ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ตอนที่ 1-11
“…”
เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งให้ตรงกับเวลาออกกำลังกายช่วงเช้ามืดดังอย่างน่าหนวกหูภายในห้อง แม้จะลืมตาขึ้นแล้ว แต่เขาก็ต้องคิดอยู่สักพักว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน
ฟิลลิปค่อยๆ ลุกขึ้น หลังจากที่พับผ้าห่มและเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายด้วยตาของตัวเองแล้ว เขาก็สบถว่า “แม่งเอ๊ย” พลางหัวเราะและเดินไปที่ห้องน้ำทั้งอย่างนั้น เขาคิดว่าตนควรจะโดนน้ำเย็นสาดถึงจะตั้งสติได้ จึงเปิดฝักบัว จากนั้นน้ำก็ไหลลงมาโดยที่ไม่มีเวลาให้ถอดเสื้อผ้า ยิ่งร่างกายเย็นมากเท่าไร ความร้อนที่เกิดขึ้นตรงช่วงล่างก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“ฮ่าๆๆ”
เขาหัวเราะเบาๆ พร้อมกับดึงกางเกงลงด้วยความหงุดหงิดก่อนจะกำส่วนอ่อนไหวที่เกิดอารมณ์จนแข็งขืนไว้และเริ่มขยับมือ ผ่านไปไม่นานของเหลวสีขาวขุ่นก็ไหลตามน้ำลงไปบนพื้น แต่ความร้อนกลับไม่หายไปเลยแม้แต่นิดเดียว สุดท้ายเขาก็ต้องยืนปลดปล่อยความต้องการต่ออีกหลายครั้ง ภาพหนึ่งเล่นซ้ำอยู่ในหัวราวกับวิดีโอที่เสียก่อนที่จะถึงจุดสุดยอด
ซึ่งภาพนั้นก็คือใบหน้าของเด็กชายที่ยืนยิ้มอย่างใสซื่อบริสุทธิ์อยู่บนถนน
“ฟัค…”
แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการหลังจากที่ตื่นจากฝันคืออะไร และในเวลาเดียวกันเขาก็รู้ว่าสิ่งนั้นได้ถูกแย่งไปก่อนที่ตัวเองจะได้ครอบครองเสียด้วยซ้ำ
เขาต้องยืนอยู่ใต้สายน้ำที่เย็นจัดเป็นเวลานานจนเลือดทั้งหมดในกายแข็งเป็นน้ำแข็ง
***
“สะ สวัสดีครับ สุขสันต์วันเกิดนะครับ ผม…”
หลังจากพูดบทที่ฝึกมาหลายชั่วโมงอย่างติดขัด เด็กชายก็ถอนหายใจ
กลับบ้านดีไหม ไม่สิ มาถึงที่นี่แล้ว ให้ของขวัญด้วยน่าจะดีกว่า…ควรทำยังไงดีนะ
เขายื่นครุ่นคิดอยู่หน้าประตูหน้าบ้านของตระกูลเลวินประมาณสามสิบนาทีแล้ว ในระหว่างนั้นก็มีคนประมาณสิบคนเปิดประตูและเดินเข้าไปในบ้านที่กำลังมีงานปาร์ตี้
เด็กชายหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
[เพราะกลัวครับ ผมน่ะๆ]
พวกน้องๆ เข้ามาในห้องและส่งข้อความที่เขายังพิมพ์ไม่เสร็จไปอย่างคาดฝัน แม้เขาตั้งใจจะส่งข้อความที่แก้ไขแล้วไปทีหลัง แต่เนื่องจากดึกมากแล้ว เขาจึงเลื่อนออกไปเป็นวันรุ่งขึ้นแทน แต่พอลืมตาขึ้นมา การส่งข้อความไปอีกครั้งกลับเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด
แม้จะได้รับข้อความที่ถูกตัดไปกลางคัน แต่ฟิลลิปกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เขากังวลอยู่ตลอดทั้งวัน เพราะคิดว่าตนคงไม่ได้รู้สึกอยู่คนเดียว และเปลี่ยนใจว่าจะไปพูดต่อหน้าแทน
แต่วันนั้นฟิลลิปกลับไม่ปรากฏตัวที่ม้านั่ง วันต่อไป และวันต่อๆ ไปก็เหมือนกัน เขาไม่สามารถทำเป็นรู้จักอีกฝ่ายในโรงเรียนได้ อีกทั้งการส่งข้อความไปหลังจากที่ผ่านมาหลายวันแล้วก็ประหลาดด้วย ฟิลลิปไม่สนใจข้อความแบบนั้นอย่างแน่นอน อีกฝ่ายอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าเขาส่งข้อความไปหา…เพราะการที่พวกเขามาบรรจบกันก็เป็นความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
