ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ตอนที่ 1-8
“…น่ารำคาญ”
กรรมการผู้จัดการคิมพึมพำ
“แล้วใครบอกให้พูดแบบนั้นล่ะครับ ทำไมถึงต้องพูดเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แบบนั้น…”
“ฉันขอให้อินซอบตัดสินเฉยๆ หรอก ฉันเรียกหมอนั่นด้วยตอนไหน”
“ถ้าคุณอินซอบมา ไอ้เวรนั่นก็ต้องตามมาด้วยอยู่แล้ว ไม่รู้เหรอครับว่ามันซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง”
ชายสองคนมองอีอูยอนที่แยกตัวออกไปหย่อนคันเบ็ดพลางกระซิบ
“เงียบๆ หน่อยครับ ปลาหนีไปหมดแล้ว”
อีอูยอนต่อว่าชายทั้งสอง
“…ตรงนี้จะจับปลาได้จริงๆ เหรอ”
อินซอบที่ยื่นหน้าออกมาได้ยาก เพราะสวมเสื้อกันหนาวและถูกห่อทับด้วยผ้าห่มเอ่ยถามอีอูยอนด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ไม่รู้สิครับ”
อีอูยอนมองผิวน้ำของทะเลสาบและเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เพราะฉันเพิ่งเคยตกปลาเป็นครั้งแรก ก็เลยอยากจะจับปลาได้น่ะ”
อินซอบตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย
“นั่นสิครับ ผมก็อยากจับได้สักตัวเหมือนกัน”
ความจริงอีอูยอนไม่มีความสนใจในเรื่องตกปลาเลยสักนิด ถึงขนาดที่คิดว่าการมีฉลามติดเบ็ดขึ้นมากับการมีซากศพติดเบ็ดขึ้นมาต่างกันตรงไหน แต่พอเห็นอินซอบพูดอย่างตื่นเต้นขนาดนั้น เขาก็คิดว่าควรจะตกปลาโง่ๆ ให้ได้สักตัวดีไหม
“คุณอินซอบ ดื่มนี่ก่อน”
หัวหน้าทีมชายยื่นกาแฟสำเร็จรูปที่ชงมาเมื่อกี้ให้ อินซอบกล่าวขอบคุณเบาๆ ว่า ‘ขอบคุณครับ’
“ทำเกินไปแล้วนะ ผมก็มีปากหรือเปล่า”
อีอูยอนยิ้มและพูดอย่างหน้าด้าน เพราะเกลียดการเห็นหัวหน้าทีมชาที่แทรกเข้ามาดูแลอินซอบเมื่อมีโอกาสในตอนที่พวกเขาอยู่กันตามลำพัง
“นายเบื่อสิ่งนี้และไม่อยากให้โดนปากนี่ แถมยังบอกว่าดื่มของที่รสชาติอย่างกะฉี่ริ้นทุกครั้งที่ถ่ายโฆษณะ…อึก”
หัวหน้าทีมชาที่โดนเตะอย่างคาดไม่ถึงจับหน้าแข้งเอาไว้
“ทำงานเกี่ยวกับโฆษณาเหรอ”
อินซอบเอ่ยถาม เขาไม่กล้าถามตรงๆ ว่าน้องชายของตัวเองทำงานอะไร
“ครับ ประเภทนั้นแหละครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างสดใสพลางเอ่ยตอบ หัวหน้าทีมชาส่ายหน้าไปมาและกลับไปที่ที่ของตน
“ว่าแต่พักงานนานขนาดนี้ไม่โดนว่าเหรอ”
“ไม่เป็นไรครับ เพราะผมเป็นฟรีแลนซ์”
“อย่างนั้นเองสินะ”
อินซอบค่อยๆ จิบกาแฟสำเร็จรูปและเหลือบมองน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวเอง …รูปร่าหน้าตาเขาเป็นดาราได้ด้วยซ้ำ มาตรฐานของรูปร่างหน้าตาที่เกาหลีแตกต่างออกไปเหรอ
“มีอะไรเหรอครับ”
“หา?”
“ทำไมถึงมองแบบนั้นล่ะครับ”
อีอูยอนพูดโดยที่ไม่ละสายตาไปจากทุ่นตกปลา อินซอบค่อยๆ เบนสายตาไปและเอ่ยตอบ
“…เรื่องแม่น่ะ ฉันคิดว่าต้องเป็นคนสวยแน่เลย”
“ครับ?”
