ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ตอนที่ 1-13
“อ๊ะ…เลือด…”
เด็กชายไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรและยื่นมือมาหาฟิลลิป ตอนนั้นเองเขาถึงได้รู้ว่าฝ่ามือของเขาแตกยับเยิน เพราะกำเศษกระถางดอกไม้ที่แตกเป็นชิ้นๆ เอาไว้
“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อนครับ เลือด…ทำยังไงดีครับ”
เด็กชายหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและกดลงบนฝ่ามือของฟิลลิป แต่ผ้าเช็ดหน้าก็เปียกชุ่มไปด้วยเลือดทันที เพราะดูเหมือนเส้นเลือดจะฉีกขาด เด็กชายประคองและกดฝ่ามือของฟิลลิปไว้ด้วยมือที่สั่นเทา แต่พอเห็นเลือดไหลทะลักลงมาตามข้อมือของพวกเขาทั้งคู่ เด็กชายก็ร้องไห้ในที่สุด
“ทำยังไงดีครับ โรงพยาบาล…ต้องไปโรงพยาบาล…”
ตอนที่เห็นเด็กชายไม่สามารถเรียบเรียงประโยคได้อย่างถูกต้องและพูดวกไปวนมาเพราะตกใจ ความอดทนของฟิลลิปก็หายไปทันที พอตั้งสติได้ เขาก็กำลังจูบปากของเด็กชายอยู่ในสภาพที่คว้าหลังศีรษะของอีกฝ่ายไว้
ความจริงกับความฝันนั้นต่างกัน หากเทียบการจูบในฝันแล้ว สิ่งนี้อยู่ในระดับที่เหมือนกับเด็กเล็กๆ เล่นกัน ฟิลลิปดูดกลืนริมฝีปากอ่อนนุ่มอย่างพึงพอใจพร้อมกับกลั้นคำสบถไว้ ความปรารถนาเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจนถึงขนาดที่ว่าแค่นี้ยังไม่พอ
ฟิลลิปใช้แรงทำให้คางของเด็กชายที่ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจอ้าออก นี่เป็นจูบที่เหมือนกับจะกลืนกิน เขาเกี่ยวกระหวัดลิ้นของอีกฝ่าย กัดริมฝีปาก และกวาดต้อนภายในโพรงปากอย่างช้าๆ เลือดกำเดาของเด็กชายที่ไหลออกมาเปรอะเปื้อนใบหน้าของกันและกัน สภาพนั้นดูไม่ได้ เขาไม่เคยเสียสติ และวิ่งเข้าใส่อย่างตะกรุมตะกรามแบบนี้เลยสักครั้ง ปลายนิ้วของเขาชา และเขาก็รู้สึกดีจนแทบบ้า ฟิลลิปขยุ้มเส้นผมของเด็กชายและบดเบียดริมฝีปากให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จากนั้นก็เลิกชายเสื้อของอีกฝ่ายขึ้น
ตอนนั้นเอง
“…!”