แต่เขาก็ไม่อยากจะปล่อยสถานการณ์ที่อีกฝ่ายอาจจะกำลังเข้าใจผิดไปเฉยๆ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจมางานปาร์ตี้ทั้งๆ ที่ขัดต่อคำเตือนของแอรอน
“…คงไม่เป็นไรหรอก”
เด็กชายพึมพำกับตัวเองขณะที่มองเสื้อผ้าที่รีดจนเรียบและรองเท้าที่ค่อนข้างมันวาวเพราะเพิ่งซื้อมาใหม่ที่สะท้อนอยู่บนประตูกระจก แม้จะใส่เสื้อผ้าที่เรียบร้อยที่สุดมา แต่เขาก็อดที่จะกลัวไม่ได้ พอนึกถึงเสียงเยาะเย้ยของเฟร็ดที่บอกว่าทั้งหมาทั้งวัวก็คงจะมากันหมดเพราะเขาถูกเชิญไปงานปาร์ตี้ ปลายนิ้วที่จับห่อของขวัญไว้ก็สั่น
เพราะกลัวครับ ผมกลัวว่าถ้าผมมา คนอื่นๆ จะหัวเราะเยาะกับมาตรฐานของคุณ
‘ลูกบุญธรรมชาวเอเชียที่มีร่างกายอ่อนแอ’ แม้ตัวเขาผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่อย่างชนกลุ่มน้อยมาทั้งชีวิตจะคุ้นเคยกับการถูกใครๆ ดูถูก แต่เขาไม่อยากทำให้ฟิลลิปต้องมารู้สึกถึงความรู้สึกที่ไร้ประโยชน์พวกนั้น อีกฝ่ายต่างจากตน เขามักจะอยู่ท่ามกลางผู้คนเสมอ อีกทั้งยังเป็นคนที่เจิดจรัสจนแสบตา แข็งแกร่ง และงดงาม
ปีเตอร์รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายมาก่อนแล้ว เขาได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นควอร์เตอร์แบ็กตัวหลักของทีมฟุตบอล[1] และเป็นคนเกาหลีที่มีชื่อเสียงที่สุดในโรงเรียน
เขาไม่ได้รู้สึกถึงความคล้ายเพราะเป็นคนเกาหลีเหมือนกันเลย ในตอนแรกเขาแค่รู้สึกสงสัย เขามักจะเห็นอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่เจอกัน และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็กลายเป็นว่าเขาเอาแต่มองตามอีกฝ่าย ตอนฟิลลิปช่วยเขาที่ถูกขังไว้ในล็อกเกอร์ด้วยสภาพที่น่าเกลียดจากการกลั่นแกล้งของเฟร็ด เขานึกว่าหัวใจที่ซ่อมแซมได้อย่างยากลำบากจะหยุดเต้นเสียแล้ว แม้หลังจากนั้นจะได้พูดคุยกันและให้ยืมหนังสือ แต่ก็มีเส้นแบ่งที่มองไม่เห็นอยู่ในใจเสมอ ฟิลลิปเป็นคนที่อยู่ในโลกที่ต่างจากเขา
เด็กชายก้มมองปลายเท้าของตัวเอง
แค่ก้าวออกไปข้างหน้าแค่ก้าวเดียวก็ได้แล้ว แต่การทำอย่างนั้นก็ยังยาก ในจังหวะที่กำลังคิดซ้ำไปซ้ำมาเป็นรอบที่เก้าสิบว่าจะวางของขวัญไว้ที่ประตูบ้านแล้วกลับบ้านดี หรือจะมอบของขวัญให้ต่อหน้าดีอยู่นั้น ใครบางคนก็แตะไหล่ของเด็กชาย
“อะไรเนี่ย ฉันก็สงสัยอยู่ แต่เป็นนายจริงๆ สินะ”
แอชที่เรียนวิชาประวัติศาสตร์ด้วยกันนั่นเอง ปีเตอร์รีบทักทายว่า “หวัดดี”
“นายมาที่นี่ด้วยเหรอ”
“อ๋อ อื้อ พอดีได้รับคำเชิญก็เลยตั้งใจว่าจะเอาของขวัญมาให้น่ะ…”
“งั้นทำอะไรอยู่ล่ะถึงไม่เข้าไปข้างใน”
“ฉันกำลังจะเข้าไป แต่…”
“เข้าไปด้วยกันเถอะ ฉันเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน เพราะไม่ค่อยมีคนที่รู้จักน่ะ”
แอชลีย์ โรฮันที่ได้ชื่อว่านิสัยดีควงแขนเด็กชายอย่างไม่เขินอาย เด็กชายร้องโอ๊ยขณะที่ถูกลากเข้าไปด้านในของประตูบ้าน
มีคนอยู่เยอะมาก การตกแต่งพื้นที่มีระดับและผู้คนที่สวมเสื้อผ้าหรูหรา เสียงเพลงและเสียงหัวเราะ
แอชลีย์ลากเด็กชายที่ได้ก้าวเข้าไปสู่โลกที่แปลกไปในชั่วพริบตาเดินเข้าไปอย่างสุขุม
“แอช ทำไมถึงมาสายขนาดนี้ล่ะ เมื่อกี้นิกบอกว่ากำลังรอเธออยู่น่ะ”
“ขอบใจ รถติดน่ะ”
“แอช เสื้อผ้าวันนี้สวยมากเลย”
“เธอเองก็เหมือนกัน”
แอชลีย์ที่บอกว่าไม่ค่อยมีคนรู้จักได้รับคำทักทายที่ฟังดูสนิทสนมทุกครั้งที่เดินลึกเข้าไป
“เขาอยู่ตรงนั้น”
“หา?”
