หลังจากที่ปราบโลลิค่อนสเลเยอร์ลงได้แล้ว ผ่านไปมากถึงตั้ง 4 วันเลยทีเดียวกว่าที่ฉันจะฟื้นได้สติกลับคืนมา
แถมพอตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังจะถูกรุมเร้าโดยความเจ็บปวดทั่วร่างกาย ถึงกับขนาดที่แค่ลุกขึ้นจากเตียงนอนของโรงพยาบาลก็ยังจะทำไม่ได้ไปซักพักนึงเลยด้วยซ้ำ
เท่าที่ฟังจากคำอธิบายของคุณหมอ เห็นว่ากล้ามเนื้อทั้งหมดทั้งมวลทั่วร่างมันบอบช้ำขนาดที่เกือบๆจะฉีกขาดอยู่แล้ว และเนื่องจากความเหนื่อยล้ามันสั่งสมมากระดับที่ร่อแร่เหลืออีกแค่ก้าวเดียวก็จะหมดแรงสิ้นใจตาย ความเร็วในการฟื้นสภาพของร่างกายเลยลดพรวดร่วงกรูด ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องให้น้ำเกลือ & นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่เท่านั้นสถานเดียว แถมที่ยิ่งกว่านั้นก็คือไม่รู้ทำไมแต่ตัวฉันเนี่ยเหมือนว่าจะอยู่ในสภาวะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงซะหยั่งกับหมดสิ้นทั้งแรงกายแรงใจเลย ประมาณแบบอยู่ในสภาวะ HP1 ของแท้แน่นอนไม่ได้พูดเล่นเลยน่ะแหละ
ไม่ได้รับบาดเจ็บหนักสาหัสเป็นพิเศษซะหน่อยแท้ๆแต่กลับโทรมไปหมดทั้งตัว……เหมือนว่าจะอารมณ์ประมาณนั้นละมั้ง
คราวก่อนหน้านี่โซยะช่วยเรียกตัวผู้มีความสามารถในการรักษาฝีมือดีมาให้ ก็เลยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหรอก แต่คราวนี้มันก็นะ……เพราะมีอะไรหลายๆเรื่องก็เลยไม่ได้สิทธิพิเศษแบบนั้นแล้ว
ทำไมน่ะเรอะ ก็เพราะโซยะเล่นก่อเรื่องงามหน้ารัวๆเลยไงล่ะ เช่นถล่มทำลายสำนักงานใหญ่ของสมาคมบ้างเอย กระชากลากเอาตัวคาราสึมะที่กลายเป็นโลลิค่อนออกไปบ้างเอย…เพราะแบบนี้เองตระกูลโซยะจึงหมดสิทธิไม่อาจเข้ามาพูดเอื้ออำนวยประโยชน์อะไรให้ได้
แต่เอ้อ เหตุผลอันดับหนึ่งมันก็อยู่ที่ตัวฉันเองนี่แหละนะ……เชื่อมั่นสุดใจเลยว่าใช่แบบนั้นแน่
“ ……ทำลงไปซะแล้ว ”
ตลอดช่วงหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ตั้งแต่ที่ได้สติกลับมาจนถึงได้ออกจากโรงพยาบาล
ฉันที่ขยับเขยื้อนร่างกายคล่องๆไม่ได้นั้นเอาแต่นอนหงายอยู่กับเตียง พลางกลุ้มถูกรุมเร้าอยู่โดยความเสียใจอย่างหนักหน่วง
“ ไม่ใช่แค่ระดับใช้พลังมั่วๆแล้ว……นี่ฉันทำสามัญชนน้ำแตกกระจายไปกี่คนเลยน่ะ……? ”
ยิ่งคิดอย่างใจเย็นมากเข้าเท่าไหร่ เหงื่อแปลกๆก็ยิ่งหลั่งไหลออกมาจากทั่วร่างกาย
เพื่อที่จะช่วยซากุระแล้ว มันไม่มีทางเลือกอื่น
ต่อให้เจอสถานการณ์เดิมซ้ำอีกรอบ ฉันก็คงจะเลือกทำแบบเดิมไม่ผิดแน่
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันมันก็ไม่ได้จิตใจแข็งแกร่งประดุจหินผาขนาดที่จะยอมรับความเป็นจริงได้อย่างมั่นหน้าซะหน่อยไง
ก็มันแบบนี้ไงเอ็ง……เหมือนว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เข้าร่วมดูแลสถานการณ์ภายหลังในฮารุงาฮาระเค้าจะเอาเรื่องไปเล่าให้รู้กันใหญ่โต แววตาจากพวกคุณนางพยาบาลที่มองฉันก็เลยเกินจะบรรยายเลย แถมพอถึงเวลาวินิจฉัยอาการนี่ ยังจะมีผู้ปราบมารตามมาประกบเป็นบอดี้การ์ดอยู่ข้างๆคุณหมอกับคุณนางพยาบาลอีก
แน่นอนว่าผู้ปราบมารมืออาชีพก็เข้าร่วมในการดูแลสถานการณ์ภายหลังด้วย……ผู้ปราบมารที่เป็นบอดี้การ์ดก็เลยจ้องมองฉันด้วยแววตาที่เหนือล้ำเกินคำอธิบายไปด้วยอีกเหมือนกัน……ต้องได้รับการเยียวยาจิตใจมากยิ่งกว่าร่างกายอีกนะเนี่ยแบบนี้……
“ แถมยังได้ความสามารถประหลาดเพิ่มเข้ามาอีก……มันอะไรกันฟะไอ้เจ้าบูสต์จุดกายิกสุขเนี่ย……กลายเป็นข่าวลือพิลึกพิลั่นแพร่สะพัดให้ทั่วโรงเรียนไปหมดอีกแล้วไม่ใช่เรอะเฮ้ย…… ”
พอหยิบมือถือขึ้นมา ก็พบว่ามีเมลจากไอ้พวกบ้าห้อง D ถูกส่งมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
[นี่เอ็ง เห็นว่าคราวนี้ซัดกับไคอิแล้วช่วยตัวเองไปด้วยสินะ……ตรูนี่คือเงิบแดกจัดจนถึงขั้นนับถือขึ้นมาเลยว่ะ]
[เล่นปล่อยท่อนล่างล่อนจ้อนแล้วกระโจนเข้าไปใส่ไคอินี่……*บิกคุริสุรุยูโทเปียเนี่ยมันใช้กับวิญญาณร้ายสเกลต่ำได้ดีก็จริงอยู่หรอกนะ แต่คนธรรมดาที่ไหนเขาจะทำอัดใส่ไคอิในที่โล่งแจ้งกันบ้างฟะ……]
เหมือนว่าข้อมูลแบบครึ่งๆกลางๆแถมยังถูกบิดจนมั่วซั่ว มันจะแพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนอีกแล้วแฮะ