“ก็นายบอกว่าเหมือนแม่นี่ เพราะฉะนั้น…”
“ผมสวยเหรอครับ”
อีอูยอนยิ้มจนตาหยีพลางเอ่ยถาม อีกแล้ว หัวใจเริ่มเต้นตึกตักอีกแล้ว อินซอบขยับและเกร็งมือที่อยู่ในกระเป๋า
“คือ…”
“ไม่สวยเหรอครับ”
พอไม่มีคำตอบกลับมา อีอูยอนก็ถามอีกครั้ง รวมถึงหันมาและก้มหน้าสบตาอินซอบอีกด้วย
“ผมขี้เหร่เหรอครับ”
“…ปลาหนีไปแล้ว”
แม้อินซอบจะเตือนเบาๆ แต่ก็เปล่าประโยชน์ อีอูยอนเริ่มถามอย่างไม่ยอมแพ้ว่า ผมสวยไหม สวยตรงไหน และสวยมากแค่ไหน
กรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชาระอากับท่าทางของอีอูยอนที่เหมือนหูหนวกตาบอด และปลอบใจกันว่าทำดีแล้วที่ย้ายเบ็ดไปทางนั้นตั้งแต่เนิ่นๆ
“ไม่ตอบเหรอครับ”
อีอูยอนดีดปลายจมูกที่กลายเป็นสีแดงของอินซอบอย่างหยอกล้อพลางเอ่ยถาม
“เอ่อ คือ…อ๊ะ!”
ตาของอินซอบโตขึ้น ทุ่นเบ็ดที่อินซอบหย่อนไว้กำลังกระตุก
“ทะ ทำยังไงดี ปลามัน…”
อินซอบที่ตื่นตกใจพูดตะกุกตะกักหลังจากยกเบ็ดขึ้นจากแท่นวาง ชายสองคนที่สังเกตเห็นความวุ่นวายวิ่งมาทางนี้
“คุณอินซอบ ปลากินเบ็ดแล้วเหรอ”
“อินซอบ ดึงขึ้นมาเลยแบบนั้นไม่ได้นะ ค่อยๆ ค่อยๆ”
ชายสองคนตะโกนพร้อมกัน อินซอบที่ตื่นตระหนกขึ้นอีกขั้นยืนถือเบ็ดเอาไว้เฉยๆ และเอาแต่มองอีอูยอน
“หมุนรอกครับ”
อีอูยอนหมุนรอกพร้อมกับทำเหมือนกอดอินซอบไว้จากทางด้านหลัง คันเบ็ดกระตุกและโก่งงอ
“ไม่ ไม่ได้ทำแบบนั้น ต้องทำแบบนี้”
กรรมการผู้จัดการคิมเข้ามาร่วมวง หัวหน้าทีมชาที่ทนดูอยู่ข้างๆ ไม่ได้วิ่งเข้ามา
“เฮ้ย ไม่ใช่อย่างนั้น แป๊บนึง ผมทำเอง”
“พวกมือใหม่จะไปรู้อะไรล่ะ หลีกไป!”
ในขณะที่กรรมการผู้จัดการคิมขึ้นเสียง คันเบ็ดก็งอขึ้นไปด้านบนจนตึง วินาทีนั้นเอง
หวืด
เสียงคันเบ็ดเปล่าลอยผ่านอากาศดังขึ้น ชายสองคนที่เสียการทรงตัวล้มลงไปบนพื้นพร้อมกัน โชคดีที่อีอูยอนรับไว้จากทางด้านหลังอินซอบจึงไม่ล้ม
เหยื่อที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวติดอยู่ที่ตะขอ
“โอ๊ย ให้ตายสิ ตาแก่นี่ เพราะแบบนั้นผมถึงบอกว่าจะทำเองไง!”
