเรียงข้อสันนิษฐานของตนออกมาเหมือนกับเป็นการซักถามคาเอเดะ
[ไม่มีบันทึกว่าพบเจอโบราณวัตถุแห่งตัณหาชิ้นใหม่มานานกว่าหลายร้อยปีแล้ว แถมไอ้เจ้าความสามารถสุดบ้าบอที่ชื่อเทคโนเบรคเกอร์นั่น เท่าที่ฉันรู้แล้วก็ไม่มีข้อมูลของมันถูกจารึกเอาไว้ที่ไหนเลยแม้แต่นิดเดียวด้วย สรุปความได้ว่ามือสองข้างนั่นมันเพิ่งจะโผล่ขึ้นมาได้ไม่นานนี้เอง]
น่าขนลุกชะมัด……นางิสะเว้นช่วงไปซักระยะ ก่อนที่จะพูดออกมาต่อ
[แล้วก็ยังมีนี่อีก ถ้าคำรายงานของซากุระที่ว่ามันเริ่มสวมกำไลที่ใช้เป็นผนึกชั่วคราวมาตั้งแต่ตอนประถม 6 นั่นเป็นเรื่องจริง ก็จะหมายความว่าเจ้าโบราณวัตถุแห่งตัณหานั่นมันสิงสถิตอยู่ภายในตัวฟุรุยะ ฮารุฮิสะมาเป็นเวลานานกว่า 4 ปีเลย]
“ ……ค่ะ ก็จะได้ความว่าแบบนั้น ”
พอคาเอเดะยอมรับอย่างว่าง่าย นางิสะก็พลันตอกกลับมาในทันทีว่า [เป็นไปไม่ได้]
แต่นั่นไม่ใช่คำที่พูดออกมาเพื่อปฎิเสธ แต่ใกล้เคียงกับพูดออกมาเพราะตกตะลึงทำใจเชื่อไม่ลงมากกว่า
[ถ้าที่ว่านั่นเป็นเรื่องจริง ก็จะหมายความว่าไอ้เจ้าเด็กเปรตนั่นมันอยู่ร่วมอย่างญาติดีกับคำสาป ได้เป็นเวลานานกว่านังลูกสาวสืบตระกูลโซยะนั่นถึงกว่าเท่าตัวเลยไม่ใช่เรอะเฮ้ย]
“ แต่มันก็คือความจริงค่ะ ”
[……ถ้างั้น ไอ้เจ้าเด็กเปรตที่ชื่อฟุรุยะ ฮารุฮิสะนั่นมันก็ชักจะไม่น่าปกติเข้าไปใหญ่แล้วนะเว้ย ตระกูลคุซึโนะฮะไม่ได้รู้อะไรเลยจริงๆน่ะเรอะ?]
“ เกี่ยวกับเรื่องนั้นนี่ ทางฝั่งฉันอยากจะเป็นฝ่ายถามคุณเสียด้วยซ้ำค่ะ ”
คาเอเดะเผลอเค้นแรงใส่เข้าไปในมืออย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะจ้องกลับไปหานางิสะ
“ ที่ว่าฟุรุยะ ฮารุฮิสะคือผู้ฉุดรั้งชาวสวรรค์นั่น มันหมายความว่ายังไงกันคะ ”
ผลการตรวจสอบเชิงวิญญาณที่นางิสะเผลอหลุดปากออกมาในระหว่างการพิจารณาคดีแท่นตัดคอประหาร….คำพูดซึ่งเป็นตัวพลิกคดีที่เกือบๆจะจบลงที่โทษกักขังจองจำ
นั่นมันก็ถือเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของคาเอเดะโดยสมบูรณ์เลยเช่นกัน
[ก็ความหมายตรงตามตัวอักษรนั่นแหละ]
เห็นการตอบรับของคาเอเดะแล้ว นางิสะก็พูดออกมาโดยไม่ปกปิดท่าทางหงุดหงิดเลย
[จับเค้าลางของผู้ฉุดรั้งชาวสวรรค์ได้จากเจ้าเด็กนั่นอย่างชัดเจนเลยน่ะ ……ถึงจะไม่มีใครประทับอยู่ข้างในก็เหอะนะ]
“ …… ”
ได้ยินคำพูดของนางิสะแล้ว คาเอเดะก็รู้สึกโล่งอกจากก้นบึ้งของหัวใจ
ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นเพราะการตรวจสอบเชิงวิญญาณของนางิสะถูกหยุดไปกลางทางอย่างผิดธรรมชาติ หรือเพราะผนึกพรางตาของบาทหลวงนั้นลวงได้แม้กระทั่งการตรวจสอบของนางิสะเลยกันแน่
แต่จะยังไงก็ตามที ดูเหมือนว่านางิสะจะไม่ได้สังเกตถึงตัวตนที่ส่งเสียงให้ดังก้องอยู่ภายในหัวของฮารุฮิสะงั้นสินะ
ทว่าถึงแม้จะโล่งอก แต่ใจมันก็พลันคิดขึ้นมา ว่าผลลัพธ์การตรวจสอบเชิงวิญญาณของนางิสะมันเป็นอะไรที่ไม่อาจเข้าใจได้มากเกินไป
เพราะนางิสะพูดให้คำขาดอย่างมั่นใจเลยนั่นเอง ว่าฟุรุยะ ฮารุฮิสะนั้นคือผู้ฉุดรั้งชาวสวรรค์
ฉุดรั้งชาวสวรรค์ที่ว่านี้ ก็คือนามของความสามารถสุดผ่าเหล่า ที่จะดึงตัวผู้อยู่อาศัยในมิติสวรรค์ลงมาสิงสถิตอยู่ภายในกายหยาบของมนุษย์ ทำให้เค้นพลังที่เหนือล้ำเกินกว่าขอบเขตของมนุษย์ออกมาใช้ได้ชั่วขณะ
หากเป็นยุคเก่าแล้วละก็……ไม่สิต่อให้เป็นในยุคปัจจุบันก็ยังไม่เปลี่ยน นั่นมันคือพลังอำนาจพิเศษที่เป็นดั่งฉายาแทนตัวของผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่โดยแท้เลย
[จะถามอีกรอบนึงนะคุซึโนะฮะ ไอ้เจ้าเด็กเปรตที่ชื่อฟุรุยะ ฮารุฮิสะนั่นมันเป็นแค่เด็กกำพร้าเพราะภัยวิญญาณจริงๆน่ะเรอะ?]
“ ไม่ผิดแน่นอน ”
คาเอเดะตอบกลับในทันที
ตั้งแต่นั้นมา คาเอเดะก็ใช้คนของคุซึโนะฮะให้ทำการค้นประวัติต้นกำเนิดของฮารุฮิสะดูแล้ว แต่ผลลัพธ์ก็คือไม่พบอะไรผิดปกติ เป็นคนที่มีสายเลือดธรรมดาสามัญโดยสมบูรณ์เลย
เพราะแบบนั้นแหละ เลยไม่เข้าใจ
ทำไมถึงจับเค้าลางของผู้ฉุดรั้งชาวสวรรค์ได้จากตัวของฟุรุยะ ฮารุฮิสะกัน
ทั้งที่เจ้าสิ่งที่น่าจะอยู่ภายในตัวของฮารุฮิสะ มันไม่มีทางเป็นตัวตนที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนั้นไปได้แน่นอนแท้ๆ
[……ชิ เล่นชิงไหวชิงพริบกับจิ้งจอกไปก็คงไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเรอะ]
แม้นางิสะจะยังคงมีท่าทางสงสัยอยู่ แต่คาดว่าทางกรมตรวจสอบเองก็คงจะทำการสอบสวนเช่นตรวจสอบ DNA ไปแล้วเหมือนกันนั่นล่ะ นางิสะจึงยอมถอยกลับอย่างง่ายๆ
[เอาเป็นว่า ตอนนี้รู้แน่นอนแล้วว่าไอ้เด็กเปรตนั่นมันคือระเบิดที่จะเอามือไปแตะมั่วซั่วไม่ได้ ……แถมการประชุมญาติมิตรก็ไม่มีวันกำหนดจัดแบบแน่นอนอีก ฉะนั้นตราบเท่าที่มันไม่บ้าอาละวาดแบบเห็นได้ชัดเจน แผนว่าจะจัดการยังไงกับเจ้านั่นก็คงถูกพักเอาไว้ไปโดยปริยายเลยนั่นล่ะ ส่วนพวกคุซึโนะฮะที่ปกปิดเรื่องของมันเอาไว้ ก็รอดตัวจากการโดนบีบให้ต้องรับผิดชอบไปด้วยเหมือนกัน]
“ …… ”
ความรับผิดชอบของคุซึโนะฮะอะไรนั่นช่างหัวมันเถอะ