พอเห็นข้อความจากไอ้พวกเด็กผู้ชายที่สามารถตีความเป็นทั้งหยึยหยะแหยงและเคารพยำเกรงได้พร้อมกันนั่นแล้ว ฉันก็ถึงกับต้องเอามือกุมหัวเลย
“ ลำพังแค่เรื่องโลลิค่อนสเลเยอร์ก็ทำเอาถูกทางสมาคมว่ากล่าวตักเตือนมาสารพัดอย่าง แถมยังเพิ่งจะรอดตัวจากการพิจารณาคดีแท่นตัดคอประหารมาได้แหม่บๆเองแท้ๆ นี่ฉันคลั่งทำบ้าบออะไรลงไปกันน่ะ…… ”
ทำการรักษาแบบระยะเร็วเพื่อเป็นรางวัลตอบแทนที่ปราบไคอิ สเกล 5 ลงได้……เนี่ยไม่ต้องหวังเลย
เผลอๆแล้วถ้าคำตัดสินที่ว่าไร้มลทิน (ชั่วคราว) ภายในการพิจารณาคดีแท่นตัดคอประหารนั่นจะถูกพลิกกลับใหม่อย่างไวให้ว่องขึ้นมาก็ไม่น่าแปลกใจเลยด้วยซ้ำ ทำเอาฉันถึงกับนอนตัวสั่นกึกๆอยู่บนเตียงไปซักระยะนึงเลยก็จริงหรอก……
แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ต่อให้รอไปนานเท่าไหร่ก็ไม่มีใครมาเอาเรื่องเลย เวลาล่วงเลยผ่านไปจนมาถึงวันนี้ วันที่ฉันจะได้ออกจากโรงพยาบาลด้วยดี
“ แบบว่า……มันรู้สึกติดๆใจยังไงชอบกลแฮะ ”
ฉันเอาของเยี่ยมไข้ที่ได้จากโซยะ นางุโมะ แล้วก็คาราสึมะที่มาดูอาการอย่างเป็นห่วงในระหว่างที่นอนโรงพยาบาลอยู่นั่น เก็บเข้าไปในถุงกระดาษ เตรียมตัวเดินทางกลับ (ส่วน DMM กิฟต์กับเซ็ตจิ๋มกระป๋องที่คาราสึมะให้มานั่นโยนทิ้งไปในทันทีที่ได้มาแล้ว)
“ ต่อให้เรื่องในฮารุงาฮาระจะไม่ได้บานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็เหอะ แต่เล่นไม่มีวี่แววอะไรจากกรมตรวจสอบเลยแบบนี้นี่…… ”
เหตุวุ่นวายในฮารุงาฮาระนั้นแทบจะไม่ได้ถูกนำมาออกข่าวเลย
เพราะผู้คนเกือบทั้งหมดที่อยู่ภายในสถานที่ ต่างก็ได้รับอิทธิพลจากการถูกเปลี่ยนกลายเป็นโลลิค่อนทำให้ความทรงจำเลือนลาง นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของกลุ่มสื่อที่ประโคมข่าวไล่ต้อนสมาคมในคราวคดีโลลิค่อนสเลเยอร์นั่นยังผ่อนระดับลงไปอย่างกะทันหันเฉยเลยอีกด้วย ก็สงสัยว่าเป็นเพราะจับตัวไอ้หนอนบ่อนไส้ที่จงใจปล่อยข้อมูลไปยั่วยุสื่อนั่นได้แล้วรึเปล่าอยู่หรอก แต่ก็ไม่เห็นจะมีข่าวคราวว่าแบบนั้นเลยซักนิดอีก……
มีสงสัยว่าคุณยายของคาเอเดะอาจจะช่วยทำอะไรเพื่อปกป้องฉันอยู่เหมือนกันหรอก แต่แบบนั้นมันก็ยังจะแหม่งๆอยู่ดี
จะยังไงก็ตามแต่ การที่กรมตรวจสอบซึ่งไล่ต้อนฉันถึงขนาดนั้นกลับเงียบสนิทไร้วี่แวว ไม่ทำเรื่องว่าจะเอายังไงกับฉันให้ชัดเจนซะทีแบบนี้มันชวนให้รู้สึกไม่ดีสุดๆเลย
พูดถึงอะไรที่ไม่ชัดเจนแล้ว
“ แล้วนี่ยัยคาเอเดะ จะเอายังไงกับการตรวจวินิจฉัยตามวาระครั้งต่อไปกันละเนี่ย…… ”
ถ้าสะสางเรื่องของโลลิค่อนสเลเยอร์แล้ว ไม่แน่อาจจะมีเรื่องเกี่ยวกับคำสาปที่พอจะบอกกับฉันอยู่บ้างก็ได้……คาเอเดะว่าเอาไว้แบบนั้น
แต่ต่อให้ฉันจะติดต่อไปหาซักเท่าไหร่ ยัยนั่นก็เอาแต่พูด “ตอนนี้ยุ่ง” ปัดปฎิเสธกันดังฉึบในทันทีอยู่นั่นแหละ เลยไม่ได้เจอหน้ากันมาซักพักนึงแล้ว
ถึงจะมีร่องรอยว่าแอบมาทำการตรวจวินิจฉัยตามวาระอยู่ครั้งนึง ในระหว่างช่วงที่ฉันยังไม่ได้สติก็เหอะนะ……
“ เอ้อ แต่ก็เข้าใจแหละว่ายุ่ง ”
การปรากฎตัวของเผ่ามาร
ดูเหมือนว่าในท้ายที่สุดแล้ว ทีมผู้ปราบมารที่สมาคมสั่งตั้งขึ้นมาอย่างเร่งด่วนก็ไม่อาจจะสืบสาวไปถึงตัวใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ได้แน่ะ
ผลลัพธ์ก็คือจับตัวมนุษย์ที่ถูกเผ่ามารควบคุมมาได้ 3 คนเท่านั้นเอง
เนื่องจากมีฐานะเป็นคนของตระกูลเก่า รวมทั้งเป็นคนที่พบเห็นไอพิษของเผ่ามารอย่างจะๆกับตาตัวเอง คาเอเดะก็เลยเหมือนจะถูกมอบหมายให้ทำการสอบสวนไล่ล่าตามตัวมันจนยุ่งหัวหมุนสุดๆไปเลยหรือไงนี่
เออ เผลอๆแล้วเรื่องมันอาจจะบานปลายกลายเป็นเหตุร้ายระดับเดียวกับเหตุพ่อ—–เหตุวิญญาณพยาบาท สเกล 7 อาละวาดนั่นได้เลยไง จะให้ความสำคัญกับฝั่งด้านนั้นมากยิ่งกว่าอะไรทั้งปวงนี่ก็เข้าใจได้อยู่หรอกนะ……
“ แต่มันก็น้าา ”
เอ้อ คาเอเดะก็ไม่เคยขาดการตรวจวินิจฉัยตามวาระมาก่อนซะหน่อยนี่นะ รอไปซักพักเดี๋ยวก็คงจะมีโอกาสได้คุยกันเองนั่นแหละ
(……จะว่าไป ในระหว่างเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ นอกจากคาเอเดะแล้ว เมย์ก็ไม่โผล่มาเยี่ยมเลยเหมือนกันแฮะ)