“เมื่อกี้ถ้าบิดตัวพร้อมกับดึงขึ้นก็ได้แล้ว แต่เพราะนายโผล่มาถึงเป็นสภาพนี้ไง”
“เพราะว่าใช้แค่แรงดึงขึ้นมาอย่างขาดความรู้แบบนั้นถึงได้เป็นแบบนั้นไง ตกปลามาตั้งขนาดนั้นแล้วแท้ๆ แต่ยังไม่รู้จังหวะอีก”
หัวหน้าทีมชาพูดพร้อมกับปัดเสื้อ แล้วเขาก็เห็นอินซอบที่กำลังจับเบ็ดเปล่าไว้อย่างมึนงง
“ขอโทษนะคุณอินซอบ จะจับปลาใหญ่ได้อยู่แล้วเชียว”
“ปลาใหญ่…เหรอครับ”
“ช่าย ตัวเท่านี้แหนะ”
หัวหน้าทีมชาพูดพร้อมกับกางมือให้ดู
“ไม่ใช่ ฉันเห็นที่มันกระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เท่านี้ต่างหาก”
กรรมการผู้จัดการคิมกางมือให้กว้างกว่าหัวหน้าทีมชาพลางพูด
“…นายเห็นไหม”
อินซอบหันไปมองอีอูยอนที่อยู่ด้านหลังพลางเอ่ยถาม อีอูยอนยื่นมืออกมาและกางให้กว้างกว่ามือทั้งสองข้างของหัวหน้าทีมเล็กน้อย
“เท่านี้”
อินซอบหัวเราะ
“ไม่น่าเชื่อ ฮ่าๆๆ น่าจะถ่ายรูปไว้นะ ถ้าฉันบอกว่าจับปลาได้ต้องไม่มีใครเชื่อแน่ ฮ่าฮ่า”
อินซอบตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ ชายทั้งสองคนไม่พูดอะไรเลย พวกเขามองอีอูยอนที่ไม่สามารถละสายตาไปจากอินซอบที่เป็นแบบนั้นได้แม้แต่วินาทีเดียว และกำลังทำสีหน้าเหมือนเด็กที่ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ชายทั้งสองเบนสายตาหนีพร้อมกัน พวกเขารู้สึกเหมือนเห็นภาพที่ไม่ควรเห็น
“…ขอโทษนะครับ เพราะผมตื่นเต้นมากไปหน่อย ปลาตัวอื่นคงจะหนีไปหมดแล้ว”
อินซอบรีบปิดปาก อีอูยอนหยิบผ้าห่มที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา และคลุมลงบนไหล่ของอินซอบอีกครั้ง
“จับปลาอีกครั้งก็ได้”
อีอูยอนปลอบอินซอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเป็นอย่างมาก กรรมการผู้จัดการคิมเห็นท่าทางนั้นและรู้สึกละอายต่อบาปที่ได้ทำลงไปนิดหน่อย เขาทนไม่ได้และขับรถมาจนถึงคังวอนโดในกลางดึกคืนนี้ เพราะคำพูดของหัวหน้าทีมชาที่บอกว่าไอ้คนเฮงซวยที่เหมือนสัตว์นั่นต้องจับชเวอินซอบที่ไม่รู้อะไรเลยกินแน่ๆ
“หนาวไหมครับ”
อีอูยอนกลัดเสื้อให้เรียบร้อยพลางเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร ขอบใจนะ”
“ถ้าหนาวก็บอกนะครับ ผมจะพาเข้าไปทันทีเลย”
“อื้อ”
อีอูยอนยิ้มและตบหลังอินซอบเบาๆ อยู่สองถึงสามที แม้จะเชื่อได้ยาก แต่อีอูยอนก็ทำหน้าที่น้องชายแท้ๆ ได้ดีพอสมควร
***
‘ผมขอไปสูบบุหรี่สักครู่นะครับ’
อีอูยอนพูดแบบนั้นและหายไปพร้อมกับกรรมการผู้จัดการคิม
สูบบุหรี่ด้วยเหรอ ที่ผ่านมาเหมือนเราจะไม่เคยเห็นเขาสูบบุหรี่เลยสักครั้ง
อินซอบลูบคันเบ็ดที่วางอยู่บนแท่นรอง หลังจากเหยื่อถูกแย่งไปเมื่อสักครู่นี้ เบ็ดก็ไม่ถูกตอดอีกเลย
“โอ๊ย หนาว”
หัวหน้าทีมชานั่งลงข้างๆ และพูดด้วย
“คุณอินซอบไม่หนาวเหรอ”
“ผมไม่เป็นไรครับ”
แม้จะหนาวเล็กน้อยตั้งแต่เมื่อกี้ แต่เขาก็อยากจับปลาให้ได้สักตัว อีอูยอนเอ่ยถามอย่างหยอกล้อว่าจับปลาได้แล้วจะเอาไปทำอะไร
…ถึงจะเป็นแค่สิ่งนั้น แต่ฉันก็อยากให้นาย