ที่ที่แอชลีย์พาเด็กชายไปคือโซฟาที่วางอยู่ตรงมุมห้องรับแขก ฟิลลิปที่เป็นพระเอกของงานปาร์ตี้วันนี้กำลังนั่งอยู่ตรงนั้นกับเพื่อนๆ ของเขา
“ฟิลลิป ฉันพากระต่ายหลงทางตัวหนึ่งมาด้วย”
ตอนนั้นเองฟิลลิปที่นั่งเอนตัวอยู่ที่โซฟาถึงได้หันหน้ามาทางนี้ พอสบตากัน ฟิลลิปก็มองเด็กชายนิ่งๆ อยู่พักใหญ่ แววตานั้นเหมือนกับกำลังฝันถึงอะไรบางอย่างอยู่
“…สวัสดีครับ”
วินาทีที่เด็กชายเอ่ยทักทาย สีหน้าของฟิลลิปก็หายไป เด็กชายกอดห่อของขวัญและยื่นนิ่งเป็นน้ำแข็งอยู่ตรงหน้าฟิลลิปที่ทำสีหน้าเรียบเฉยอย่างกะทันหัน ปีเตอร์รู้สึกราวกับได้รับการยืนยันถึงความจริงที่ว่าไม่มีที่ของตัวเองในที่แห่งนี้อีกครั้ง
“เห็นว่าได้รับคำเชิญมานะ?”
“…ก่อนหน้านี้น่ะ”
เด็กชายเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา พอแอชลีย์เห็นเด็กชายที่หน้าซีดจนน่าสงสาร เธอก็เอียงคออย่างนุ่มนวลพร้อมกับเอ่ยถาม
“ถ้าไม่ค่อยชอบตรงนี้จะไปตรงนั้นกับฉันไหมล่ะ ฉันจะเอาเครื่องดื่มให้”
ตาของฟิลลิปที่เห็นภาพแอชลีย์ดึงแขนของเด็กชายไปสงบจนน่าหวาดกลัว
“ฉัน…”
ก่อนที่เด็กชายจะทันได้ตอบอะไร มือใหญ่ก็คว้าไหล่และแขนของเขาไว้อย่างรุนแรง จากนั้นก็ดึงไปทางโซฟา
“เป็นแขกที่ฉันเชิญมาถูกแล้ว ขอบใจนะ”
ฟิลลิปพูดพร้อมกับยิ้มสวยอย่างเป็นเอกลักษณ์
“งั้นเหรอ งั้นฉันจะไปด้านโน้น ถ้าเบื่อก็มาทางสระว่ายนะ”
แอชลีย์ขยิบตาให้เด็กชายก่อนจะเดินจากไป
“มาแล้วเหรอ”
ฟิลลิปยิ้มก่อนจะเอ่ยทักทาย
“…ครับ”
เพียงเท่านั้น ไม่มีบทสนทนาอะไรอีกระหว่างคนทั้งคู่ ฟิลลิปพูดคุยกับบรรดาผู้คนที่ล้อมรอบตัวเอง ส่วนเด็กชายก็นั่งลูบห่อของขวัญอย่างใจลอยอยู่คนเดียว และเอาแต่ฟังคนอื่นพูดเงียบๆ
“นั่นคืออะไรน่ะ ของขวัญเหรอ”
คิลเลียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเด็กชายเอ่ยถาม แล้วก็เอื้อมมือมาแย่งห่อของขวัญไปก่อนที่เด็กชายจะทันได้ตอบ
“ลองแกะได้ไหมว่าเป็นอะไร”
คิลเลียนเอ่ยถาม เด็กชายจึงมองฟิลลิป แต่ฟิลลิปกลับไม่มองมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้แล้ว
“…อื้อ”
เด็กชายเอ่ยตอบอย่างอ่อนแรง คิลเลียนแกะกระดาษที่เด็กชายห่ออย่างเอาใจใส่และร้องว่า “อะไรเนี่ย” พร้อมกับหัวเราะ
“ทำไมถึงเป็นกระถางดอกไม้ล่ะ นายคงไม่ได้ตั้งใจจะเอาไอ้นี่เป็นของขวัญให้ฟิลลิปจริงๆ หรอกใช่ไหม”
“กระถางดอกไม้เหรอ เหมือนจะเป็นดอกไม้ที่แพงมากหรือเปล่า”
“มะ ไม่ได้แพงหรอก เป็นดอกลาเวนเดอร์น่ะ…พอดีเขาบอกว่ามันดีต่ออาการนอนไม่หลับ ก็เลย…”
“นอนไม่หลับเหรอ ใครเป็นโรคนอนไม่หลับล่ะ ฟิลลิปเหรอ”