ฉันออกจากโรงพยาบาลโดยที่รู้สึกเหงาอยู่นิดๆ ก้าวขึ้นไปในรถไฟสายที่มุ่งสู่โรงเรียนปราบมาร
ปล่อยร่างกายไปตามการสั่นไหวที่เป็นจังหวะ และสิ่งที่คิดอยู่ในหัวอันเหม่อลอยนั่น—-ก็คือเรื่องของซากุระ
(ที่ชวนให้ติดใจมากที่สุดในเหตุคราวนี้ ก็คือไอ้ตรงนั้นนี่แหละนะ……)
ตามจริงแล้วในระหว่างที่นอนโรงพยาบาล คาเอเดะก็โทรมาแบบพูดเสร็จสรรพด้วยคนเดียวอยู่ครั้งนึงเหมือนกันน่ะ เป็นช่วงให้หลังจากที่ฉันเพิ่งจะลืมตาตื่นได้ใหม่ๆเลย
[เพราะเธอเอาแต่โหวกเหวกโวยวายให้บอกอาการความปลอดภัยของนังหนูมาอย่างละเอียดซะจนไม่เป็นอันได้รักษา ก็เลยจะโทรมาพูดแค่บทสรุปแบบง่ายๆให้รู้เอาไว้ก็แล้วกัน ฉันไม่ค่อยมีเวลาฉะนั้นฟังให้ดีๆเลยเชียวล่ะ]
ฉันขอให้โซยะช่วยเอามือจับโทรศัพท์แนบไว้กับหู พร้อมกับฟังเสียงที่ดูเบื่อหน่ายของคาเอเดะ
[ผลลัพธ์จากการวินิจฉัย ได้ความว่าเด็กคนนั้นไม่มีร่องรอยของจิตใจที่จะก่อให้เกิดขึ้นมาเป็นโลลิค่อนสเลเยอร์ได้จริงๆนั่นล่ะ หากให้พูดแล้ว อาจตีความว่าความรู้สึกเกลียดชังไม่อยากถูกปฎิบัติเหมือนเป็นเด็กๆได้บิดเบี้ยวกลายเป็นความอยากจะกำจัดโลลิค่อน……แบบนั้นก็ได้อยู่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยๆมันก็ไม่ใช่ความปราถนาที่บิดเบี้ยวมากระดับที่จะพัฒนากลายเป็นไคอิหรอก และเด็กคนนั้นก็ควบคุมตัวเองได้อย่างดีมากแล้วด้วย]
ถ้างั้นทำไมถึงได้……ตัวฉันที่อยู่ในสภาพแบบแค่จะพูดก็ยังเจ็บ พลันทำการยุให้คาเอเดะว่าต่อไป
[ถูกบีบบังคับให้กลายเป็นไคอิน่ะ ทฤษฎีที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือถูกฝังไคอิเข้าไปในร่างล่ะนะ หากคำนึงถึงลักษณะของไคอิที่ดูราวกับถูกคำนวณมาอย่างดีนั่นแล้วก็ถือเป็นข้อสรุปที่เข้าเค้าฟังขึ้นมาก ……แต่ที่น่าปวดหัวน่ะมันคือ ตัวตนที่สามารถฝังไคอิเข้าไปในร่างของเด็กคนนั้นได้โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนี่แหละ เด็กคนนั้นที่ถึงแม้จะยังอยู่ในระหว่างฝึกฝนพัฒนาตัวเอง แต่ก็เป็นผู้ใช้ศาสตร์ที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้อย่างเต็มตัวนั่น]
หากคิดตามทิศทางของเรื่องแล้ว ไอ้เจ้านั่นมันไม่มีทางเป็นใครอื่นไปได้อีกแน่นอน ต้องเป็นไอ้เจ้าเผ่ามารที่ปลดปล่อยไอพิษออกมาคละคลุ้งนั่นแน่
ซากุระถูกตัวแบบนั้นจ้องหมายหัวเข้างั้นเรอะ….ได้ยินแบบนั้นแล้วฉันก็ยิ่งเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของซากุระหนักเข้าไปใหญ่หรอก แต่คาเอเดะที่เหมือนจะคาดเดาได้ก็พลันกล่าวต่อออกมาด้วยเสียงอันอ่อนโยนหาได้ยาก
[ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ อำนาจการไล่ผีสุดสัปดนของใครบางคนมันเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ไม่เหลือผลสืบเนื่องจากการเป็นไคอิและอิทธิพลไม่ดีของโรคเชิงวิญญาณเลยแม้แต่นิด ……ยังไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบต่อฐานะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบยังไงก็จริง แต่ในเมื่อเป็นศิษย์รักของคุณนางิสะ ก็คงจะไม่เจออะไรเลวร้ายหรอก น่าเสียดายจริงๆ]
ได้ยินรายงานของคาเอเดะที่มีแถมคำพูดแสดงความเกลียดชังต่อซากุระไว้ในตอนท้ายนั่นแล้วก็ค่อยโล่งอก แต่แล้วก็พลันมีความคิดที่แสนน่ากลัวแบบใหม่ปรากฎขึ้นมาในตัวฉัน
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นในจังหวะที่ผู้คนโดยรอบล่วงรู้เรื่องคำสาปของเทคโนเบรคเกอร์นี่เข้าพอดี
แถมซากุระที่ถูกเลือกมาเป็นผู้จับตาของฉันยังจะถูกหมายหัวโดยเผ่ามารอีก……เรื่องมันจะไม่บังเอิญเกินไปหน่อยเรอะ
[……คิดมากไปแล้วล่ะ]
แต่ถึงจะถามไปแบบนั้น คาเอเดะก็เอาแต่ให้คำขาดกลับมาว่าอย่างนั้นท่าเดียว
[ตอนนี้น่ะเอาเป็นว่าเพ่งสมาธิอยู่กับการรักษาอาการตัวเองก่อนเถอะ ตอนคราวไคอิ A แห่งเมืองชิโนโนเมะนั่นก็ทีนึง เธอน่ะจะระห่ำทำอะไรบ้าดีเดือดเพื่อผู้อื่นมากเกินเหตุไปหน่อยแล้ว ต่อให้ผู้ปราบมารจะเป็นสายงานที่สมควรต้องทำแบบนั้นก็เถอะนะ]
กล่าวติเตียนทิ้งท้ายไว้นิดๆ ก่อนจะรีบตัดสายไปอย่างรีบร้อนยังไงชอบกล
(คาเอเดะพูดแบบนั้นหรอก แต่มันเป็นแค่บังเอิญจริงๆน่ะเรอะ……?)