อินซอบกลืนคำที่ไม่กล้าพูดออกไปลงไปและตอบอย่างคลุมเครือว่าก็แค่อยากจับได้ หลังจากลืมตาขึ้นมาในที่แห่งนี้ เขาพึ่งพาอีอูยอนทุกอย่าง ทั้งค่าโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำ หรือแม้กระทั่งอาหารก็ไม่เคยจัดด้วยมือของตัวเองเลยสักครั้ง ถ้ามีสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน เขาก็อยากจะให้ทุกอย่าง
“ว่าแต่คุณอินซอบเนี่ยดื้อเงียบมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วนะ ตอนที่ทำงานก็ละเอียด”
คำพูดที่หัวหน้าทีมชาหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์พร้อมกับเอ่ยขึ้นทำให้อินซอบทำตาโต
“เคยทำงานกับผมเหรอครับ”
“เอ่อ ใช่ นายเคยมาช่วยสักพักน่ะ เอ้อ จริงสิ ฉันขอไปห้องน้ำก่อน ถ้าทุ่นขยับก็เรียกกรรมการผู้จัดการนะ”
นี่เป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าจะได้ไปเที่ยวชมก้นทะเลสาบกลางฤดูหนาวหลังจากพลั้งปากพูดไหม หัวหน้าทีมชาจึงใช้ห้องน้ำเป็นข้ออ้างและรีบออกไป
อินซอบที่เหลืออยู่คนเดียวเป่าลมจากปากใส่มือที่เย็นเป็นน้ำแข็ง และมองทุ่นที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ
แปลก แค่มองผิวน้ำของทะเลสาบ ความกังวลใจก็สงบลงแล้ว เราชอบที่นี่ นี่เป็นที่ที่เคยมาบ่อยๆ เมื่อก่อนหรือเปล่านะ แล้วมากับอีอูยอนสองคนหรือเปล่า เหมือนตอนที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน …แล้วตอนนั้นเราได้ใช้เวลาที่เงียบและสงบสุขเหมือนตอนนี้ไหมนะ
อินซอบสูดอากาศในฤดูหนาวที่หนาวเย็นเข้าไปและกะพริบตา สายลมพัดผ่านไป ผิวน้ำของทะเลสาบที่สงบนิ่งก็สั่นไหวราวกับตัวสั่นพร้อมๆ กัน
เขาได้ยินเสียงวัตถุขนาดใหญ่ถูกโยนและจมลงในทะเลสาบ
อะไรกัน มาจากไหน…
‘ช่วยด้วยครับ คะ คนตกน้ำครับ!’
อินซอบตกใจและลุกขึ้น เขามองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นใครเลย
‘ได้โปรด ได้โปรดช่วย…หน่อยครับ!’
เสียงที่เหมือนกับเสียงกรีดร้องดังก้อง หัวใจของเขาเต้นรัว เขามีอาการหูแว่วที่แหลมบาดหูและหัวก็ปวดราวกับจะระเบิด
‘ช่วยด้วยครับ ได้โปรด จะ 119 หรือตำรวจก็ได้…!’
ใครบางคนร้องไห้คร่ำครวญด้วยเสียงที่สั่นเทา ความรู้สึกที่รุนแรงถาโถมเข้ามา เป็นความรู้สึกที่รุนแรงและชัดเจนจนอย่างอื่นไม่สำคัญ
ต้องช่วย ไม่ว่ายังไงเราต้องช่วยคนคนนั้น…
***
“จะทำยังไง”
กรรมการผู้จัดการคิมจุดบุหรี่พลางเอ่ยถาม
“ทำอะไรยังไงเหรอครับ”
“…จะหลอกเขาไปเรื่อยๆ เหรอ”
“นี่เป็นคำที่คนที่แนะนำให้หลอกควรพูดเหรอครับ”
อีอูยอนเองก็จุดบุหรี่ด้วย
“โอเค เป็นความผิดของฉันหมดเลยสินะ แล้วโรงพยาบาลว่ายังไงบ้าง”
“จะว่าไงล่ะ ไอ้พวกหมอหัวค*ยนั่น ก็เหมือนเดิมน่ะสิ”
อีอูยอนพึมพำคำด่าพลางพ่นควันบุหรี่
“ระวังคำที่จะพูดกับหมอหน่อยสิ”
“คำที่พูดในขณะที่ตรวจไม่ถึงห้านาทีก็เหมือนกันทุกครั้ง แต่มันรับเงินไปกินแล้วนะครับ แม่งเอ๊ย ไหนๆ ก็รับเงินไปแล้ว ถ้ารับคำด่าไปด้วยก็ดีสิครับ”
