ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ตอนที่ 1-5
เสียงของอีอูยอนดังขึ้นเหนือศีรษะของอินซอบ ได้ยินดังนั้นอินซอบก็กลั้นหายใจดังเฮือก ไม่รู้อีกฝ่ายเดินลงมาตั้งแต่เมื่อไร
“ทำไมถึงลงไปนั่งแบบนั้นล่ะครับ ไม่สบายตรงไหนเหรอ”
อีอูยอนขมวดคิ้วทันที
“เปล่าครับ ผมไม่ได้ป่วย…แค่ขาอ่อนเฉยๆ น่ะครับ”
“ลุกขึ้นได้ไหมครับ”
อีอูยอนยื่นมือให้ อินซอบนั่งอยู่พักหนึ่ง และรีบจับชายแขนเสื้อของอีอูยอนเพื่อลุกขึ้น หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า “ขอบคุณครับ” ด้วยเสียงเล็กๆ
อีอูยอนมองอินซอบที่ปล่อยมือออกทันทีที่ลุกขึ้นพลางกลั้นยิ้ม
“เสร็จแล้วใช่ไหม ฉันไปนะ”
หัวหน้าทีมชาโบกมือด้วยสีหน้าสบายใจ
“จะไปไหนเหรอครับ”
“หา? ก็เมื่อกี้นายบอกเองนี่ว่าถ้าพาอินซอบมาหานายที่นี่ได้ก่อนจะถ่ายทำเสร็จ นายจะให้ฉันเลิกงานตรงเวลา!”
“การถ่ายทำเสร็จไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว คุณอินซอบมาถึงหลังจากนั้นนะครับ”
“ว่าไงนะ? ถึงอย่างนั้นก็ห่างกันแค่ไม่กี่นาทีเองนะ!”
ใบหน้าของหัวหน้าทีมชาซีดเซียวเหมือนคนที่เดินหลงอยู่ในทะเลทรายอยู่สิบวันแล้วได้รับขวดน้ำมาหนึ่งขวด แต่กลับได้ยินคำพูดว่า “ความจริงแล้วสิ่งที่ใส่อยู่ข้างในไม่ใช่น้ำ แต่เป็นน้ำมันเบนซิน”
“นาย…ทำไม…ถึงทำกับคนเขาแบบนี้”
“ผมทำอะไรเหรอครับ”
อีอูยอนถามกลับด้วยหน้าตาใสซื่อเหมือนไม่รู้จริงๆ
หัวหน้าทีมชากัดฟัน
หัวหน้าทีมชามักพูดติดปากว่า “วันที่ถูกรางวัล ฉันจะเรียกนักข่าวมา และจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของอีอูยอนก่อนจะลาออกจากงานนี้” วันหนึ่งอีอูยอนได้ยินเรื่องนั้นเข้าจึงพูดราวกับตกใจจริงๆ ว่า
‘ว้าว หัวหน้าทีมกล้าหาญสุดๆ ไปเลยนะครับ ที่บอกว่ามีเศษเงินแค่นั้นแล้วจะกล้าวางทั้งชีวิตเป็นเดิมพัน แต่อันที่จริงเพราะกล้าหาญมากถึงขนาดนั้นสินะครับถึงได้รับเศษเงินแค่นี้และทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมมาเรื่อยๆ ฮ่าๆๆ’
คืนวันนั้นหัวหน้าทีมชาเมาหัวราน้ำไปหากรรมการผู้จัดการคิม จากนั้นก็ร้องโวยวายเสียงดังว่า “ผมไม่สามารถรับเศษเงินแค่เล็กน้อยนี้และทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนได้อีกต่อไปแล้ว” สุดท้ายเรื่องราวก็จบลงด้วยการที่กรรมการผู้จัดการคิมตัดสินใจให้เงินโบนัสพิเศษ และพูดคุยกับอีอูยอนในวันรุ่งขึ้น
‘ฉันรู้ว่านายนิสัยเสีย แต่จำเป็นต้องนิสัยเสียขนาดนี้เลยเหรอ’
‘ครับ จำเป็นครับ’
‘…ทำไมอยู่ๆ ถึงทำแบบนั้น ไม่ใช่ว่าหัวหน้าทีมชาไม่เคยพูดแบบนั้นซะหน่อย’
‘คุณอินซอบได้ยินครับ’
‘ได้ยินอะไร’
‘คุณอินซอบบอกว่าได้ยินหัวหน้าทีมบอกว่าจะให้สัมภาษณ์กับนักข่าวและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของผม’
‘ได้ยินแล้วไงล่ะ ยังไงเขาก็ไม่มีทางถูกรางวัลที่หนึ่ง…’