แต่ก็เหมือนกับประเด็นชวนกลุ้มหนักหัวเรื่องอื่นๆนั่นแหละ ต่อให้คิดหนักไปก็ใช่ว่าจะได้คำตอบซะหน่อย
คิดซะว่าถ้าซากุระปลอดภัยก็ถือว่าดีแล้ว….และเป็นในฉับพลันที่ฉันก้าวลงมายังสถานีที่อยู่ใกล้โรงเรียนปราบมารที่สุดนั่นเอง
[อ๊ะ ฮัลโหลฟุรุยะคุง?]
ที่มีสายเข้ามาจากโซยะ ราวกับจ้องรอคอยจังหวะนี้เอาไว้แล้วงั้นแหละ
ช่วงหลังจากที่ปราบโลลิค่อนสเลเยอร์ลงได้นั่นดูจะอารมณ์เสียแปลกๆอยู่เหมือนกันหรอก แต่เสียงที่กำลังดังออกมาจากมือถือในตอนนี้มันก็ใสแจ๋วร่าเริงสุดๆไปเลยเชียว
เพราะผลงานจากการขับไล่ไคอิ สเกล 5 ได้สำเร็จ ทำให้ทีมของพวกเรารอดพ้นจากวิกฤติส่อแววถูกเพิกถอนใบอนุญาตชั่วคราวมาได้อย่างงดงาม และตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้โซยะก็อารมณ์ดีลันล้าแบบนี้มาตลอดเลย
[เหมือนว่าจะออกจากโรงพยาบาลวันนี้สินะ?]
“ เออ ตอนนี้เพิ่งจะมาถึงสถานีพอดีเลยเนี่ย ”
[งั้นก็จังหวะเหมาะเหม็งพอดีเลย! เพื่อเฉลิมฉลองที่หายแข็งแรงดีและเป็นที่ระลึกเนื่องจากรักษาใบอนุญาตชั่วคราวเอาไว้ได้แล้ว เราไปซื้อของด้วยกันมั้ย?]
“ ……จะไปซื้อเค้กอะไรทำนองนั้นเรอะ? ”
[ไม่ใช่สิไม่ใช่ๆ ก็นั่นไง ห้องของฟุรุยะคุงเพิ่งจะระเบิดไปเมื่อก่อนหน้านี้เองไม่ใช่เหรอ? ก็เลยคิดว่าน่าจะต้องไปซื้อของเปลี่ยนใหม่หลายๆอย่างเลยไงล่ะ อย่างพวกเฟอร์นิเจอร์กับจานชามอะไรพวกนี้น่ะนะ]
“ อ๊ะ! ”
จริงด้วยแฮะ ลืมไปสนิทเลย
ตอนที่หนีจากพวกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบนั่น ห้องฉันถูกการระเบิดของข่ายอาคมเป่าจนยับเยินหมดเลย
เกี่ยวกับห้องนี่ได้รับการติดต่อมาแล้วว่าทางโรงเรียนปราบมารได้ทำการซ่อมแซมให้แล้ว แต่พวกข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่อยู่ภายในนี่ก็ยังคงเละเทะอยู่ดังเดิม
ต่อให้กลับบ้านไปทั้งแบบนี้ แต่ก็มีแค่เตียงนอนอันแหลกกระจุยกับจานชามที่แตกกระจายเท่านั้นแหละ
[ใช่มั้ยล่ะ? ฉันจะเลือกชิ้นใหม่ให้เองนะ ไปกันวันนี้เลยเถอะ]
“ ……เอางั้นก็ได้มั้ง ”
ออกจะผิดคาดเหมือนกันแฮะที่โซยะออกปากเสนอแบบนี้ แต่ฉันก็ตกลงยอมรับไปอย่างว่าง่าย เพราะถึงยังไงจะช้าหรือเร็วก็ต้องซื้อมาเปลี่ยนใหม่อยู่แล้วไง เท่านี้เงินที่ได้จากการคลี่คลายคดีโลลิค่อนสเลเยอร์ก็คงจะหมดเกลี้ยงบ๋อแบ๋แล้วสินะเนี่ย……
[ถ้างั้นก็ ไว้เดี๋ยวมารวมตัวกันที่หน้าประตูโรงเรียนนะ!]
