ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ตอนที่ 1-6
“นี่ครับ”
พออีอูยอนยื่นแก้วให้ อินซอบก็พูดว่า ‘ขอบใจ’
“ไม่ใช่กาแฟเหรอ”
หลังจากดื่มเครื่องดื่มไปอึกหนึ่ง อินซอบก็ทำตาโตและเอ่ยถาม
“ถ้าคืนนี้นอนไม่หลับอีกจะทำยังไงล่ะครับ”
อินซอบนอนหลับไม่ค่อยสนิทอยู่เรื่อยต่างจากเมื่อก่อนที่พอหัวถึงหมอนก็หลับแล้ว ทุกคืนอีอูยอนจะนั่งที่เตียงของอินซอบและอ่านหนังสือให้ฟังจนกว่าจะหลับ
“อย่างนั้นเหรอ”
อินซอบหัวเราะอย่างอ่อนแรงก่อนจะดื่มโกโก้ จากนั้นก็เบนสายตากลับไปที่วิวของชายหาดที่ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งตกไป
เนื่องจากถูกห้ามไม่ให้ดูโทรทัศน์ เล่นคอมพิวเตอร์ และอ่านหนังสือ การใช้เวลาอยู่ในบ้านจึงมีข้อจำกัด ดังนั้นอีอูยอนจึงพาอินซอบขับรถไปที่นั่นที่นี่บ้างเป็นบางครั้ง วันนี้เขาขับรถไปที่ชายหาด มันเป็นที่ที่พวกเขาเคยมาด้วยกันแล้วครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ แม้จะไม่คาดหวังว่าอินซอบจะฟื้นความจำได้จากสิ่งนี้ แต่เพราะเป็นที่ที่อินซอบในตอนนั้นเคยบอกว่าชอบ ดังนั้นอินซอบในตอนนี้ก็…
“…ดีจัง”
อินซอบกวาดตามองไปรอบๆ ชายหาดและพึมพำราวกับพูดคนเดียว ด้วยคำพูดที่เหมือนกับตอนนั้น
‘ผมชอบที่นี่ครับ มันทั้งเย็นสบาย ทะเลก็สวย แล้วก็เงียบด้วย ถ้าได้ยินเสียงคลื่น ผมจะรู้สึกใจเต้นแล้วก็ตื่นเต้นมากครับ’
อีอูยอนมองอินซอบที่บอกเหตุผลที่ตนไม่เคยคิดถึงเลยสักครั้งออกมาทีละเหตุผลพร้อมกับคิด ผมไม่สนใจพวกเหตุผลเลยสักอย่างเดียว แค่มีคุณ…แค่ได้อยู่กับคุณไปเรื่อยๆ…
“…ไหม?”
“ครับ?”
อีอูยอนถามซ้ำ
“…ฉันถามว่าฉันเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ”
“นึกอะไรออกเหรอครับ”
อีอูยอนรีบถาม อินซอบส่ายหน้า
“เปล่า แค่…ลองถามดูน่ะ ขอโทษนะ”
“ขอโทษเรื่องอะไรกันล่ะครับ”
“…”
อินซอบไม่สามารถตอบได้ แม้จะพยายามไม่แสดงออก แต่ในทุกครั้งเขารู้ดีว่าอีอูยอนกำลังรอคอยว่าความทรงจำของอินซอบกลับมาแล้วหรือเปล่า
“เป็นที่ที่เคยมาด้วยกันถูกต้องแล้วครับ”
“จริงเหรอ”
ตาของอินซอบที่ซึมลงไปเบิกกว้าง ชเวอินซอบที่เป็นเด็กแสดงความรู้สึกออกมาอย่างตรงไปตรงมาและน่ารัก
แม่งเอ๊ย จะบ้าตาย
อีอูยอนดื่มกาแฟและเบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง
“เราเคยมาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันครับ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคมปีที่แล้ว เพราะพี่บอกว่าอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันปีใหม่”
“สองคนเหรอ”
อินซอบเอ่ยถามด้วยความตกใจ อีอูยอนพยักหน้า อินซอบกะพริบตาที่กลมตาอยู่สองสามครั้ง และเหมือนจะได้ยินเสียงขนตาขยับดังพรึบๆ อีอูยอนดื่มกาแฟเย็นต่อ
“พวกเรา…คงสนิทกันมากเลยสินะ”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นเหรอครับ”
“เพราะการไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันปีใหม่กันสองคนไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปน่ะ”
“ระหว่างพี่น้องแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างงดงามพลางเอ่ยตอบ
แต่เขาคิดว่าถ้าอินซอบบอกว่าไปดูพระอาทิตย์กันสองคนกับพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นแอรอน นาธาน หรือโลแกน เขาจะหักคอคนพวกนั้นทิ้งอย่างแน่นอน
