โซยะ มิซากิ, ฟุรุยะ ฮารุฮิสะ, คาราสึมะ อาโอย
ทำการส่งเอกสารทำเรื่องที่มีชื่อของเราทั้งสามคนให้กับอาจารย์ แล้วก็ถูกรับเรื่องเอาไว้โดยไม่มีปัญหาใดๆ
เป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ปาร์ตี้ซึ่งประกอบไปด้วยเหล่าคนไม่มีใครเอาในหมู่คนไม่มีใครเอาอีกที ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง
“““ ฮา~รุฮี้~สะคู~ง ”””
ไอ้ฉันก็โดนพวกเด็กผู้ชายในห้องมันกดดันไล่ไปจนถึงมุมของห้องเรียน ถูกล้อมรอบมันตั้งแต่เช้าตรู่เลยเนี่ยเว้ย
“ ฮารุฮิสะเอ็งไอ้บรรลัย [ไม่มีซัมติงกับมิซากิจังซักหน่อย] ห่าเหวอะไรวะ! ”
“ ตั้งทีมกันซะเรียบร้อยเลยนี่หว่าไอ้ห่า! ไม่ใช่ว่าจะเป็นทาสของท่านคุซึโนะฮะหรอกเหรอวะ! ”
“ ลงแบบนี้แล้วคงต้องบีบบังคับเอาให้เอ็งเข้าสู่สภาวะวิญญาณหลุดออกจากร่าง แล้วเอากายหยาบนั่นมาเป็นของฉัน…… ”
ไอ้พวกเด็กผู้ชายมันตาแดงก่ำ รุกไล่ต้อนเข้ามาพลางพูดจาหยั่งกับเป็นวิญญาณร้ายเลยเชียวนั่น
สมกับเป็นข้อมูลของโซยะ มิซากิที่ถูกเลื่องลือว่ามีความนิยมอย่างล้นหลามในหมู่เด็กผู้ชายจริงๆ ข่าวแพร่กระจายไปไวแท้
“ ปัดโธ่ว้อยหนวกหูโว้ย! ฉันเองก็โดนยัยโซยะมันแบล็คเมลจนไม่มีทางเลือกเหมือนกันเฟ้ย! พวกเอ็งก็รู้อยู่ไม่ใช่เรอะ!? ความสามารถสุดจะน่าหวาดหวั่นขวัญผวาของโซยะน่ะ! ”
แม้จะลองแก้ตัวดูสุดชีวิต แต่ก็
“ ห๊าา!? [ถูกสาวน่ารักข่มขู่จนต้องตั้งทีมด้วยกันซะงั้นว่ะ☆] นี่คือเอ็งอวดกันหน้าด้านๆเหรอวะ!? ”
“ นานๆถึงจะขึ้นทีนะเนี่ย……ปรี๊ดเลยเอ็งทำตรูถึงกับปรี๊ดเลย….. ”
ไม่ไหว พูดกับไอ้ควายพวกนี้ไปก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอก
แต่ตัวฉันที่ทราบถึงความนิยมของโซยะมาก่อนแล้วล่วงหน้านั้น ก็ได้ทำการวางมาตรการรับมือเอาไว้เรียบร้อยแล้วเฟ้ย
“ น้ำดื่มจากเต้าแม่ 100% ”
“ ! ”
พอเข้าไปกระซิบข้างหูหนึ่งในเด็กผู้ชายที่ตั้งวงล้อมฉันอยู่ปุ๊บ ใบหน้าของมันก็ถึงกับซีดเผือดทันควัน
แล้วจากนั้นไอ้ฉันก็ทำการไล่กระซิบ “มหกรรมอาเจ๊กับโชตะ ~นอนหนุนตักนมแนบหน้าพ่วงแคะหู~” , “ถุงน่องหน้ากากออกซิเจน” และอีก ฯลฯ เข้าไปในหูของไอ้พวกเด็กผู้ชายมันรัวๆเว้ย
“ ฉันคนนี้ตั้งทีมอยู่กับโซยะนะ เข้าใจมั้ยว่ามันหมายความว่ายังไง? ”
และฉันก็พลันประกาศกร้าวออกมาด้วยเสียงดังชัดเจน อัดเข้าใส่ไอ้พวกเด็กผู้ชายที่ถึงกับสีหน้าแข็งทื่อ
“ เฟติชทั้งหมดทั้งมวลของพวกเอ็งนั่นโดนฉันมองเห็นทะลุปรุโปร่งหมดแล้วเว้ย! ”
เพราะสอบถามจากโซยะมาก่อนล่วงหน้ายังไงล่ะ!