สรุปความได้ว่าฉันจะกลับไปยังห้องก่อนครั้งนึง เพื่อตรวจเช็คดูว่าต้องซื้ออะไรใหม่บ้าง ถ้าเรียบร้อยแล้วจึงจะไปยังที่ที่นัดหมายกับโซยะเอาไว้แน่ะ
ฉันก้าวเท้าเร็วๆตรงไปยังหอ เพื่อถือซะว่าเป็นการบำบัดร่างกายที่อืดอาดเนื่องจากอยู่ในโรงพยาบาลมานานไปด้วยเลย
พอมาถึงหน้าประตูห้องตัวเองที่ถูกซ่อมแซมกลับมาสวยงามแล้ว ฉันก็พลันเหลือบตามองไปยังห้อง 407 ที่อยู่ข้างๆ
“ จะว่าไปแล้ว……ห้องนี้มันจะเป็นยังไงต่อหว่า? ”
เท่าที่ฟังจากคาเอเดะ เห็นว่ายังไม่รู้เลย ว่าจุดยืนในฐานะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบของซากุระจะเป็นยังไงต่อไป
กล่าวคือ ไม่รู้ว่าหน้าที่ในฐานะผู้เฝ้าจับตาดูฉันจะเป็นยังไงต่อไปนั่นเอง
หรือว่า จะย้ายออกไปทั้งๆอย่างนี้เลยรึเปล่านะ
มีเรื่องให้ต้องแตกตื่นหัวหมุนกันมากมาย แถมยัยซากุระก็ยังโหดร้ายดุสุดๆจนหัวใจแทบจะแหลกสลายพังทลายเลยก็จริงหรอก……แต่พอคิดว่าจะต้องจากลาแยกย้ายไปอยู่ห่างไกลกันอีกครั้งแล้ว มันก็รู้สึกเหงาจริงๆนั่นแหละ
ฉันเอามือแตะลูกบิดประตูพลางคิดอะไรต่อมิอะไรเช่นนั้น
“ อ้าว? ”
กุญแจ…ไม่ได้ล็อค?
ช่างที่มาซ่อมห้องเขาลืมล็อคกลอนประตูเรอะ? พอฉันเปิดประตูเข้าไปพลางคิดเช่นนั้น—–ความแปลกประหลาดแรกสุดที่สัมผัสได้ ก็คือกลิ่นอันหอมหวนที่ลอยเข้ามาต้องจมูก
และที่ปรากฎเข้ามาอยู่ภายในสายตาอย่างต่อเนื่องนั่นก็คือ
“ ……ยินดีต้อนรับกลับ ”
ห้องขนาด 1DK อันแสนเปล่าเปลี่ยวของตัวเอง และตรงบริเวณครัวนั่น ก็มีเด็กผู้หญิงคนนึงยืนตระหง่านอยู่
เด็กผู้หญิงที่กำลังจับจ้องมองมายังฉันด้วยสีหน้าบูดบึ้ง พร้อมกับแก้มที่แดงเรื่อเล็กน้อย
“ ……อย่ามัวแต่ยืนบื้ออยู่ตรงนั้นสิยะ รีบเข้ามาให้เร็วๆเลยนะ ไอ้เจ้าขยะ ”
นั่นก็คือ ซากุระที่อยู่ในสภาพสวมผ้ากันเปื้อนนั่นเอง
“ เอ้า รีบๆนั่งลงซะสิยะ ”
“ เอ๊ะ? อ๊ะ? เอ๊ะ? ”
คาดไม่ถึงโดยสมบูรณ์เลยทีเดียว
ไหงถึงมาอยู่ที่นี่น่ะ? กะจะพูดออกมาแบบนั้นแต่ก็ไม่มีโอกาส ฉันถูกดึงมือลากตัวให้มานั่งลงกับโต๊ะกินข้าวเฉยเลย
พอมองไปรอบห้องโดยที่ยังคงสับสนอยู่แบบนั้น ก็พบว่าจะทั้งที่นอนหรือโต๊ะกินข้าว โต๊ะเรียนหนังสือหรือสมุดโน๊ตตำราเรียน รวมไปถึงพวกของใช้เล็กๆน้อยๆอย่างเครื่องเขียนด้วย ทุกอย่างมันมีครบถ้วนดังที่จำได้อยู่ภายในหัวเป๊ะๆเลยทีเดียว
เล่นทำเอาสงสัยอยู่ชั่วขณะเลยว่าเรื่องที่ห้องระเบิดนั่นมันเป็นแค่ความฝันรึเปล่า แต่จะอันไหนๆก็เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นของใหม่เอี่ยมอ่อง กล่าวคือข้าวของที่ฉันใช้งานอยู่นั่น ถูกซื้อมาเปลี่ยนใหม่แบบแบรนด์เดิมรุ่นเดิมเป๊ะๆหมดเลยนั่นเอง
“ ……ก่อนหน้านี้ ฉันเข้ามาดูสภาพห้องนายอยู่ใช่มั้ยล่ะ? พวกของที่ได้เห็นและจำได้ในตอนนั้นน่ะฉันซื้อมาคืนให้ใหม่ทั้งหมดแล้ว กรมตรวจสอบให้เงินเดือนดีน่ะนะ ”
ซากุระพูดแบบห้วนๆว่าอย่างนั้น พร้อมกับยกเอาอะไรซักอย่างมาวางไว้เหนือโต๊ะ—นั่นก็คือ จานข้าวที่มีลวดลายแบบเดียวกับอันที่ฉันมักจะหยิบออกมาใช้ในบางครั้ง
ที่ถูกโปะจนพูนจานนั่นก็คือโคร็อกเกะที่ทำเองกับมือ
แถมข้างๆนั่นยังมีซุปมิโซะหมูที่เปี่ยมไปด้วยส่วนผสมต่างๆถูกวางเรียงเอาไว้ด้วยอีกต่างหาก
“ ของชอบนายเลยไม่ใช่เหรอ เจ้านั่นน่ะ ”
ซากุระพูดออกมาพลางหันหน้ามองหนีไปยังทิศอื่น
“ โอะ โอ้ว ”
คาดว่า…กะจะสื่อว่ากินซะงั้นสินะ
ฉันลองชิมอาหารที่ถูกนำมาเรียงให้ด้วยท่าทางเหมือนกึ่งๆโดนสถานการณ์บังคับ
คำแรกนั้นเอาเข้าปากอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่คำที่สองนี่คือถึงกับแทบจะกระดกยกชามเลยทีเดียว
“ ……อร่อย! เฮ้ยนี่เธอทำกับข้าวอร่อยขึ้นจมเลยนี่นา!? ”