อยากจะพูดแบบนั้นอัดใส่นางิสะที่จ้องเข้ามาด้วยแววตาเหมือนจะสื่อว่า “โชคดีไปนะ” อยู่หรอก แต่คาเอเดะก็ปั้นหน้าเข้มจริงจังเพื่อไม่ให้ถูกรู้ว่าในใจนั้นกำลังโล่งอก ก่อนที่จะพูดโยงไปยังเรื่องอื่น
“ เพื่อถัวคืนกับที่แผนจัดการถูกพักเอาไว้แล้ว แสดงว่าการเฝ้าจับตาดูฟุรุยะ ฮารุฮิสะมันจะยิ่งเข้มงวดมากขึ้นยิ่งกว่าที่เป็นอยู่นี้อีกหรือคะ ”
[แหงอยู่แล้วดิเฮ้ย]
“ แต่ถ้าอย่างนั้นมันก็แปลกสิ้นดีเลยนะคะ ที่ยังสั่งให้ฟุมิโดริ ซากุระซึ่งเพิ่งจะหายเจ็บได้ใหม่ๆทำหน้าที่ต่อเนื่องไปแบบนั้น คนระดับคุณนางิสะก็ตัดสินใจประหลาดๆเป็นเหมือนกันนะคะเนี่ย ”
พอถามไปโดยมีความรู้สึกส่วนตัวผสมปนเปเข้าไปด้วยแล้ว นางิสะก็พลันทำดวงตาให้อ่อนลงอย่างเห็นได้ยาก ก่อนจะ
[เออ เรื่องยัยนั่นน่ะไว้แบบนั้นล่ะดีแล้ว]
“ ห้ะ? ”
[ถ้าสั่งให้พักฟื้นตัวไปเฉยๆ ยัยนั่นมันก็คงจะเหงาซึมจนไม่เป็นอันได้พักฟื้นกันพอดีใช่มั้ยล่ะ? เพราะงั้นก็เลยคิดว่ามอบงานเบาๆให้ไว้แบบนี้ซะมันจะดีกว่าอะนะ อุตส่าห์มีพรสวรรค์ทั้งทีไง ไม่อยากจะใช้งานมั่วๆจนพลาดไปทำอนาคตพังเข้าน่ะนะ ……เอ้อ แต่ถ้าไปหลงไอ้เด็กเปรตนั่นจนโงหัวไม่ขึ้นหนักไปยิ่งกว่านี้ก็คงลำบากเหมือนกันหรอก]
“ …… ”
ถ้าเป็นแบบนั้นทางนี้ก็ลำบากเหมือนกัน
คาเอเดะคิดอะไรที่ไม่เหมาะกับสถานการณ์ไปพลาง ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
หากซากุระเป็นผู้จับตาแบบกึ่งๆในนามเท่านั้น ก็แสดงว่าได้มีการส่งผู้จับตาตัวจริงคนอื่นมาเรียบร้อยแล้วงั้นสินะ
ฟุรุยะ ฮารุฮิสะยิ่งเป็นคนเลินเล่ออยู่ด้วย ไปเตือนให้ระวังตัวเอาไว้หน่อยคงจะดีกว่าละมั้ง……เป็นในฉับพลันที่เริ่มต้นวางกำหนดการเพื่อนัดพบเจอกับเขาในครั้งถัดไปอยู่นั่นเอง
[จะพูดเผื่อเอาไว้ก็แล้วกัน ห้ามแกเอาข้อมูลที่พูดเมื่อกี้ไปบอกใครเด็ดขาดล่ะ แน่นอนว่าห้ามบอกกับฟุรุยะ ฮารุฮิสะที่เป็นตัวต้นเรื่องด้วย]
ทำเอาคิดว่าถูกอ่านใจรึเปล่าอยู่ชั่วพริบตานึงเลย แต่ไม่ใช่
นางิสะพูดถึงเรื่องผู้ฉุดรั้งชาวสวรรค์ กับ “โบราณวัตถุแห่งตัณหาชิ้นที่ 9” ต่างหาก
[ก็มันเป็นเคสผิดปกติในหมู่พวกผิดปกติอีกทีนึงเลยนี่นะ หากบอกข้อมูลให้กับเจ้าตัวอย่างไม่เข้าท่า ก็มีเสี่ยงที่จะเป็นการเพิ่มระดับอันตรายของมันขึ้นมาด้วยเหมือนกัน ……เอ้อแต่ให้ว่าแล้ว]
ต่างกับสายตาที่มีต่อลูกศิษย์ของตนแบบสุดขั้ว นางิสะพลันส่งแววตาแบบมีเจตนาร้ายตรงเข้ามาใส่คาเอเดะ ก่อนจะ