สายตาทุกคู่มองไปที่ฟิลลิป เขาสบตากับฟิลลิป อีกฝ่ายมองเด็กชายด้วยดวงตาที่ไร้ความรู้สึกก่อนจะเอ่ยปากพูด
“ฉันจะใช้อย่างดีเลย ขอบใจนะ”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่เขากลับไม่มองกระถางดอกไม้ที่เด็กชายเอามาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เด็กชายที่หมดกำลังใจไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะพูดเรื่องข้อความ
แล้วเสียงพูดคุยที่เอะอะเสียงดังก็ดำเนินต่อไปอีกครั้ง ไม่มีคนสนใจเด็กชายอีกต่อไปแล้ว
โชคดีแล้วที่คนอื่นๆ ไม่สนใจ และฟิลลิปไม่โดนหัวเราะเยาะเพราะเรา เด็กชายนั่งคิดพลางลูบใบของต้นลาเวนเดอร์เงียบๆ
…แต่เขาก็รู้สึกเสียใจอย่างช่วยไม่ได้ที่ไม่ยอมฟังคำพูดของแอรอน
***
“พระเอกของงานมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ”
ฟิลลิปที่กำลังสูบบุหรี่อยู่หันหน้าไป แอชลีย์ โรฮันนั่นเอง
“นายสูบบุหรี่ด้วยเหรอ”
ฟิลลิปกระตุกยิ้มแทนคำตอบ
ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัวพร้อมกับพาเด็กชายมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เห็นว่ามือของเธอดึงแขนของเด็กชายไว้ เขาอยากจะหักคอเธอจริงๆ
“เรื่องใหญ่เลยนะเนี่ย เด็กนักเรียนตัวอย่างที่แม้กระทั่งเหล้าก็ไม่เอาเข้าปากด้วยซ้ำในระหว่างการแข่งขัน ขอไฟหน่อย”
เธอคาบบุหรี่ไว้พร้อมกับเอ่ยขอไฟจากฟิลลิป ฟิลลิปหยิบไฟแช็กออกมาจากกระเป๋าและโยนให้เธอ
“อะไรเนี่ย ทำไมวันนี้ถึงได้รุนแรงขนาดนี้ล่ะ”
“ฮ่าๆๆ งั้นเหรอ”
“ฉันบอกว่านายดูอารมณ์ไม่ค่อยดี พวกนั้นก็เลยเป็นห่วงน่ะ”
ถ้ารู้ก็น่าจะไสหัวไปสิ
ฟิลลิปสูดควันบุหรี่และพิงกับระเบียง
“ว่าแต่นายพูดจริงเหรอ”
“เรื่องอะไร”
“เด็กคนเมื่อกี้ไง ชื่ออะไรนะ ที่ขาวๆ ผอมๆ แล้วก็มีกระ…”
“…ปีเตอร์”
“ใช่แล้ว ปีเตอร์ นายเชิญมาจริงๆ เหรอ”
“มีเหตุผลที่ทำไม่ได้ด้วยเหรอ”
“เปล่า ก็ไม่มีเหตุผลที่ทำไม่ได้หรอก แต่…”
เธอจุดบุหรี่พลางฉีกยิ้ม
“เขาไม่ใช่คนที่ควรจะอยู่ที่นี่น่ะ”
‘เพราะผมรู้สึกว่าไม่ว่ายังไงคนแบบผมก็ไม่ควรไปที่แบบนั้น…’
เขานึกถึงใบหน้าของเด็กชายที่กะพริบดวงตาที่กลมโตและทำตัวไม่ถูก และนั่นทำให้เขาอารมณ์ไม่ดียิ่งขึ้น
“เห็นว่ายืนทำหน้าซีดอยู่คนเดียวก็เลยสงสารน่ะ”
แม้จะแกล้งทำทีว่าเป็นห่วง แต่ฟิลลิปสังเกตได้ไม่ยากเลยว่าเด็กสาวที่เกิดมาในบ้านที่คาบช้อนทองมาเกิดจากรุ่นสู่รุ่นกำลังรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นคนชั้นสูง
“แอช”
ฟิลลิปเอ่ยเรียกชื่อเล่นของเธออย่างอ่อนโยนหลังจากโยนบุหรี่ทิ้งไปนอกระเบียง
“หืม?”