ต่อให้ไม่นับที่ฉันได้กินแต่อาหารมังสวิรัตของทางโรงพยาบาลมาตลอดช่วงพักนี้ แต่กับข้าวที่ซากุระทำมาให้มันก็อร่อยสุดยอดไปเลยอยู่ดี แถมเพราะเป็นของโปรดอีกต่างหากมือมันจึงจ้ำตักเอาตักเอาเลยทีเดียว
“ ใช่มั้ยล่ะ? ”
เป็นตรงนั้นเอง ที่ฉันสบตาเข้ากับซากุระที่ยิ้มแฉ่งหน้าบาน
ซากุระหัวเราะด้วยหน้าตาภูมิใจครึ่งนึง แย้มยิ้มราวกับคิดว่า “สำเร็จแล้ว!” จากก้นบึ้งของหัวใจครึ่งนึง….และนั่นก็เล่นทำเอาฉัน ถึงกับเผลอหยุดมือค้างกลางอากาศไปชั่วขณะเลยทีเดียว
“ ……อึก ”
เท่านั้นแหละซากุระกลับมาปั้นหน้าบูดบึ้งในทันที ก่อนจะพูดออกมาโดยที่ยังหุบมุมปากไม่ลงอยู่นิดๆ
“ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าฉันเก่งหรอกนะ แต่นายมันไม่ได้เรื่องเกินไปต่างหากย่ะ! ตอนที่เข้ามาดูห้องนายก่อนหน้านี้ ฉันนี่เพลียสุดหัวใจจริงๆเลยล่ะ! ”
ซากุระพูดรัวออกมาอย่างกับปืนกล โดยที่ยังคงหันหน้าหนีไปจากฉันอยู่ทั้งๆแบบนั้น
“ ทำความสะอาดไม่ทั่วถึงเลย จะขยะหรือผ้าซักก็กองสุมเป็นภูเขาอยู่นั่น ของในตู้เย็นก็ใส่ไปแบบไม่จัดแถมยังดูรู้เห็นๆว่าไม่ได้ทำกับข้าวเองซะด้วยซ้ำ อยู่แบบตัวคนเดียวไม่เป็นซักนิดเลยนี่นา แทนที่จะมามัวพะวงเป็นห่วงฉัน นายน่ะสู้ไปทำตัวเองให้ดีๆได้เรื่องได้ความขึ้นมาซะก่อนเถอะย่ะ ”
“ ……ขอโทษคับ ”
“ เพราะงั้นแหละ ฉันจะคอยดูแลให้ซักพักนึงก็แล้วกัน ”
“ เอ๊ะ? ”
“ ยะ อย่าได้เข้าใจผิดไปเชียวนะยะ! ”
พอได้ยินเสียงแบบมึนๆของฉันเข้า ซากุระก็พลันทุบโต๊ะกินข้าวดังเปรี้ยง!
และพอทำสีหน้าดุร้ายซึ่งตรงข้ามกับใบหน้าอันแดงแจ๋นั่นแล้ว ซากุระก็พูดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาซะหยั่งกับจะเลือนหายไปกับอากาศ
“ ……ก็นาย ช่วยฉันเอาไว้ไม่ใช่เหรอ ”
“ ……เอ๊ะ อ่า……ก็นะ อือ ”
ได้ยินแบบนั้นแล้ว ฉันก็อ้ำอึ้งไปโดยพลัน
ที่เผลอนึกขึ้นมาอย่างไม่อาจเลี่ยง ก็คือร่างกายอันร้อนรุ่มได้ที่ของซากุระ
ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับน้องสาวหรอกนะเว้ย แต่พอเจอสถานการณ์แบบอยู่ในห้องฉันด้วยกันสองต่อสองแบบนี้แล้ว ฉันก็พลอยรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอยู่ด้วยตัวคนเดียวแหละ
“ ให้ตายเถอะ ไม่อยากจะเชื่อเล้ย ”
ซากุระเค้นเสียงกล่าวออกมาโดยเมินฉันที่อ้ำๆอึ้งๆอยู่
“ เพิ่งจะพ้นข้อกล่าวหาในการพิจารณาคดีแท่นตัดคอประหารมาได้เองแท้ๆ แต่กลับใช้ความสามารถใส่คนหลักหลายร้อย แล้วก็อาละวาดคลั่งไปเลยอีก นายนี่มันเลวที่สุดเลย ไอ้โรคจิต เจ้าผู้ปราบมารสุดชั่ว ……ทั้งที่ฉันบอกไปชัดเจนแล้วแท้ๆ ว่าไม่อยากจะถูกปกป้องอยู่ฝ่ายเดียวแล้วน่ะ ”
ซากุระที่จ้องเข้ามาราวกับติเตียนกันนั่น พลันหยุดคำด่าทอไว้ตรงนั้น ก่อนจะหยิบเอาอะไรซักอย่างออกจากตู้เย็นเดินเข้ามาให้
น่าตกใจตรงที่นั่นคือพุดดิ้งทำมือนี่แหละ ดูเหมือนว่าจะทำให้ไปถึงของหวานด้วยเลยสินะนั่น
“ ฉะนั้นนี่ก็เลย เป็นแค่การตอบแทนบุญคุณเฉยๆหรอกนะ ”
ซากุระพูดเช่นนั้น พร้อมกับดันช้อนเข้ามาชนๆใส่ฉันนี่
“ เพราะงั้นแหละ อย่าได้เข้าใจผิดไปเชียวล่ะ นายน่ะแค่อยู่เฉยๆให้ฉันดูแลไปซะก็พอแล้วนะ!? ”
“ ……งี้นี่เอง เข้าใจแล้วล่ะ ”
พอได้ยินที่ซากุระพูดแล้วฉันจึงถึงบางอ้อ ว่าแล้วก็ตักพุดดิ้งเข้าปาก ……เหวย นี่ก็โคตรอร่อยอีกเหมือนกัน
ว่าง่ายๆก็ นี่คือการขอบคุณในแบบของซากุระนั่นเอง
แน่นอนว่าส่วนนึงคงเป็นเพราะทำใจยอมให้ถูกช่วยอยู่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้เหมือนกันหรอก แต่ก็คงเป็นอย่างที่คิดนั่นแหละ ก็ถึงกับลงทุนซื้อเฟอร์นิเจอร์ข้าวของกลับมาให้ด้วยเลยนี่นะ ……ถึงแม้ว่าเล่นซื้อของแบบเดียวกับที่ใช้อยู่ก่อนหน้ามาได้เป๊ะๆหมดเลยแบบนี้มันจะน่ากลัวนิดๆก็เหอะ