[เอาตามจริงฉันไม่ต้องเตือนเลยด้วยซ้ำ แค่นี้คุซึโนะฮะก็ดูจะปกปิดเรื่องอะไรต่อมิอะไรไม่ให้ฟุรุยะ ฮารุฮิสะรู้อยู่แล้วนี่นะ]
“ ……เรื่องนั้นนี่ คนรอบตัวโซยะ มิซากิเองก็ทำเหมือนกันไม่ใช่หรือคะ ”
โบราณวัตถุแห่งตัณหาของราชันย์ซัคคิวบัส….หากล่วงรู้ถึงธาตุแท้อันหาดีไม่ได้นั่นแล้ว ไม่ว่าใครก็คงจะเลือกทำแบบเดียวกับพวกคาเอเดะทั้งนั้นล่ะ
[เอ้อ ก็จริงนะ]
นางิสะพยักหน้าให้กับคำพูดของคาเอเดะ ก่อนจะหายลับไปในทันที ราวกับว่าหมดธุระแค่นี้เลยก็ไม่ปาน
“ ……ฟู่ ”
มุมทางเดินกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง คาเอเดะยกเอากาแฟกระป๋องขึ้นมาชนริมฝีปาก ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ
แม้จะมีช่วงเวลาจำกัด แต่เท่านี้ก็มั่นใจได้แล้วว่าความปลอดภัยของฟุรุยะ ฮารุฮิสะจะถูกรับประกันไปซักระยะหนึ่ง
ทว่าก็มีปัจจัยที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของคาเอเดะมากเกินไป ทำให้โล่งอกได้ไม่เต็มที่
ผู้ฉุดรั้งชาวสวรรค์ การจู่โจมอย่างกะทันหันของเผ่ามาร เคสของฮารุฮิสะที่จะโล่งใจได้ไปจนกว่าจะถึงการประชุมญาติมิตรครั้งหน้า……
ทั้งหมดต่างก็เป็นหัวข้อที่น่าหนักใจ สภาพจิตซึ่งเหนื่อยล้าจากการพูดคุยแบบ 1-1 กับนางิสะนี่ไม่มีทางพินิจพิเคราะห์ได้แน่นอน
“ ……เอาเป็นว่า ”
คาเอเดะใช้หัวที่อ่อนล้าสุดขีด ตัดสินใจเด็ดขาด
“ ไปหาฟุรุยะคุงอีกครั้ง ดีมั้ยนะ ”
แน่นอนว่าต้องไปในร่างของเมย์
ปลายปีที่แล้ว ตั้งแต่ที่เผอิญถูกเขาช่วยเอาไว้ในระหว่างที่อยู่ร่างนั้นเป็นต้นมา มีคิดจะเลิกซะก่อนที่ความจะแตกอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว ต่อให้ทำยังไงก็ไม่อาจเลิกได้จริงๆนั่นแหละ
“ คราวนี้เอาในแบบที่ไม่ฝืนเกินไป…… ”
ตอนที่นอนตักนั่นยังพอไหวแบบเฉียดฉิวอยู่
ถัดไปนี่……นั่นสินะ เอาแบบเน้นสบายใจไว้ก่อนน่าจะดี ลองจับมือกันเดินเล่นไปทั่วสวนสาธารณะอะไรแบบนั้นดูดีมั้ยนะ
—-คาเอเดะวาดฝันถึงสิ่งที่ไม่อาจทำในร่างดั้งเดิมของตนเองได้เป็นอันขาดเช่นนั้นไปพลาง ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเวลาพักผ่อนเพียงชั่วครู่
<<จบเล่มสอง>>
สวัสดีครับ ผมคนแปลเอง จบเล่มสองกันไปแล้ว ซากุระจังน่ารักกก!! เนี่ยในหัวมีแต่คำนี้สั่นสะท้านดังกังวาน เล่มนี้ต้องยกความเป็นเบสต์เกิร์ลให้กับซากุระจังโดยแท้
เล่มถัดไปก็จะยกระดับความบัดสีไปอีกขั้น ให้ว่าแล้วผมว่าเล่มสามนี่แหละควรตีตราว่าเป็น 18+ มากสุดในล็อตแล้ว ฮา ทำไมนี่เดี๋ยวก็รู้กันครับ เล่มสามนี่ออกลายตั้งแต่ช่วงแรกๆเลย