“ ถ้ายังจะพล่ามน่ารำคาญไปมากยิ่งกว่านี้ เจอฉันแฉมั่วแบบสุ่มทีละตัวแน่ไอ้พวกเวร! ”
“““ อุก กุกกรอดดดดด ”””
พอไอ้พวกเด็กผู้ชายมันจ้องตากันพลางถอยหลังกรูดๆแล้ว
พวกมันก็ถ่มรำพูดทิ้งท้ายก่อนจะเผ่นตูดแน่บไปยังโต๊ะของตัวเอง เริ่มจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือดกันหมด
โทษทีนะ ฉันเองก็ต้องดิ้นรนเพื่อปกปิดความลับของตัวเองเหมือนกันเว้ย จะมัวมาเลือกวิธีการอยู่ไม่ได้
แต่…..มันก็แบบว่านะ บรรยากาศนี่ดูโคตรดุดันระดับที่ต่อให้ไม่ต้องเตรียมหุ่นฟางมา แต่ก็น่าจะมีคำสาปลอยปลิวมาอัดใส่ฉันนี่ได้เลย
และช่วงเวลายามเช้าก็ล่วงเลยผ่านไป ในระหว่างที่ฉันครุ่นคิดว่าจะขอซื้อป้ายสะท้อนคำสาปจากคาเอเดะดีมั้ยอยู่นั่นเอง
โรงเรียนปราบมารที่เลยกำหนดทำเรื่องตั้งทีมแล้วนั้น เริ่มที่จะมีคำร้องไล่ผีจำนวนมากถูกส่งมาให้กับเหล่าเด็กปีหนึ่งที่ยังคงละอ่อน เหล่าเด็กปีหนึ่งที่เข้าคาบเรียนปกติในช่วงเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงมาสุมหัวรวมตัวกันอยู่หน้ากระดานข่าว กำลังเลือกสรรว่าจะรับงานแบบไหนเป็นงานแรกดีอยู่อย่างกระฉับกระเฉง
คำร้องนั้นได้ถูกแปะแสดงอยู่โดยแบ่งตามความยากออกเป็นระดับ S ถึงระดับ D …..ระดับความยากโดยรวมแล้วค่อนข้างไปทางต่ำ คำร้องที่ถูกแปะกำกับไว้เป็นระดับ S นั้นแท้จริงแล้วก็คงมีเนื้อในเป็นความยากระดับ A หรือ B เท่านั้นแหละ
ถึงแม้ตอนอยู่มัธยมต้นจะถูกส่งให้ไปฝึกซ้อมสั่งสมประสบการณ์ในสถานที่จริงมามากพอดูแล้ว แต่จะได้ไล่ผีโดยลำพังแค่พวกตัวเองจริงๆจังๆก็นี่แหละครั้งแรก ฉะนั้นจึงถือเป็นระดับความยากที่เหมาะสมต่อการเตรียมความพร้อมให้ชินรับศึกจริงแล้วล่ะนะ
“ เอาเป็นว่า ในการประเมินครั้งแรกในเดือนหน้านี่ต้องเอาให้ได้ซักระดับใบอนุญาตชั่วคราวนะ! ”
โซยะตรวจสอบเอกสารคำร้องที่ถูกแปะอยู่บนกระดานข่าวไปพลางทำตาเป็นประกาย
“ จะบ้าเรอะ พวกที่ได้ใบอนุญาตชั่วคราวตั้งแต่ประเมินครั้งแรกนี่ ขนาดในห้อง S ยังมีเพียงแค่หยิบมือเดียวเองเชียวนะเฮ้ย ”
ในหมู่นั้นก็มีสัตว์ประหลาดของแท้อย่างคาเอเดะที่ได้ใบอนุญาตตัวจริงตั้งแต่ปี 1 อยู่เหมือนกันหรอก แต่กรณีพวกนั้นมันก็เป็นแค่เคสพิเศษ จะทั้งใบอนุญาตชั่วคราวหรือใบอนุญาตตัวจริง ตามหลักแล้วก็ต้องค่อยๆเก็บสั่งสมผลงานทีละนิดทีละหน่อยไปเรื่อยๆเท่านั้นแหละถึงจะได้มา