ควันบุหรี่ลอยออกมาจากปากของอีอูยอนพร้อมกับคำด่าที่ไม่มีการหยุดชะงัก แค่ปิดเสียงไว้ก็น่าจะเป็นฉากหนึ่งของภาพยนตร์ได้แล้ว
กรรมการผู้จัดการคิมเดาะลิ้นในใจและพูดต่อ
“ถ้าความทรงจำไม่กลับมา นายจะหลอกว่าเป็นน้องชายต่อไปเรื่อยๆ เหรอ”
อันที่จริงเขายังประหลาดใจอยู่เลยที่อินซอบเชื่อคำโกหกที่ไม่น่าเชื่อของอีอูยอนจนถึงตอนนี้ เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่จะหาจุดร่วมระหว่างสองคนนี้ไม่เจอหากมีตาและสมอง ทั้งความสูง สีผม สีผิว หน้าตา แววตา และบรรยากาศรอบตัว ทุกอย่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง พูดได้ว่ารูปร่างหน้าตาของทั้งคู่อยู่กันคนละประเภท
“คุณอินซอบบอกว่าถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปที่อเมริกาครับ”
“…”
“แต่เพราะผมเป็นน้องชายแท้ๆ และอยู่ที่เกาหลีคนเดียว เขาเลยจะอยู่เป็นเพื่อนครับ”
“งั้นก็ส่งกลับไปที่อเมริกา…”
พอกรรมการผู้จัดการคิมเห็นอีอูยอนที่คาบบุหรี่เอาไว้พร้อมกับทำตาเป็นประกาย เขาจึงปิดปากฉับ
“มันเป็นการกลับอเมริกาเพราะเกิดอุบัติเหตุอีกครั้งนะครับ ถ้ากลับไปคราวนี้คงจะไม่สามารถกลับมาที่เกาหลีได้แล้วล่ะครับ”
“งั้นนายก็ไปอเมริกาด้วย มะ ไม่ได้ ทำเป็นว่าไม่ได้ยินก็แล้วกัน”
กรรมการผู้จัดการคิมรีบโบกมือ เขาไม่สามารถตัดหาทางทำกินที่เป็นดั่งทองคำของบริษัทด้วยมือของตัวเองได้
“ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิดแบบนั้นหรอกนะครับ ผมเองก็คิดว่าจะบินไปด้วยและอยู่ข้างๆ ดีไหมเหมือนกันครับ แต่”
อีอูยอนพ่นลมหายใจออกมา ผมที่ไม่ค่อยได้ถูกตัดแต่ง เพราะไม่ได้ไปร้านทำผมมาสักพักแล้วกำลังยาวอย่างไร้ทิศทาง นั่นทำให้ใบหน้าด้านข้างที่ดูซูบลงคมคายกว่าปกติ นี่เป็นภาพที่แปลกตา และเป็นใบหน้าที่ธรรมดาของผู้ชายที่ตกหลุมรักจนไม่สามารถทำอะไรได้
“พูดตามตรงผมยังไม่เชื่อเลยครับว่าชเวอินซอบชอบผมได้ยังไง ถ้าเป็นกรรมการผู้จัดการ ถึงจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของคนอย่างผมหมดแล้ว คุณจะยังชอบได้อยู่ไหมครับ”
“ไม่”
แม่งเอ๊ย ตอบเร็วเกินไปแล้ว เราตอบโดยคิดแค่วินาทีเดียวเอง แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะรู้สึกเสียใจในภายหลัง แต่ก็เปล่าประโยชน์
“แน่นอนอยู่แล้วครับ ต่อให้โดนปืนจ่อหัวก็ต้องเกลียดแน่ๆ”
อีอูยอนยิ้มอย่างชั่วร้ายและพูดต่อ
“อย่างที่ผมเคยพูดก่อนหน้านี้ ผมต้องการแค่ชเวอินซอบเท่านั้น ต่อให้ตายและฟื้น ผมก็ไม่สามารถเจอคนแบบนั้นได้แล้ว ดังนั้นผมจึงไม่ปล่อยเขาไปครับ…ไม่สิ ปล่อยไปไม่ได้ต่างหาก”
ชเวอินซอบ ไม่สิ แม้ปีเตอร์ในวัยสิบเจ็ดปีจะไม่มีแม้กระทั่งความทรงจำเกี่ยวกับตน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจนนี่ตายไปแล้ว และสิ่งที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาก็คือชีวิตที่อเมริกา ถ้าอีกฝ่ายกลับไปที่อเมริกาโดยที่ลืมเขาไปหมด และได้ใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบตามเดิม…ถึงตอนนั้นชเวอินซอบจะยังชอบเขาอยู่ไหมนะ