“เรามาด้วยกันเพราะคุณบอกว่าอยากขอพรระหว่างที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นน่ะครับ”
การดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับขอพร การกินเค้กด้วยกันในวันคริสต์มาส และการแลกของขวัญกันในวันครบรอบ แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นกิจกรรมที่อีอูยอนไม่เข้าใจ แต่เขาก็ทำตามที่อินซอบต้องการด้วยความยินดีอยู่ตลอด
‘จะขอพรเรื่องอะไรเหรอครับ’
วันนั้นอีอูยอนเอ่ยถามอินซอบไปแบบนั้น
นี่เป็นคำถามที่ถามออกไปเพราะคิดว่าพรที่ขับรถไปจนถึงทงเฮ[1] ตอนกลางดึกและอดนอนเพื่อขอจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหน
‘บอกไม่ได้ครับ’
‘ทำไมล่ะครับ’
‘เขาว่ากันว่าถ้าพูดออกไป คำอธิษฐานจะไม่เป็นจริงครับ’
อินซอบที่ตอบแบบนั้นด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่คาดไม่ถึงนั้นน่ารักจนต้องจับมาพรมจูบ พวกเขาจูบกันในรถอย่างนั้นและพูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในขณะที่รอให้พระอาทิตย์ขึ้น
“ขอพรเรื่องอะไรเหรอครับ ตอนนั้นน่ะ”
อีอูยอนถามคำถามเดิม ด้วยความคาดหวังที่ว่าหากเป็นชเวอินซอบที่กลายเป็นเด็กในตอนนี้ก็อาจจะเปิดเผยความลับออกมาก็ได้ อินซอบยิ้มน้อยๆ แทนคำตอบพลางจิบโกโก้
“เป็นความลับเหรอครับ”
พออีอูยอนถาม อินซอบก็พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ก็เขาว่ากันว่าถ้าพูดออกไป คำอธิษฐานจะไม่เป็นจริงนี่นา”
ยังมีสิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปอยู่
อีอูยอนจ้องมองคนที่ชื่อว่าชเวอินซอบที่ทั้งไร้เดียงสาจนซื่อ ทั้งน่ารักจนอยากถอนหายใจ…และเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแค่เล็กน้อยแม้ว่าจะผ่านไปหลายปีแล้วนิ่งๆ
อย่างไรก็ตาม ถ้าอีกฝ่ายรักตนเหมือนตอนนั้นสักนิดก็คงจะดี ถ้าอีกฝ่ายเปิดเผยช่องว่างแค่เพียงเล็กน้อย เขาที่เลวทรามจะไม่พลาด และมีความมั่นใจว่าจะแทรกตัวเข้าไปในช่องว่างนั้นและเกาะติดราวปลิงดูดเลือดอย่างแน่นอน
แสงสีส้มของดวงอาทิตย์กำลังสั่นไหวอยู่อีกฟากหนึ่งของเส้นขอบฟ้า
“อูยอน”
อีอูยอนถอนหายใจเบาๆ เขารู้สึกความรู้สึกที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยากทุกครั้งที่อินซอบที่เชื่อว่าเขาเป็นน้องแท้ๆ เรียกแบบนั้น เขาชอบ…จนถึงขนาดที่ต่อให้ความทรงจำกลับมาแล้ว ก็ยังอยากอ้อนให้อีกฝ่ายเรียกแบบนั้นบ้างเป็นบางครั้ง
“ทำไมถึงเรียกแบบนั้นล่ะครับ มันทำให้คนใจสั่นนะ”
อินซอบยิ้มจนตาหยีให้กับคำตอบที่ปนการแซวเล่น เขาอยากจะดึงกางเกงและกางเกงชั้นในของชเวอินซอบลงและโลมเลียช่องทางด้านหลังจนกว่าช่วงล่างจะอ่อนปวกเปียกซะเดี๋ยวนั้น
อีอูยอนกลั้วน้ำแข็งก้อนหนึ่งในปากและทำให้ความร้อนเย็นลง
“เพราะฉันมีเรื่องที่อยากถามน่ะ”
“อะไรเหรอครับ”
“…คือว่า ฉัน…”
อินซอบลูบชายเสื้อไปมา ดูเหมือนเขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่างที่ยากจะเอ่ยออกมา แม้จะรู้นิสัยนั้นอยู่แล้ว แต่อีอูยอนก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ทุกครั้ง เขาชื่นชมสิ่งนั้นอย่างไม่รีบร้อน เพราะท่าทางของอินซอบที่ลังเลและทำตัวไม่ถูกนั้นสวยมาก
“…คือฉันเคยพูดเรื่องคนที่คบอยู่บ้างไหม”
“ครับ?”
