พ่อแม่ : กะจะเขียนนิยายแบบไหนเป็นเรื่องต่อไปเหรอ?
ผม : ว่าจะเขียนแนวชีวิตวัยรุ่นแบบนิโดนัตสึนั่นแหละ เค้าจะเอาไปทำหนังด้วยนี่นะ ถ้าเขียนงานที่บรรยากาศคล้ายๆกันก็จะดึงดูดฐานลูกค้าใหญ่ได้ด้วย
เอ้อถึงจะโกหกก็เหอะนะครับ
หวัดดีฮะ ผมอาคากิ ฮิโรทากะครับ
เอ้อก็แบบ ตอนแรกเนี่ยกะจะลองเขียนซีรี่ย์ที่มีเส้นเรื่องใกล้เคียงกับ “ฤดูร้อนครั้งต่อไป จะไม่ได้เจอกันแล้วสินะ” (เรียกสั้นๆ นิโดนัตสึ) ไงครับ ตัวผมเองก็เขียนกาวจัดเต็มที่ไปใน “โลกอันแสนน่าเบื่อที่ไม่มีมุกตลกใต้สะดือ” (เรียกสั้นๆ ชิโมะเซกะ) มากพอแล้ว ฉะนั้นเรื่องหน้าก็ลองเขียนอะไรจริงๆจังๆซะหน่อยดีกว่า เงี้ย
แถมถ้าในระหว่างที่นิโดนัตสึเข้าโรงฉาย เกิดยูเซอร์เนมทวิตเตอร์ของคนแต่งกลายเป็น [อาคากิ ฮิโรทากะ@เจอะหน้าปุ๊บแตะจึ๊กเดียวถึงสวรรค์! กำลังวางแผง!] ขึ้นมาแบบนั้นก็ได้ฉิบหายวอดวายกันพอดีใช่มั้ยละครับ ได้กลายเป็นแอคเคาท์ปลอมแปลงอ้างชื่อโดยสมบูรณ์เลยใช่มั้ยอะครับ แอคเคาท์ทางการของนิโดนัตสึก็คงไม่วายเลิกรีทวีตจากทวิตฯของผมแน่ๆเลยใช่มั้ยอะฮะ ฉะนั้นเรื่องใหม่นี่ก็เลยกะว่าเขียนผลงานที่เข้ากับไตเติลที่ดูจริงจังซะจะดีกว่าไง พูดจริงนะเนี่ย
แต่พอโปรเจ็คจอเงินของนิโดนัตสึเริ่มจะเข้าช่วงจริงๆจังๆ ถึงขั้นที่มั่นใจได้แล้วว่าแผนจะไม่โดนล่มกลางคันปุ๊บ ไอ้ผมมันก็คิดขึ้นมาไง
เผลอๆแล้วเพราะมีนิโดนัตสึอยู่นี่แหละ เลยน่าจะทำให้เขียนงานที่ทะลึ่งลามกมากยิ่งกว่าเดิมได้รึเปล่า? เงี้ย
ก็ถึงกับได้ทำเป็นหนังคนแสดงเลยไงครับ ฉะนั้นต่อให้จะเขียนผลงานแบบไหนยังไง แต่ก็สามารถทำตัวชิลๆอ้าง “ผลงานมีชื่อของผมคือนิโดนัตสึครับ” ได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆเลยยังไงล่ะ
ถ้ายื่นนิโดนัตสึให้ญาติๆ หรือผู้หญิงที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกดูแล้วพูดว่า “เป็นคนเขียนนิยายแบบนี้น่ะครับ” สถานการณ์มันก็จะจบลงอย่างชื่นมื่นมันตรงนั้นเลย กล่าวคือจะทำให้บทสนทนาชวนอึมครึมอย่าง “อ่อผมเขียนหนังสืออยู่น่ะ…….เอ่อ ชื่อเรื่องอะไรงั้นเหรอครับ? คือว่ามันออกจะพูดยาก…..” แล้วโดนอีกฝั่งคิดว่า “อ๊ะ ไอ้ห่านี่แม่มเป็นนีทแหงๆ” แบบนั้นสูญสิ้นมลายหายไปเลยนั่นเอง ใช่แล้ว ขอแค่มีนิโดนัตสึก็พอ