ฟิลลิปมองเด็กชายอย่างเหม่อลอย ใบหน้าของเด็กชายที่กัดริมฝีปากของฟิลลิปซีดเผือดราวกับว่าตัวเองตกใจยิ่งกว่า
“…ไม่ชอบครับ”
เด็กชายพึมพำในสภาพที่นั่งงอตัวซุกหน้าลงกับเข่า
ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้นผมจะกลับ…อย่าทำเลยนะครับ
“ฉัน…”
พอฟิลลิปตั้งใจจะเอ่ยปากพูด เด็กชายก็ตัวสั่นจนไม่สามารถเทียบกับก่อนหน้านี้ได้ ฟิลลิปลูบริมฝีปากล่างที่เริ่มมีเลือดซึมก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น เขากลายเป็นไอ้สารเลวไม่ต่างอะไรกับเฟร็ดสำหรับเด็กชายไปแล้ว และเขาก็อยู่ในสภาพที่ยืนยันสิ่งนั้นได้
เลือดไหลมาตามข้อมือและค่อยๆ หยดลงไป
“…ออกไป”
น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำดังขึ้น เด็กชายสะดุ้งและเงยหน้าขึ้นมา ฟิลลิปกดหน้าผากไว้และพูดอีกครั้ง
“ไม่ได้ยินเหรอ ไสหัวออกไป แต่ถ้าอยากจะเห็นเรื่องสนุกจากช่องทางด้านหลังก็อยู่ตรงนี้ต่อ”
เด็กชายหน้าซีดเผือดและออกไปข้างนอกทั้งอย่างนั้น พอประตูห้องปิดลงก็มีเสียง เพล้ง! ดังไล่หลัง
เลือดที่ไหลลงมาตามข้อมือนองอยู่บนพรหม ฟิลลิปยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่
***
“ไม่เจอกันนานเลยนะ ไม่เห็นนายตั้งหลายวัน”
“ฉันพักนิดหน่อยน่ะ”
ฟิลลิปหยิบหนังสือออกมาจากล็อกเกอร์พลางเอ่ยตอบ
หน้าของแม่ซีดเผือดทันทีที่เห็นห้องน้ำที่เปื้อนไปด้วยเลือด คำถามแรกที่เธอถามคือ “ทำใครบาดเจ็บน่ะ?” ดูเหมือนเธอจะมองไม่เห็นมือของลูกชายที่เปื้อนไปด้วยเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว
ฟิลลิปยิ้ม แม้จะบอกว่าเป็นมีการทะเลาะกันเล็กน้อย แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อ สุดท้ายแม่ก็แนะนำให้เขารักษาแผลและพักสักสองสามวัน นี่เป็นการสั่งลงโทษให้เก็บเนื้อเก็บตัวโดยใช้คำสวยหรูว่าแนะนำ
“ทำไมมือถึงเป็นแบบนั้นล่ะ”
“ปอกแอปเปิลน่ะ”
ฟิลลิปใช้มือทำท่าปอกแอปเปิลให้ดูพร้อมกับยิ้ม
“อ้อ คงจะเจ็บน่าดูเลย ต้องระวังสิ”
ฟิลลิปหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปิดประตูล็อกเกอร์ เขาได้รับคำทักทายที่ถูกส่งมาให้ในระหว่างที่เดินผ่านทางเดินก่อนจะเข้าไปในห้องเรียน ในระหว่างที่เรียนเสร็จและอยู่ในช่วงพัก เขามักจะพูดคุยเรื่องไร้สาระหรือเล่นกีฬา นี่เป็นเวลาที่ครบถ้วนสมบูรณ์โดยไม่มีสิ่งใดขาด และไม่ต่างอะไรจากปกติ
หลังจากวันนั้นก็ไม่มีการติดต่อจากเด็กชายอีกเลย และฟิลลิปก็ไม่คิดที่จะติดต่อเด็กชายเหมือนกัน เขาไม่อยากจะนึกถึงอีกต่อไปแล้ว
“ฟิลลิป”
“หืม”
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“เปล่านี่ ทำไมเหรอ”