แน่นอนว่ามีความแตกต่างขึ้นอยู่กับทีมหรือบุคคลบ้างเหมือนกันแหละ แต่ตามสูตรแล้วก็คือจะได้ใบอนุญาตชั่วคราวในช่วงระหว่างปี 2 และถ้าสามารถคว้าใบอนุญาตของจริงมาได้ก่อนที่จะเรียนจบก็ถือว่าเก่งแล้วน่ะนะ
“ งู้~ ก็จริงหรอก…..แต่ถ้าไม่ได้ใบอนุญาตชั่วคราวเป็นอย่างน้อยๆ ก็จะแอคเซสเข้าไปในฐานข้อมูลของสมาคมแล้วล้วงข้อมูลของเนตรมารฝันไม่ได้กันพอดีน่ะจิ ”
เจอะคำชี้แจงของฉันเข้าไป โซยะก็พลันทำหน้างอนพลางสั่นริบบ้อนไปมา
“ แถมเรายังมีพลังสุดยอดของฟุรุยะคุงอยู่อีกด้วยนะ ตั้งเป้าเอาไว้สูงๆก็ไม่มีเสียหายซะหน่อยเนอะ! ”
โซยะว่าด้วยท่าทางกระตือรือร้นเต็มเปี่ยมเต็มที่ จนไอ้ฉันนี่ชักจะเสียวไส้ว่าคุณหล่อนแกจะเลือกรับคำร้องที่เกินกำลังมารึเปล่า
แต่ในท้ายสุดแล้ว คำร้องที่โซยะเลือกมาก็คืองานที่มีความยากโดยแท้จริงคือระดับ C ….เนื้อหาคำร้องก็คือการไล่ผีภายในบ้านร้างที่พูดกันว่าเป็นจุดที่จะมีวิญญาณเบ็ดเตล็ดระดับ สเกล 1 ปรากฎขึ้นมาอยู่หลายตัวแน่ะ
สเกล 1 นี่ก็คือระดับที่แม้แต่นักเรียนห้อง D ก็ยังสามารถรับมือได้ ฉะนั้นสำหรับพวกเราที่มีโซยะซึ่งเป็นห้อง B อยู่ด้วยแล้วจึงถือว่าระดับความยากต่ำมากเกินไปหน่อยเลยด้วยซ้ำ
แต่ประเด็นคือ ไอ้เจ้าคาราสึมะที่ไม่อาจทราบระดับความสามารถได้เลยมัน
“ อำนาจอันเที่ยงแท้ของฉันนั้นหากไม่ได้สำแดงแผลงฤทธิ์ในสถานการณ์จริงก็ยากยิ่งที่จะบ่งบอกอธิบายถึงอานุภาพอันเกรียงไกรนั่นได้อย่างไรล่ะ! ”
เอาแต่พูดโม้เรื่อยเปื่อยไม่ยอมอธิบายถึงความสามารถตัวเองซะที ก็เลยตัดสินใจเลือกงานง่ายๆเพื่อดูลาดเลาท่าทีด้วยน่ะนะ
“ ตามจริงแล้วก็อยากจะรับคำร้องยากๆรวดเดียวเลยอยู่หรอกนะ แต่อื้มก็เป็นงานแรกด้วยนี่เนอะ ”
โซยะพูดอย่างไม่มีทางเลือกออกมาพลางสั่นไหวไปตามรถไฟที่กำลังมุ่งตรงไปสู่ที่หมาย
เหมือนว่าจะไม่ใช่คนโง่ขนาดที่จะเลือกรับงานที่หนักเกินตัวโดยที่ยังไม่ทันรู้ระดับความสามารถของเพื่อนร่วมทีมสินะ ค่อยโล่งอกไปได้เปลาะนึง
“ คาราสึมะเอ็งนี่น้า ปากละเก่ง แต่ถ้าเกิดออกมาว่าเป็นความสามารถที่ไม่ได้เรื่องละก็โดนฉันโวยแน่ ”
“ หึ พูดอะไรโง่ๆ! ”
ได้ยินคำพูดของไอ้ฉันเข้าแล้ว คาราสึมะที่อยู่ในสารรูปสวมแพนท์สูทก็ตอบกลับมาพลางกอดอก