“ แต่จะดีจริงๆน่ะเรอะ ”
ฉันกินของที่ถูกนำมาวางให้เสร็จสรรพ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นกับซากุระ
“ ไม่รู้หรอกนะว่าจะรับช่วงเป็นผู้จับตาฉันต่อ หรือต้องกลับไปยังกรมตรวจสอบ แต่เธอก็มีงานของตัวเองอยู่เหมือนกันนี่? ”
พอกล่าวอย่างเอาใจใส่กับซากุระที่เพิ่งจะหายป่วยได้ใหม่ๆปุ๊บ
“ เกี่ยวกับเรื่องนั้นน่ะ ฉันถูกสั่งให้ทำหน้าที่คอยเฝ้าจับตาดูนายต่อไปล่ะ ถึงใจจะไม่ได้อยากทำเลยซักนี๊ดดดดเดียวก็เถอะนะ ”
“ เอ๊ะ งั้นเรอะ? ”
“ ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่เพราะระดับความอันตรายของนายถูกลดลงไป 1 ระดับ หน้าที่เฝ้าจับตาก็เลยไม่เข้มงวดเท่าเดิมแล้วน่ะ แถมโรงเรียนนี่ถ้าเทียบกับการฝึกของอาจารย์แล้วก็ถือว่าชิลๆไปเลยอีกตะหาก ถ้าไม่ใช้เวลาไปกับการดูแลนายละก็ฉันมีหวังได้ว่างจนเบื่อตายแน่ๆ ……หรือทำไม? มีฉันคอยดูแลให้แล้วมันไม่ถูกใจนายรึไง? ”
ดวงตาของซากุระพลันหรี่เล็กลงโดยทันที
“ ……ทั้งที่ ทำกับฉันแบบนั้นแท้ๆ ”
“ ฮึก ”
เห็นซากุระทำเสียงสั่นเครือพร้อมเอาต้นขาถูไถกันไปมาอย่างกะทันหันแล้ว ฉันก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
แล้วก็ไม่รู้ว่าสัมผัสได้ถึงความแตกตื่นของฉันรึไง ซากุระจึงกล่าวต่อออกมาด้วยใบหน้าที่แดงแจ๋ไปหมด
“ เพราะงั้นก็จงรับผิดชอบ แล้วอยู่นิ่งๆให้ฉันคอยดูแลไปเลยเชียวนะ! ซาบซึ้งในพระคุณซะด้วยล่ะ! ……พี่จ๋า ”
“ ……อ้าว? นี่เธอเมื่อกี้ ”
ฟุ่บ! เป็นในฉับพลัน ที่ฉันกำลังจะก้าวไล่ตามซากุระที่แน่บไปล้างจานราวกับวิ่งหนีนั่นเอง
ตึง!
“ เหวย!? ”
มีเสียงเหมือนอะไรบางอย่างกระทบชนเข้ากับหน้าต่าง และพอหันมองไป ก็พบว่ามีเด็กผู้หญิงขนาดไซส์ 2 หัวกำลังเอาตัวแนบติดอยู่กับตรงนั้น
ไอ้เจ้าตัวที่ดูคุ้นๆตานั่นมันคือ……ชิกิงามิของโซยะ!?
ฉันคิดว่า อ๊ะ! แล้วมองไปยังนาฬิกาที่ถูกตั้งไว้กับที่ นี่มันเลยเวลานัดหมายกันไปนานเนแล้วนี่หว่า
[เดี๋ยวสิฟุรุยะคุง! นึกว่ากะจะเบี้ยวนัดไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ก็เลยมาดู แต่ไหงถึงทำตัวหยั่งกับเป็นสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันอยู่กับซากุระจังเฉยเลยล่ะ!? ให้ว่าแล้วเฟอร์นิเจอร์นี่! มีครบถ้วนหมดแล้วนี่นา! หมายความว่ายังไงน่ะ!?]
ฉิบหาย! การปรากฎตัวของซากุระมันมีอิมแพคท์แรงเกินจนเผลอลืมไปซะสนิทเลย!
เอ้ยไม่สิ ต่อให้จะยังไงแต่ยัยโซยะก็พอกันแหละนะ ก่อนจะส่งชิกิงามิบินตรงมาก็หัดโทรมาหากันก่อนสิเฟ้ย……อ้าว?
ต่อให้ค้นในกระเป๋าซักเท่าไหร่แต่ก็หาสมาร์ทโฟนไม่เจอ เป็นในระหว่างที่ลนลานคิดว่าเผลอทำตกหล่นที่ไหนรึเปล่าอยู่นั่นเอง
“ ชิ…ลืมนึกถึงกรณีที่นัดกันเอาไว้ล่วงหน้าไปเลย บังอาจมาขัดขวางเวลาตอนที่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองซะได้…… ”
ที่ซากุระซึ่งวิ่งมาเพราะได้ยินเสียงโหวกเหวก พลันพูด “อ่ะ” พร่อมส่งสมาร์ทโฟนมาให้
“ เพิ่งจะเห็นตกอยู่หน้าประตูเมื่อกี้นี้น่ะ ให้ตายเถอะ เซ่อซ่าจริงๆเลย ”
“ เอ๊ะ? อะ โอ้ว ขอบใจนะ? ”
ฉันก็รับสมาร์ทโฟนมาตามที่ซากุระบอกหรอก……แต่ไหงมันถึงถูกปิดเครื่องเอาไว้เฉยเลยน่ะ? พลาดไปโดนปุ่มเข้าตอนที่ทำตกเรอะ? ……อย่าพยายามไปคิดให้มากความซะจะดีกว่ามั้ง
[เดี๋ยวสิซากุระจัง! ต่อให้จะเป็นผู้จับตาก็เถอะ แต่เล่นอยู่ด้วยกันในห้องแบบสองต่อสองแบบนี้มันไม่เหมาะไม่ควรนะ! แค่นี้ฟุรุยะคุงก็ถูกสงสัยว่าเป็นไอ้โรคจิตหนักมากพออยู่แล้ว ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมทีมแล้วจะยอมปล่อยผ่านอะไรแบบนี้ไม่ปิเกี๊ยก!?]