“นายทำสีหน้าไม่ดีตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”
“ง่วงนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวฉันออกไปตากลมแป๊บหนึ่งนะ”
ฟิลลิปยิ้มก่อนจะปิดหนังสือ เขานอนไม่หลับมาสี่วันแล้ว แม้จะกินยานอนหลับเข้าไปมากแค่ไหน แต่ก็ยังเหมือนเดิม
ฟิลลิปลุกขึ้นและออกไปข้างนอก เขาอยากหาที่เงียบๆ ในระหว่างที่เดินไปยังที่ที่ไม่ค่อยมีคน เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“ฉันพูดจริงนะ ไม่เชื่อคำพูดของฉันเหรอ”
เฟร็ดนั่นเอง
“ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อนะ แต่ไม่เว่อร์เกินไปหน่อยเหรอ”
“เว่อร์? งั้นนิ้วนี้กับจมูกของฉันหักเองหรือไง วันนั้นฟิลลิป เลวินทำตัวเหมือนคนบ้าสุดๆ ไปเลย”
เฟร็ดยกนิ้วของตัวเองที่ใส่เฝือกไว้ขึ้นมาโชว์พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับเล่าเรื่องการผจญภัยต่อ
“คนเอเชียพวกนั้นต้องกินกันไม่ผิดแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางที่ฟิลลิปจะเสียสติหรอก”
“ฟิลลิปบ้าไปแล้วเหรอ เขาหาได้ดีกว่าเด็กอย่างปีเตอร์นะ”
“เพราะพวกนายไม่รู้น่ะสิ คนแบบปีเตอร์น่ะ ถ้าได้รู้จักแล้วก็เล่นไปทั่วอย่างกะผ้าขี้ริ้วนั่นแหละ รู้ไหมว่ามันทำอะไรอยู่ในห้องนั้น มันเอากระถางดอกไม้ที่ตัวเองเอามาไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงของฟิลลิป แล้วก็จูบกลีบดอกไม้”
เฟร็ดหัวเราะคิกคัก
ฟิลลิปนึกถึงกระถางดอกไม้ที่ถูกบดละเอียดหลังจากที่แตกเป็นชิ้นๆ
“แหวะ โง่อย่างที่เห็นเลยนะ เขาเป็นเกย์จริงๆ เหรอ”
“ว่าแต่นายคอยไล่ตามไอ้โง่นั่นทำไมล่ะ”
เพราะคำถามที่โยนมาเหมือนแซวเล่น เฟร็ดจึงตกใจจนทำตาโต
“ปะ เปล่านะ ฉันแค่จะแกล้งเล่นเฉยๆ น่ะ ไม่ได้มีความตั้งใจอื่นเลย ฉันไม่ใช่เกย์สกปรกๆ นะโว้ย”
เฟร็ดถุยน้ำลายลงพื้นก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาแกล้งทำเป็นปฏิญาณ
“จริงๆ นะ ฉันถอดเสื้อผ้าของไอ้เกย์เอเชียนั่นแล้วตั้งใจว่าจะโยนลงสระว่ายน้ำเฉยๆ แต่ฟิลลิปดันเข้ามาพอดี แล้วเขาก็วิ่งเข้ามาหวดหมัดใส่ฉันอย่างไม่มีเหตุผล”
“ที่เป็นแบบนั้นเพราะนายเข้าไปในห้องของฟิลลิปโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ใช่เหรอ”
พอเพื่อนๆ ไม่เออออด้วยง่ายๆ เฟร็ดก็หน้าแดง
“คนที่เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตคือไอ้เด็กเอเชียนั่นต่างหาก ตอนแรกเด็กนั่นก็เถียงฉัน แล้วก็ร้องไห้ใหญ่เลย พอฉันบอกว่าทั้งๆ ที่รู้ว่านายจะถูกปฏิบัติแบบนี้ แต่ฟิลลิปก็จงใจเชิญนายมา หมอนั่นก็ร้องไห้เสียงดังน่าหนวกหูอย่างกับถูกหักอกเลยล่ะ อย่างน้อยไอ้ปีเตอร์ก็คงจะเคยเสนอตัวให้ฟิลลิปสักครั้ง…”