ขอแค่มีนิโดนัตสึอยู่ที่เหลือก็เป็นอิสระตามใจฉัน จะเขียนอะไรก็ได้ตามใจฉัน ถ้าเจอญาติที่พูดจุกจิกก็แค่ปานิโดนัตสึกับเลขเงินในบัญชีอัดหน้าไปก็พอแล้วสบายใจฉัน
เอิ่ม ก็ไม่ใช่ว่าผมเขียนนิโดนัตสึขึ้นมาด้วยเจตนาแบบนั้นหรอกนะครับ? ไอ้ผมมันก็ไม่ใช่คนที่ปราดเปรื่องระดับเขียนอะไรได้เป็นแผนเป็นขั้นเป็นตอนแบบนั้นด้วย แค่โดยผลลัพธ์แล้วมันเผอิญถูกยื่นเสนอให้ PTA ขึ้นมาหรือว่าไงดี โอกาสสภาพแวดล้อมมันดีหรือดวงดี อะไรทำนองนั้นแหละครับ (ฮา)
เอ้อแต่เอาเป็นว่า ที่ถูกตีพิมพ์ออกมาด้วยการเปลี่ยนใจในครั้งนั้นก็คือ “เจอะหน้าปุ๊บแตะจึ๊กเดียวถึงสวรรค์!” เล่มนี้แหละครับ……ไม่ได้มีข้ออ้างในการเขียน อย่างอิสระในการแสดงออกเอย ระบบการสั่งสอนเรื่องเพศศึกษามีปัญหาเอยอะไรเอยอย่างชิโมะเซกะด้วยซ้ำ ไอ้เรื่องนี้นี่คือเขียนขึ้นมาด้วยสภาพจิตความคิดที่ว่า “พริบตาที่เด็กผู้หญิงจะเฉิดฉายเจิดจ้าที่สุดมันไม่ใช่ตอนยิ้ม (เอเกา) หรอกว้อย! แต่เป็นตอนยิ้มแลบลิ้นตาเหลือก (อาเฮะเกา) ต่างหาก!” อย่างเดียวเลย แต่เล่มแรกนี่อาเฮะเกาน้อยไปหน่อย เกี่ยวกับเล่มถัดไปนี่ก็เลยคิดแค่ว่าจะหาทางเขียนฉากแบบนั้นเพิ่มอย่างถูกกฎหมายให้ได้ยังไงดีอย่างเดียวเลยอะครับ แต่ไม่เป็นไรหรอกเนอะ? กลายเป็นความอับอายขายขี้หน้าของกะกะกะบุนโกะไปโดยบริบูรณ์เลยก็จริง…….แต่ก็ได้ออกตีพิมพ์แบบนี้แล้วนี่เนาะ ไม่เป็นอะไรหรอกเนอะครับ!
เอาล่ะ ถึงทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการช่วยให้เรื่องนี้ที่ก่อเกิดขึ้นมาเพราะอาเฮะเกาได้ออกตีพิมพ์
ต้องขอรบกวนในหลายๆเรื่อง ได้พวกท่านช่วยในหลายๆเรื่อง ต้องเป็นภาระอย่างยิ่งใหญ่อยู่ทุกครั้งเลย แต่เพราะได้ความช่วยเหลือของพวกท่านนี่ล่ะ จึงสามารถออกตีพิมพ์นิยายเรื่องนี้ที่เด็กผู้หญิงจะน้ำแตกกันซะง่ายๆได้ ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ หลังจากนี้ก็กะจะตอบแทนพระคุณโดยการเขียนฉากบรรยายตอนน้ำแตกให้ได้เยอะๆครับ
ถ้าอย่างนั้นแล้วทุกท่าน ในระหว่างที่ผมขอภาวนาอย่าให้โดนทางโค้ดจัดพิมพ์เค้าเอ็ดเอาอยู่นี่ ไว้เรามาเจอกันใหม่ในเล่มถัดไปนะครับ
อึนโฮ้วววววววววววว! (คำทักทายก่อนจาก)
MANGA DISCUSSION