เออแล้วก็ ในตอนที่รับคำร้องเนี่ยจะสวมชุดแบบไหนไปทำก็ได้ เนื่องจากความสามารถเชิงวิญญาณนั้นจะมีส่วนที่ได้รับอิทธิพลจากสภาพจิตใจเป็นอย่างมาก ก็เลยมีการออกกฎเช่นนี้ขึ้นเพื่อให้แต่ละคนสามารถเลือกแต่งตัวในแบบที่จะทำให้เพ่งสมาธิได้มากที่สุดแน่ะ ฉะนั้นบางคนก็เลยอาจจะสวมชุดตามสูตรอย่างชุดมิโกะหรือชุดแม่ชีไปทำงานก็ได้ ส่วนคนที่ไม่ได้ติดใจอะไรเป็นพิเศษอย่างฉันหรือโซยะก็จะสวมชุดเครื่องแบบของโรงเรียนปราบมารไปมันเนี่ยแหละ
ที่คาราสึมะสวมแพนท์สูทนี่ เห็นเหมือนจะเป็นเพราะว่าน่าจะได้รับความนิยมจากเหล่าเด็กผู้หญิงก็เลยมีกะจิตกะใจอะไรของมันนี่แหละ
อาการหนักมากขนาดอยากจะเคารพขึ้นมาเลยฟ่ะ
“ ให้พูดแล้ว ตัวแกล่ะเป็นเช่นไรฮารุฮิสะ ”
คาราสึมะแอบชำเลืองไปทางโซยะนิดๆ ก่อนจะส่งสายตาฉงนสงสัยตรงดิ่งเข้ามาใส่ฉัน
“ ติดใจมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ดูจากที่แม่หนูมิซากิซึ่งตลอดจนถึงตอนนี้เคยเชิญชวนเพียงแค่นักเรียนห้องระดับสูง เกิดตกลงปลงใจหันมาเลือกแกเป็นเพื่อนร่วมทีมนี่ แสดงว่าตัวแกเองก็แอบซ่อนแฝงเร้นความสามารถเชิงวิญญาณอันแสนทรงพลังเอาไว้ด้วยเช่นกัน ถูกต้องไหม? ”
“ …….เอ่อ ”
สุดท้ายแล้วเมื่อวาน ฉันก็คลาดโอกาสที่จะบอกเรื่องความสามารถให้คาราสึมะรู้
ต่อให้ผลัดไปก่อนก็ไม่ได้อะไร แต่จะให้พูดออกมาด้วยตัวเองนี่มันก็ลำบากจริงๆนั่นล่ะ ก็ลองคิดดูดิเอ็ง จะให้พูดว่า “ความสามารถของป๋มคือไล่ผีโดยการทำให้น้ำแตกกั๋บ” ด้วยสีหน้าแบบไหนกันล่ะฟะ
แถมต่อให้พูดออกมาปากเปล่าก็คงจะโดนสงสัยว่าไอ้นี่สติไม่สมประกอบรึเปล่าด้วยแหละนะ……ถ้าเป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าโดนคาราสึมะพูดว่า “แกสติไม่สมประกอบหรือไร?” อัดหน้าขึ้นมานี่มีหวังไอ้ฉันยั๊วะเส้นเลือดสมองแตกตายห่าแหงม
“ ในรถไฟมีคนอยู่เยอะด้วย ไว้เอ็งค่อยรู้ตอนทำงานก็แล้วกัน……นะ? ถ้าได้เห็นแล้วเดี๋ยวเอ็งก็เก็ตเองแหละ ”
เท่านั้นแหละไม่รู้ทำไมคาราสึมะถึงได้ทำหน้าเหมือนเข้าใจ ก่อนจะ
“ หึหึหึ ฉันรู้ดีเลยเชียวล่ะฟุรุยะเอ๋ย ก็สไตล์เสือซ่อนเล็บที่ยามปกติจะปกปิดทำตัวเจี๋ยมเจี้ยม แต่ในยามคับขันจะสำแดงอิทฤทธิ์เสมือนเทพบุตรสุดหล่อนี่มันเนื้อหอมอย่างยิ่งเลยนี่นะ อะไรกัน นึกว่าจะเป็นไอ้หัวทึบเสียอีกแต่กลับมีความคิดใกล้เคียงกับฉันผิดคาดเลยนี่นา ”