ชิกิงามิที่โซยะควบคุมอยู่ระเบิดเฉยเลย!?
“ ……บ่นมากน่ารำคาญชะมัด ทั้งที่หล่อนก็กะจะซื้อเฟอร์นิเจอร์กับจานชามใหม่ทั้งล็อต เพื่อค่อยๆรุกรานเข้ามาในชีวิตส่วนตัวของพี่จ๋าเหมือนกันแท้ๆ ”
“ สะ ซากุระ……? ”
ฉันส่งเสียงเข้าหาซากุระอย่างกล้าๆกลัวๆ ซากุระที่เป่าชิกิงามินั่นแหลกกระจุยโดยไม่ยอมคุยอะไรกับโซยะเลยแม้แต่คำเดียวนั่น
ที่พึมพำอุบอิบอุบอิบอยู่นั่น คือคำสาปแช่งแบบใหม่หรืออะไรพรรค์นั้นเหรอครับ?
“ ที่สำคัญกว่านั้นนะพี่จ๋า เตรียมน้ำร้อนไว้ให้พร้อมแช่แล้วล่ะ เข้าไปแช่ตอนนี้เลยน่าจะดีนะ? ถึงยังไงก็คงไม่มีแผนจะออกไปข้างนอกแล้วใช่มั้ยล่ะ? ”
อ่าก็ รู้สึกเหมือนแผนออกไปข้างนอกมันจะแหลกกระจุยมลายหายสิ้นไปเมื่อตะกี้นี้แล้วเหมือนกันหรอก…… เป็นในจังหวะที่ฉันเกือบจะถูกแรงกดดันลึกลับที่แผ่กระจายออกมาจากตัวซากุระ บีบบังคับให้ทำตามที่ว่าอยู่นั่นเอง
“ เดี๋ยวสิ! เล่นจู่โจมใส่ชิกิงามิอย่างกะทันหันแบบนั้นมันโกงกันนี่นา! ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ! ”
ปังปังปังปัง!
พลันมีเสียงร้องโวยวายของโซยะ ดังลั่นทะลุเข้ามาผ่านประตูห้องที่โดนล็อคกลอนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
เฮ้ยเฮ้ยเฮ้ยเฮ้ย!
“ เฮ้ยเธอโซยะ! นี่มันหอเด็กผู้ชายนะเฟ้ย!? ”
“ แล้วไงเหรอ!? ซากุระจังยังอยู่ห้องข้างๆได้เลยนี่นา! ”
ถ้าพูดแบบนั้นแล้วก็เถียงกลับไม่ได้แหละ……แต่ให้ว่าแล้วโซยะ หยุดทุบประตูดังปังปังแบบนั้นซะทีว้อย! มันสร้างความรำคาญให้คนรอบๆนะ!
“ ไปสิพี่จ๋า พวกจานชามนี่เดี๋ยวฉันจะล้างให้เอง เข้าไปแช่น้ำให้สบายเถอะ ”
“ แล้วไหงเธอถึงทำเหมือนกับว่าโซยะไม่มีตัวตนอยู่ได้อย่างหน้าตาเฉยเลยนั่นเฮ้ย……? ”
พอฉันขนพองสยองเกล้าอยู่
สมาร์ทโฟนที่เปิดเครื่องกลับขึ้นมาก็พลันชี้แจงให้ทราบถึงเมลที่ถูกส่งเข้ามาอย่างรัวๆต่อเนื่อง
[เฮ้ยฮารุฮิสะ ให้มันน้อยๆหน่อยนะเว้ยไอ้บัดซบ]
[เล่นปิดไม่ยอมให้มิซากิจังเข้าห้องแบบนั้น เอ็งมีหำรึเปล่าวะ? เป็นโลลิค่อนจริงๆเลยหรอกเรอะ?]
[……ปั๊ดฆ่าทิ้งหรอก ไอ้บรรลัยช่วยตัวเองอัดหน้าธารกำนัลเอ๊ย]
ไอ้พวกเด็กผู้ชายที่ใช้เวลาวันหยุดไปกับการนอนเสพสุขอยู่ในหอมันส่งคำขู่ฆ่าเข้ามาให้!
“ ……อยากกลับไปนอนโรงบาลชิบเป๋ง ”
วันๆในฐานะผู้ปราบมารนี่ ต่อให้เป็นระหว่างงานหรือวันธรรมดาก็ไม่มีช่องว่างให้ได้พักผ่อนใจเล้ย
เกี่ยวกับเรื่องโลลิค่อนสเลเยอร์แล้วก็คำสาปของเทคโนเบรคเกอร์นี่ มันยังมีจุดที่ติดค้างคาใจอยู่มากมายเลยแหละ
แต่ก็เหอะนะ
“ โอ้ยต้องทุบประตูไปถึงเมื่อไหร่หล่อนถึงจะพอใจกันยะ นังผู้หญิงบ้านี่! เดี๋ยวก็โรยเกลืออัดใส่สุดแรงสุดกำลังซะหรอก! ”
พอได้เห็นสภาพอันแสนร่าเริงแข็งแรงของน้องสาวสุดน่ารักแล้ว ฉันก็สุขอิ่มเอมใจละเรื่องพวกนั้นไปได้ชั่วคราวล่ะ
(*โน๊ต : บิกคุริสุรุยูโทเปีย = วิชาไล่ผีแบบกาวๆที่ชาวเน็ตญี่ปุ่นเขียนปั่นขึ้นมาเล่นแล้วฮิต ขั้นตอนคือต้องแก้ผ้าทั้งตัวก่อน ตามด้วยเอามือสองข้างตบตูดให้ดังแป๊ะๆเบิกตาให้กว้าง แผดร้องตะโกน [บิกคุริสุรุยูโทเปีย! บิกคุริสุรุยูโทเปีย!] รัวๆด้วยเสียงสูงพร้อมกระโจนขึ้นลงจากเตียง ว่ากันว่าหากทำเช่นนี้ต่อเนื่องไปซัก 10 นาทีแล้วนอกจากจะช่วยไล่ผีห่าวิญญาณร้ายให้หายมลายไปได้แล้ว ยังจะสามารถช่วยให้สุขภาพดีแข็งแรงได้อีกด้วย…………อิหยังวะ)
MANGA DISCUSSION