‘เพราะได้ยินเรื่องที่ไม่มีความเป็นไปได้แบบนั้น เขาถึงนอนไม่หลับเพราะเอาแต่กังวลอยู่ทั้งคืนครับ ต่อไปห้ามพูดเรื่องแบบนี้กับอินซอบนะครับ ต่อให้พูดเล่นก็ตาม เพราะมันทำให้ผมโคตรหงุดหงิด’
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด แม้หัวหน้าทีมชาจะโคตรหงุดหงิด และโคตรอารมณ์เสีย แต่เขาก็พูดออกไปว่า “ขอโทษที่ทำให้คุณอินซอบไม่สบายใจเพราะคำพูดของฉัน”
หลังจากได้รับคำขอโทษ อีอูยอนมองหัวหน้าทีมชาด้วยสีหน้าเรียบเฉย และตอบรับเพียงว่า “ครับ”
“นายจะทำแบบนี้กับฉันไปถึงเมื่อไร…”
“เมื่อไรอะไรเหรอครับ”
อีอูยอนว่าพลางคลี่ยิ้มช้าๆ พลังที่ชวนให้รู้สึกเสียวสันหลังปรากฏในแววตาของเขา หัวหน้าทีมชาจึงปิดปากสนิทและหันหน้าหนีไป
“…งั้นจะกลับโซลเลยเหรอ”
พอหัวหน้าทีมชาถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย อีอูยอนก็ย้อนถามว่า “ใครเหรอครับ”
“จะใครซะอีกล่ะ ก็นายน่ะสิ! นอกจากนายแล้วยังมีคนอื่นที่ฉันจะพากลับโซลอีกเหรอ!”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะ”
อีอูยอนหัวเราะพลางบอกว่า “ผมพูดเล่นอยู่แล้วล่ะครับ” และแย่งถุงสูทจากมือของอินซอบไปถือไว้เอง
“เลิกงานได้เลยครับ”
“…”
หัวหน้าทีมชาจ้องอีอูยอนโดยไม่พูดอะไร
…กำลังใช้สายตาด่าอยู่สินะ
คำด่าที่เหมือนจะได้ยินทั้งๆ ที่ไม่ได้ยินโผล่มาในหัวของอินซอบ
“ไปนะ”
เนื่องจากไม่กล้าพ่นคำด่าออกมาต่อหน้าคนอื่นๆ หัวหน้าทีมชาจึงรีบหันหลังเดินจากไป
“ลาก่อนครับ ขับรถดีๆ นะครับหัวหน้าทีม”
อินซอบรีบเอ่ยลา หัวหน้าทีมชาจึงโบกมือให้ทีสองทีโดยไม่หันกลับมามอง
“คุณอินซอบคิดว่าจะได้กี่ใบเหรอครับ”
อีอูยอนเอาถุงสูทพาดบ่าพลางเอ่ยถาม
“หมายถึงอะไรเหรอครับ”
“ใบสั่งข้อหาขับรถเกินกำหนด”
“…ขอโทษครับ ผมจะหักจากบัญชีของผมเองครับ”
“ไม่ต้องหรอกครับ เป็นเพราะผมต่างหากที่เร่งให้รีบมา ตามผมมาครับ”
แม้อินซอบจะยื่นมือออกไปเพื่อรับถุงสูทจากอีอูยอนมาถือ แต่อีอูยอนก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น
“คุณอูยอน ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักนะครับ”
สตาฟที่เดินผ่านมาเอ่ยทัก
“ขอบคุณครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่าง…พลางเอ่ยตอบ
“วันนี้เท่มากจริงๆ ครับ”
“เพราะพวกคุณ การถ่ายทำวันนี้ถึงเสร็จสิ้นได้ด้วยดี ขอบคุณมากครับ”
ไม่สามารถหาข้อผิดพลาดในท่าทีที่มีมารยาทและอ่อนโยนของเขาได้เลย
แม้จะมีงานเข้ามาน้อยกว่าเมื่อก่อน แต่ถ้าทำได้ดีขนาดนี้ ชื่อเสียงที่ดีของเขาจะต้องกลับมาเหมือนเดิมอย่างแน่นอน…เราคอยช่วยในสิ่งที่สามารถจะช่วยได้ให้ได้มากที่สุดจนกว่าจะถึงตอนนั้นดีกว่า
อินซอบเดินตามหลังอีอูยอนพร้อมให้สัญญากับตัวเองอย่างหนักแน่น
“ผู้กำกับ จะกลับแล้วเหรอครับ”
อีอูยอนพูดกับผู้กำกับที่เดินมาทางนี้อย่างสนิทสนม
“อ้อ คุณอูยอน กำลังไปน่ะ”
“ครับ งั้นผมรบกวนเรื่องที่พูดไปเมื่อสักครู่ด้วยนะครับ”