เด็กที่นั่งสูบบุหรี่อยู่หน้าเฟร็ดรีบส่ายหน้า เฟร็ดถามว่า “มีอะไรเหรอ” ก่อนจะหันหน้ามา
“หวัดดี”
ฟิลลิปทักทายด้วยท่าทีปกติ
เฟร็ดขนลุกซู่ แม้ตอนนี้เขาจะหัวเราะและพูดคุยอยู่ต่อหน้าเพื่อนๆ แต่เขากลับไม่อยากเจอฟิลลิปแม้แต่ในความฝัน เขาถึงขั้นกับเหงื่อแตกท่วมหลังเมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดในวันนั้น
“มือเป็นไงบ้าง”
เฟร็ดคิดว่าโชคดีที่ดูเหมือนอีกฝ่ายคงไม่ได้ยินเรื่องที่ตนพูดทั้งหมด และแอบโล่งใจอยู่ในใจ
“…หมอบอกว่าถ้าเฝือกใช้การได้ดี ประมาณหนึ่งเดือนกระดูกก็จะเชื่อมติดกัน”
“โล่งอกไปทีนะ”
ฟิลลิปยิ้มจนตาหยี การที่เขาถูกเรียกว่าเป็นเจ้าชายของวู้ดสันไม่ใช่เรื่องเกินจริง เขามีทั้งรูปร่างที่โดดเด่นจนผู้ชายด้วยกันยังใจฝ่อ และรอยยิ้มที่งดงามอย่างมาก แม้กระทั่งเฟร็ดที่ถูกฟิลลิปต่อยจนเลือดอาบยังมองฟิลลิปอย่างไร้สติอยู่ครู่หนึ่ง
“มีใครพกปากกาบ้างไหม”
“หา? นี่…”
เพราะคำขอของฟิลลิป เด็กที่ยืนอยู่หน้าเฟร็ดจึงหยิบปากกาจากกระเป๋ามายื่นให้ ฟิลลิปรับปากกามาก่อนจะเริ่มเขียนตัวเลขลงบนเฝือกของเฟร็ด
“ทำอะไรน่ะ”
แม้เฟร็ดจะพยายามชักแขนกลับไป แต่ฟิลลิปก็จับไว้อย่างมั่นคงและไม่ยอมปล่อย
“เบอร์ทนายของบ้านฉัน”
“ให้เบอร์ทนายทำไม”
“เพราะเขาตามเก็บกวาดได้อย่างยอดเยี่ยมไงล่ะ แต่ก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วไหมนะ เพราะเขาได้รับสินบนถึงชั่วโมงละสามพันดอลลาร์ ฮ่าฮ่า”
“เพราะอย่างนั้นฉันถึงถามว่าให้เบอร์ทนายความมาทำไม…”
ฟิลลิปคืนปากกากลับไป และเอ่ยตอบพลางขมวดคิ้วราวกับหาอะไรบางอย่างอยู่
“ก็นายต้องเรียกร้องค่าเสียหายที่โดนหมากัดไง”
“…พูดอะไรตั้งแต่เมื่อกี้แล้วน่ะ”
“อ๊ะ เจอแล้ว”
ฟิลลิปเดินไปตรงซอกตึกก่อนจะก้มตัวลง จากนั้นเขาก็หยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาและเดินกลับมาหาเฟร็ด
“ฉีดวัคซีนกันพิษสุนัขบ้าหรือยัง”
“อะไรนะ”
“ฉีดไว้น่าจะดีกว่านะ เพราะวันนี้นายน่าจะโดนหมาบ้ากัด”
ฟิลลิปทำตายิ้ม และก่อนที่รอยยิ้มที่งดงามนั้นจะหายไป อิฐสีแดงที่ฟิลลิปถืออยู่ก็ลอยออกไปกลางอากาศพร้อมกับเสียงดัง ปัก
***
“เฮือก”
“…ใครน่ะ”
พอเห็นผู้ชายที่เดินเข้ามาในห้องเรียน ทุกคนก็ตกใจ พวกเขาคิดว่ามีการจู่โจมกันในโรงเรียนหรือเปล่า
“ฟิลลิป เลือดที่หน้า…”
พอโจที่จำฟิลลิปได้พูดแบบนั้น ฟิลลิปก็เช็ดเลือดที่เปื้อนหน้าของตัวเองออกก่อนจะเอ่ยตอบ
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เลือดของฉันหรอก”
“…”