อีอูยอนเลิกคิ้วให้กับคำถามที่กะทันหัน
“เอ่อ ไม่สิ ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ ฉันแค่ลองถามดูเฉยๆ น่ะ ถึง…สภาพอย่างฉัน…จะไม่มีอยู่แล้วแน่ๆ ก็ตาม”
“สภาพอย่างคุณเป็นยังไงเหรอ”
“ครับ?”
พอน้ำเสียงของอีอูยอนถูกกดให้ต่ำลง คำสุภาพก็หลุดมาจากปากของอินซอบที่ตื่นตกใจอีกครั้ง
“คนรักเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่ต้องเลือกสภาพในการมีเลยเหรอครับ”
“เอ่อ…เพราะฉัน…เป็นแบบนี้”
อินซอบอึกอักพลางพูดต่อ
“เพราะฉันไม่เคยมีเรื่องแบบนั้นเลยสักครั้ง…แล้วก็ไม่เคยถูกใครชอบด้วย”
“ไม่มีเลยสักครั้งจริงๆ เหรอครับ”
น้ำเสียงของอีอูยอนที่ซักไซ้ราวกับจะทำให้แน่ใจตื่นเต้นเล็กน้อย
“ไม่มีอยู่แล้ว ฉันจะมีได้ยังไง…ไม่มีหรอกเรื่องแบบนั้นน่ะ ฉันไม่ค่อยไปโรงเรียน แล้วก็อยู่แต่บ้าน ถึงนายน่าจะมีเยอะแน่ๆ ก็เถอะ…”
“มีเยอะแน่ๆ อะไรกันล่ะครับ ผมเองก็ไม่มีเหมือนกัน”
“อะไรนะ?”
อินซอบถามกลับด้วยสีหน้าที่บอกว่าไม่เชื่อ
“ผมดูไม่เรียบร้อยขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ไม่นะ! ไม่ใช่อย่างนั้น นายทั้งสูงทั้งหล่อ เพราะอย่างนั้น…”
“เพราะอย่างนั้น?”
อีอูยอนเอียงคอและสบตาพร้อมกับเร่งให้พูดคำต่อไป
“ฉันพูดแบบนั้นเพราะคิดว่านายต้องดังแน่ๆ แต่นายอาจจะฟังแล้วรู้สึกไม่ดี ขอโทษนะ ฉันไม่พูดภาษาเกาหลียังไม่คล่องเท่าไร แค่จะบอกว่านายเท่…”
“ผมเท่เหรอครับ”
อีอูยอนพูดตามคำสุดท้ายของอินซอบและถามซ้ำ
“อื้อ”
อินซอบพยักหน้าอย่างตั้งใจ
“หล่อจริงๆ…เป็นนายแบบหรือไม่ก็นักแสดงได้เลย”
แล้วอินซอบก็ถามกลับมาอย่างระมัดระวังว่า ‘เคยถูกชวนเข้าวงการบ้างไหม’
“ไม่เคยเลย ผมลองทำดูสักครั้งตอนนี้ดีไหมครับ”
อินซอบพยักหน้าอีกครั้ง
แม่งเอ๊ย ขนาดความจำเสื่อม คนคนนี้ก็ยังน่ารักเหมือนเดิมจริงๆ
อีอูยอนด่าในใจพลางดื่มกาแฟเข้าไป
“ความจริงแล้วฉันตกใจมากเลย ที่นายบอกว่าเป็นน้องของฉัน…เราไม่เหมือนกันเอามากๆ เลยนะ”
“อะไรเหรอครับที่ไม่เหมือน เราเหมือนกันจะตาย”
ในที่สุดอินซอบก็ระเบิดหัวเราะให้กับคำตอบที่หน้าไม่อายของอีอูยอน
“ฮ่าๆๆ ไร้สาระ ไม่มีใครเชื่อหรอก”
อีอูยอนไม่หัวเราะไปตามคำพูดของอินซอบที่เต็มไปด้วยความขบขัน
“…คุณ”
“หือ?”