“ฉันเสียใจนะ ฉันไม่นึกเลยว่าเธอจะเป็นคนเหยียดสีผิว”
“ว่าไงนะ”
“ฉันจะไปบอกแม่ ว่าเนื่องจากเธอรังเกียจคนเอเชียขนาดนั้น จึงยากที่จะเข้าร่วมชมรมอ่านหนังสือต่อไป”
ชมรมอ่านหนังสือที่แม่ของฟิลลิปเปิดเป็นการรวมตัวเพื่อคบค้าสมาคมกันระหว่างพวกชนชั้นสูง ดังนั้นการโดนตัดสิทธิ์การเป็นสมาชิกจึงไม่ต่างอะไรกับการถูกพิพากษาโทษประหารในแวดวงชนชั้นสูง
“พูดอะไรน่ะ ฟิลลิป เดี๋ยวสิ…”
เธอคว้าแขนฟิลลิปไว้ ความหงุดหงิดที่ไม่ชัดเจนนักปรากฏในดวงตาของฟิลลิป แต่เขาก็สามารถวางมือของตัวเองลงบนมือของเธอในสภาพที่มีตายิ้มที่หวานเชื่อมอย่างเป็นเอกลักษณ์ได้ในทันที
“เธอรู้ไหมว่าแม่ของฉันเกลียดอะไรที่สุด”
“…ตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว นายหมายความว่าอะไรกันแน่”
แอชลีย์เหงื่อซึมพลางเอ่ยถาม เธออยากจะถามผู้ชายตรงหน้าว่าใช่ฟิลลิป เลวินที่เธอรู้จักจริงไหม แม้จะกำลังยิ้มอยู่ แต่ใบหน้าที่น่ากลัวอย่างที่ไม่สามารถบอกได้ว่าน่ากลัวตรงไหนก็ทำให้เธอขนลุก
“ยาเสพติด สารเสพติด กัญชา”
ฟิลลิปว่าพลางพับนิ้วของหญิงสาวลงทีละนิ้ว เธอตอบโต้ด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย” ฟิลลิปโน้มตัวลงหาแอชลีย์ เนื่องจากไหล่ที่กว้างของเขา ความน่าเกรงขามจึงมากขึ้นเป็นเท่าตัว
ฟิลลิปเอาจมูกของตัวเองเข้าไปใกล้บริเวณต้นคอของแอชลีย์ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพึมพำว่า “มันมีกลิ่น”
แอชลีย์หน้าแดงด้วยความอับอายและกุมต้นคอไว้ หลังจากตำหนิหญิงสาวอย่างไร้มารยาทที่สุดว่า “มันมีกลิ่น” แล้ว ฟิลลิปก็ยิ้มเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพูดต่อ
“ในฐานะที่เป็นนักเรียนตัวอย่างที่แม้กระทั่งเหล้าก็ไม่เอาเข้าปากในระหว่างการแข่งขัน ฉันเลยไม่โง่ถึงขนาดที่ไม่ได้กลิ่นกัญชาไงล่ะ”
“…”
ฟิลลิปแตะไหล่แอชลีย์เบาๆ และเดินออกไปจากตรงระเบียง
[1] เนื่องจาก setting ในเรื่องเป็นประเทศอเมริกา กีฬาฟุตบอลที่กล่าวถึงในเรื่องจึงหมายถึง อเมริกันฟุตบอล