“เด็กที่นั่งด้านหน้าตรงนั้นไปไหนซะล่ะ”
“ปีเตอร์เหรอ วันนี้เขาไม่มาน่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่รู้สิ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ทำไมถึงไม่รู้ พวกนายเรียนวิชาเดียวกันนี่”
“…เอ่อ เพราะไม่ค่อยสนิท…”
โจพูดตะกุกตะกัก เขารู้สึกเหมือนฟิลลิปที่ปรากฏตัวในสภาพที่มีเลือดปกคลุมทั่วใบหน้าที่เหมือนกับรูปสลักนั้นไม่ใช่ฟิลลิปที่ตนรู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริบทของบทสนทนาที่ไม่ปกติทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังคุยอยู่กับกำแพง
“พูดถึงปีเตอร์อยู่ใช่ไหม”
นักเรียนชายที่สวมแว่นเอ่ยแทรกบทสนทนาของคนทั้งคู่อย่างระมัดระวัง
“รู้ไหมว่าทำไมเขาถึงไม่มา”
“ได้ยินว่าไปโรงพยาบาลน่ะ”
สีหน้าของฟิลลิปเคร่งเครียดขึ้นทันที
“ทำไมถึงต้องไปโรงพยาบาลด้วยล่ะ”
“เห็นว่าต้องผ่าตัดอะไรสักอย่างเพราะหัวใจน่ะ…ปกติเขาก็ขาดเรียนบ่อยอยู่แล้ว…”
ฟิลลิปออกไปจากห้องเรียนก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ ก้าวเดินของเขาที่เดินไปตามทางเดินเร็วขึ้นทีละนิด
‘หัวใจของผมไม่ค่อยดีครับ ผมเคยผ่าตัดมาหลายครั้งแล้ว บางทีท่านคงจะเป็นห่วง เพราะผมเคยอาการกำเริบในระหว่างที่ออกมาข้างนอกน่ะครับ
เขาสตาร์ทเครื่องทันทีที่ขึ้นมาบนรถ ฟิลลิปสบถพร้อมกับหมุนพวงมาลัยอย่างรุนแรง
วันนั้นเขาไม่แม้แต่จะสนใจเด็กชายที่ถือกระถางดอกไม้มาเป็นของขวัญด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดเลยว่าเด็กชายที่ถูกเขาเพิกเฉยอยู่ตลอดเวลาสะดุดตาเฟร็ดเข้าระหว่างที่เดินขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อเอากระถางดอกไม้ไปวางไว้ที่ห้องของเขา เด็กชายร้องไห้เมื่อได้ยินคำพูดของเฟร็ดที่บอกว่าทั้งๆ ที่รู้ว่าเด็กชายจะถูกปฏิบัติแบบนี้ แต่ฟิลลิปก็ยังเชิญมา ซึ่งบรรยากาศชวนให้เชื่อแบบนั้น
ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้นแต่…
‘เลือด…ทำยังไงดีครับ’
เขานึกถึงดวงตากลมโตที่เป็นห่วงตน แม้ใบหน้าจะโดนเฟร็ดต่อยจนยับเยิน จากนั้นอาการปวดหน่วงๆ ก็ลุกลามไปทั่วบริเวณหน้าอก
“โธ่เว้ย”
ทั้งที่เด็กชายเป็นแบบนั้น เขาก็ยังบอกอีกฝ่ายว่าถ้าไม่อยากโดนตนข่มขืนก็ไสหัวออกเดี๋ยวนี้ อันที่จริงถ้าเจ้าตัวไม่ออกไปจากห้อง เขาจะต้องขืนใจอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
พอเห็นว่าวันนั้นเด็กชายโรคหัวใจกำเริบเพราะตน เขาก็เหมือนจะเป็นบ้า ฟิลลิปเหยียบคันเร่ง ตัวเลขบ่งบอกความเร็วไต่ระดับขึ้นจนน่ากลัว แต่เขากลับขับรถต่อไปโดยไม่สนใจสัญญาณไฟจราจร