อย่าเหมาไปรวมกับเอ็งดิเฮ้ย
ในระหว่างที่คุยกันไปแบบนั้น รถไฟก็มาถึงสถานีที่อยู่ใกล้กับที่หมายมากที่สุด
แล้วพอเดินจากสถานีไปได้ราวสิบนาที ก็พบบ้านหนึ่งหลังดังที่ระบุไว้ในคำร้องถูกตั้งอยู่ตรงนั้น
“ เท่าที่ดูแล้วบรรยากาศนี่คือฟ้องว่ามีผีแถมมาด้วยชัดเจนเลยเนอะ! ตรงตามเอกสารคำร้อง มีวิญญาณเบ็ดเตล็ดโผล่มาอยู่ประปรายเลยแฮะ ”
“ มีแต่พวกตัวกระจอก! อาจจะเป็นงานที่ชนะใสเกินไปหน่อยแล้วกระมัง ”
คาราสึมะเอามือกันแดดเอาไว้ ส่วนโซยะก็ทำมือเป็นแว่นตาหยั่งกะเด็กประถมพลางทำการตรวจสอบเชิงวิญญาณรอบบริเวณบ้าน
ฉันมองเห็นได้แค่เหล่าวิญญาณเบ็ดเตล็ดที่จ้องมองดูพวกเราอยู่จากบานหน้าต่างก็จริง แต่ทั้งสองคนกำลังใช้ตรวจจับพลังวิญญาณเพื่อวัดระดับความสามารถของเหล่าวิญญาณร้ายอยู่แน่ะ พอตรวจสอบแบบเบาๆเรียบร้อย เราก็ทำการเปิดประตูของบ้านหลังนั้นเข้าไป
——แอ๊ด
ก้าวเข้าไปในบ้านทั้งๆที่ยังสวมรองเท้าอยู่
โซยะหยิบเอายันต์ขึ้นมาเตรียมไว้อยู่ภายในมือ ส่วนฉันก็ทำการปลดผนึกของมือทั้งสองข้าง
ภายในบ้านนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น มืดมัวมากระดับที่คิดไม่ถึงเลยว่าเป็นช่วงกลางวัน กลับกันแล้ว เพราะมีพวกอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ถูกทิ้งเหลือเอาไว้จำนวนมากละมั้ง ก็เลยมีเค้าลางราวกับว่ามีคนอยู่มาตลอดจนถึงเมื่อวานลอยโชยมาอย่างแน่นหนา ทั้งที่บ้านหลังนี้เป็นบ้านร้างมาตั้งแต่เมื่อราวสองเดือนก่อนแล้วแท้ๆ
“ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่วิญญาณของพวกคุณๆที่อาศัยอยู่ก่อนล่วงหน้าสิเนอะ มีแต่วิญญาณเบ็ดเตล็ดเต็มไปหมดเลย ”
วิญญาณเบ็ดเตล็ดเนี่ยก็คือคำเรียกเหล่าสัมภเวสีที่ดวงวิญญาณเสื่อมสลายจนเกือบๆจะสูญหาย ไม่ก็ดวงวิญญาณของพวกสัตว์ระดับต่ำอะไรทำนองนั้นน่ะ
“ แต่ถ้าอย่างงั้น ทำไมถึงได้มีวิญญาณเบ็ดเตล็ดมารวมตัวกันอยู่ล่ะ ทั้งที่บ้านหลังนี้ก็ไม่ใช่แดนกาลกิณีซะหน่อยแท้ๆ……. ”
เป็นในฉับพลันที่โซยะพูดไปพลาง ก้าวขาขึ้นไปบนบันไดที่จะเชื่อมต่อไปยังชั้นสองที่มีเค้าลางของพวกวิญญาณเบ็ดเตล็ดรุนแรงนั่นเอง
[โกร้ววววว!]