“พี่เชื่อผมได้นี่ครับ”
นี่เป็นครั้งแรก ที่สรรพนามว่า ‘พี่’ หลุดออกมาจากปากของอีอูยอน
“พี่…เชื่อผมนะครับ”
หน้าผากของอีอูยอนแตะที่ไหล่ของอินซอบ แม้อุณหภูมิร่างกายของอีอูยอนจะไม่สูงผิดปกติ แต่อินซอบก็รู้สึกร้อนราวกับเป็นไข้ทุกครั้งที่อีกฝ่ายเอาตัวมาโดน เนื่องจากความร้อนที่เหมือนกับภายในลำคอถูกบีบรัด อินซอบจึงตอบรับอย่างเกร็งๆ ว่า ‘อื้อ’ และเอี้ยวไหล่ไปทางด้านหลัง แต่อย่าว่าแต่อีอูยอนจะเอาหน้าผากออกไปเลย อีกฝ่ายกลับแนบหน้าผากให้แนบแน่นยิ่งขึ้นและพูดต่อ
“คิดว่าเป็นคนแบบไหนเหรอครับ”
“อะไรเหรอ”
“ถ้ามีคนรัก คิดว่าจะเป็นคนแบบไหนล่ะ”
ช่วงนี้อินซอบฝันอยู่ทุกวัน และผู้ชายคนเดิมก็มักจะปรากฏตัวในความฝันนั้นอยู่เสมอ ตนจำอะไรที่สามารถบ่งบอกถึงอีกฝ่ายไม่ได้เลย แต่สิ่งที่มั่นใจคือเขาเป็นคนที่อ่อนโยนกับตัวเองมาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น อินซอบกลับไม่กล้าพูดว่าฝันแบบนั้นอยู่ เพราะอาย
“เป็นคนที่อ่อนโยน และปกติทั่วไป…”
“อยากคบกับคนที่อ่อนโยนและปกติเหรอครับ”
น้ำเสียงของอีอูยอนที่เอ่ยถามแบบนั้นเย็นชาจนน่ากลัว
“หา? ไม่ใช่ ฉันแค่…”
อินซอบตื่นตระหนก เพราะคิดว่าตัวเองพูดเรื่องที่ไร้จำเป็นออกมา เขารู้สึกเหมือนจะถูกน้องชายหัวเราะเยาะว่าเพ้อฝันอยู่หรือไง
“ไม่มีหรอกครับ”
“…”
“ไม่มีคนรักที่อ่อนโยนและปกติ เพราะงั้นคุณไม่ต้องคิดที่จะหาคนแบบนั้นหรอกครับ”
อินซอบเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า ‘อื้อ’ บรรยากาศภายในรถเย็นลง
“เราไปกันไหมครับ”
อินซอบพยักหน้าให้กับคำถามของอีอูยอนที่เอ่ยทำลายความเงียบ และเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลยตลอดทางกลับบ้าน
อินซอบอาบน้ำและนอนด้วยความรู้สึกเศร้าใจ ในตอนที่คิดว่าการนอนหลับในวันนี้คงล้มเหลวและถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มอีกคนก็ถือหนังสือและเดินเข้ามาในห้อง เขานั่งพิงหัวเตียงอย่างที่เคยทำมาเสมอ จากนั้นก็กางหนังสือออกและเริ่มอ่านประโยคโดยไม่พูดอะไร
…น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน
สุดท้ายวันนั้นอินซอบก็หลับไปด้วยน้ำเสียงของอีอูยอนเหมือนอย่างเคย
***
เสียงกระดิ่งทำให้คนสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่ชะงักไปพร้อมกัน
“…ใครน่ะ”
อินซอบทำแววตาไม่สบายใจเล็กน้อยและเอ่ยถาม เพราะไม่เคยมีใครมาเยี่ยมสักครั้งในขณะที่พักอยู่ที่นี่ อีอูยอนถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้น
“อยู่ตรงนี้นะครับ”
เขาเดินไปโดยไม่ถามว่าใครและเปิดประตูหน้าบ้านออกกว้าง
“โอ๊ะ! เหอะๆๆ หวัดดี”
“อะไรเนี่ย จู่ๆ ก็เปิดประตูออกมา”
ความตื่นตระหนักฉายชัดบนใบหน้าของชายสองคนที่ยืนอยู่ด้านนอกของประตูหน้าบ้าน อินซอบรีบลุกขึ้นและวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้าน
“สวัสดีครับ”
พออินซอบทักทาย หัวหน้าทีมชาและกรรมการผู้จัดการคิมก็ร้องอื้อและทำทีเป็นรู้จัก
“ไม่เจอกันนานเลยนะ สบายดีไหม ฉันไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษใช่ไหม”
“ครับ ใช้ภาษาเกาหลีได้ครับ ขอบคุณนะครับ ผมสบายดีครับ”
หัวหน้าทีมชาถอนหายใจ และรีบจับมืออินซอบด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“มาด้วยเรื่องอะไรเหรอครับ”
อีอูยอนปัดมือของหัวหน้าทีมชาออกและเอ่ยถามอย่างหน้าตาเฉย
“อ๋อ แป๊บนะ มันมีของของฉันอยู่ที่โรงเก็บของตรงนั้นน่ะ พอดีเป็นของสำคัญ ฉันเลยว่าจะมาหาสักหน่อย”
กรรมการผู้จัดการคิมแก้ตัววกไปวนมา ความรำคาญรางๆ ปรากฏบนใบหน้าของอีอูยอน ผู้ชายที่ชอบสอดรู้สอดเห็นสองคนนี้ต้องมาเพื่อดูว่าตนไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีกับอินซอบอย่างแน่นอน
[1] ทงเฮ คือ ชื่อเรียกของทะเลที่อยู่ทางทิศตะวันออก