“ หวาย!? ”
ที่มีวิญญาณเบ็ดเตล็ดตนนึงกระโจนเข้ามาใส่จากชั้นสอง
โซยะแม้จะแผดเสียงร้อง แต่ก็ทำการใช้ยันต์เพื่อสร้างข่ายอาคมอย่างง่ายขึ้นมาได้ทันท่วงที
“ ตะ ตกใจหมดเลย แต่ถ้าแค่นี้ละก็…..! ”
โซยะอาศัยจังหวะที่พลังของข่ายอาคมและวิญญาณเบ็ดเตล็ดกำลังต่อต้านกันและกัน เหวี่ยงยันต์สำหรับใช้ปราบมารอัดเข้าใส่ โดนเพียงเท่านั้น วิญญาณเบ็ดเตล็ดก็ได้ถูกไล่ไปอย่างแสนง่ายดายแล้ว
“ โอ้ สมกับเป็นห้อง B ”
“ เฮะเฮ้~น ใช่มั้ยล่ะ ”
พอฉันกล่าวชมไปเรื่อยเปื่อย โซยะก็ยืดอกอย่างภาคภูมิใจเลยนั่น
“ หนำซ้ำยังออมพลังวิญญาณได้อย่างยอดเยี่ยมเลยด้วยนะ ถึงกับเปิดใช้ศาสตร์ด้วยพลังที่เพียงพอจะปราบสเกล 1 ได้แบบฉิวเฉียดพอดิบพอดีเลยเชียวหรือนี่ ”
ต่างจากฉัน คาราสึมะที่ใช้ตรวจจับพลังวิญญาณได้ พลันกล่าวชมผ่านอีกช่องทางนึง
“ ……..เอ๊ะ? เอะ เอะเฮะเฮะ ใช่มั้ยล่า~ ”
เท่านั้นแหละ ไม่รู้ทำไมโซยะถึงนิ่งเว้นช่วงอย่างแปลกๆไประยะนึงก่อนที่จะทำสีหน้าครุมเครือ
“ ถะ ถ้าอย่างงั้นก็! ทำการไล่ผีให้ได้แบบนี้ในรวดเดียวกันเลยเถอะนะ! ”
พอแผดเสียงราวกับพยายามกลบเกลื่อนอะไรแบบนั้นแล้ว คุณหล่อนแกก็ทำการกำจัดวิญญาณเบ็ดเตล็ดที่อยู่ภายในบ้านแบบเกือบๆตัวคนเดียวเลยนั่น
“ ——–เอ้ย มันใช่เหรอแบบเนี้ย! ”
ทำการกำจัดวิญญาณเบ็ดเตล็ดภายในบ้านร้างเรียบร้อย มาจนถึงขั้นที่เหลือเพียงรายงานผลลัพธ์ให้ผู้ว่าจ้างรับทราบเท่านั้นนั่นเอง ที่โซยะพลันแหกปากเร่งเสียงโวยวายลั่น
“ วันนี้บอกว่าเป็นงานเพื่อพิสูจน์ความสามารถของอาโอยจัง แล้วก็ตรวจสอบการประสานงานทีมเวิร์คไม่ใช่เหรอ! แล้วไหงถึงมีฉันทำงานอยู่คนเดียวล่ะ!? ”
“ เอิ่ม ก็โซยะเล่นไฟลุกชิงไล่ผีซะหมดเกลี้ยงคนเดียวพวกฉันก็เลยไม่มีโอกาสได้ออกโรงเลยไง ”
แล้วก็ไม่ค่อยอยากจะใช้เทคโนเบรคเกอร์ซักเท่าไหร่ด้วยอะนะ……
“ ก็มันไม่มีศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อคู่ควรที่จะปลดปล่อยสำแดงอำนาจอันเที่ยงแท้ของฉันให้เป็นที่ประจักษ์นี่นะ! ”
คาราสึมะพูดอวดดีได้ใจใหญ่เลย ไอ้เวรนี่ หวังว่าจะไม่ได้มีดีแค่ปากอย่างเดียวจริงๆนะเว้ย……
“ โธ่! แบบนี้ก็เหมือนเสียฟรีไปวันนึงเลย—–หือ? ”
เป็นตรงนั้นเองที่โซยะส่ายตาหันมองไปมารอบๆบริเวณภายในบ้าน คาราสึมะเองก็ส่งเสียง “มุ?” ก่อนจะทำตาม
“ แปลกจริงนะ แม่หนูมิซากิน่าจะทำการไล่ผีไปได้เกือบทั้งหมดแล้วแท้ๆ แต่นี่มีมารวมตัวกันเพิ่มอีกแล้วไม่ใช่หรือ? ”
ลองมองไปข้างนอกผ่านกระจกดู ตรงนี้เป็นชั้นสองก็เลยมองเห็นไปได้กว้างไกลในระดับนึงเลย….และก็จริงอย่างที่มันว่าแฮะ มีเงาจำนวนนึงกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางนี้จริงๆด้วย แปลกอย่างชัดเจนเลย
“ ……..หมายความว่าบ้านหลังนี้ยังมีอะไรบางอย่าง ที่กำลังทำการเรียกวิญญาณเบ็ดเตล็ดให้เข้ามาหาอยู่งั้นเหรอ? ”
โซยะทำการเรียกชิกิงามิทั้ง 4 ตัวออกมา ก่อนจะสั่งการให้สำรวจรอบบริเวณภายในบ้าน
“ พวกเราเองก็ลองสำรวจดูด้วยเถอะ ไปด้วยกันทั้งสามคนนะ ”
เชื่อฟังตามคำชี้นำของโซยะ พวกเราเองก็เริ่มต้นทำการตรวจสอบภายในหมู่ข้าวของเครื่องใช้หรือบริเวณหลังพรมอะไรพวกนั้น ดูว่ามีอะไรแปลกๆหลงเหลืออยู่รึเปล่า
สิ่งที่เรียกวิญญาณเบ็ดเตล็ดให้เข้ามาหานี่ก็เช่น แดนกาลกิณีที่อารมณ์แง่ลบจะถูกสั่งสมได้ง่าย สิ่งของต้องสาปที่อัดแน่นไว้ด้วยความเคียดแค้น ยันต์สาปที่ผู้ปราบมารนอกรีตทำการสร้างขึ้นมา แล้วก็——วิญญาณร้ายที่มีพลังอำนาจแก่กล้า
[กิ้วปิ๊!?]
และเป็นช่วงหลังจากที่เริ่มต้นทำการสำรวจไปได้ราว 10 นาทีนั่นเอง ที่พลันมีเสียงกรีดร้องก่อนสิ้นใจของชิกิงามิดังก้องกังวานออกมาจากภายในตู้เสื้อผ้า
MANGA DISCUSSION