“โอ๊ย เรื่องแค่นั้นเอง ไม่ต้องห่วง ฉันบอกไปหมดแล้ว”
“ขอบคุณครับ งั้นกลับถึงโซลแล้วผมจะติดต่อไปนะครับ”
“ได้ ไว้คุยกันนะ”
ผู้กำกับที่ไว้หนวดไว้เคราตบบ่าอีอูยอนและเดินจากไป อินซอบรอจนพวกเขาคุยกันเสร็จและค่อยๆ เอ่ยถาม
“รบกวนเรื่องอะไรเหรอครับ”
“อ๋อ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ ทางนี้ครับ”
อีอูยอนเดินไปตามซอยและบอกทางอินซอบ
“จะไปที่ไหนเหรอครับ”
“ที่ดีๆ ครับ ผมมีเรื่องจะบอกด้วย”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“ไว้ถึงที่ดีๆ นั้นก่อนนะครับ”
อีอูยอนยิ้มร่า เหมือนจะดูขี้เล่นอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นในเวลาแบบนี้เขาจะไม่ทำลายความตั้งใจของตัวเองลงง่ายๆ อินซอบพยักหน้าและเดินตามไปเงียบๆ
“เหนื่อยไหมครับ”
เดินมาได้ประมาณสิบนาทีแล้วหรือเปล่านะ อีอูยอนหันกลับไปมองพลางเอ่ยถาม อินซอบเช็ดเหงื่อที่เกาะหน้าผากและตอบไปตามตรงว่า “นิดหน่อยครับ”
“ขี่หลังไหมครับ”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร”
“งั้นมือ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“เพราะผมเหนื่อยต่างหากล่ะ ถึงได้ขอจับมือ”
อีอูยอนที่เหงื่อไม่ไหลสักหยด และไม่ได้หอบเลยสักครั้งยื่นมือออกมาอย่างไร้ยางอาย พอเห็นอินซอบหันไปมองรอบๆ อีอูยอนก็ยิ้มจนตาหยี
“ไม่มีหรอกครับ ทีมงานที่ถ่ายทำเก็บของย้ายไปหมดแล้ว และไม่มีใครเข้ามาตรงนี้ได้หรอกครับ เพราะนี่เป็นที่ดินส่วนบุคคล”
อินซอบหันไปมองรอบๆ อีกครั้งก่อนจะค่อยๆ จับมือ อีอูยอนประสานนิ้วและกระชับมือให้มั่น จากนั้นก็เริ่มเดินต่ออย่างช้าๆ
อีอูยอนแหวกแมกไม้ให้อินซอบสามารถเดินได้อย่างสบายพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“เมื่อก่อนตอนที่เห็นคนเดินจับมือกันผมไม่เคยเข้าใจเลยครับว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้นด้วย เพราะมันทั้งร้อนแล้วก็น่ารำคาญ”
“…ครับ”
“ผมเคยคิดว่าถ้าเป็นเพราะสัมผัสแล้วรู้สึกดี งั้นก็ลูบไอ้นั่นหรือหน้าอกก็ได้นี่ คุณว่าอย่างนั้นไหมครับ”
“แต่ความคิดทั่วไปในสังคมเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้…”
อีอูยอนหัวเราะให้กับคำตอบที่จริงจังของอินซอบและตอบกลับ
“ยังไงก็ตาม ผมก็ยังสงสัยว่าการจับมือจะมีความหมายอะไรอยู่ดีครับ แล้วมันก็รุ่มร่ามด้วย”
พออินซอบประเมินสถานการณ์ได้และกำลังจะดึงมือออก อีอูยอนก็จับมือของอินซอบให้แน่นกว่าเดิม
“ทำไมถึงดึงมือออกอย่างนั้นล่ะครับ”
“เอ่อ คือ…”
“ไม่อยากจับมือผมเหรอครับ เพราะรุ่มร่ามและน่ารำคาญเหรอ? หรือกำลังคิดว่าผมเป็นบ้าอะไร?”
“ปะ เปล่าครับ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิดเดียว”
“ถ้าไม่อยากจับมือ เราจับส่วนที่ไม่ถูกไม่ควรตามความคิดทั่วไปในสังคมไปก็ได้นะ”
“…มือก็ดีแล้วครับ”
อินซอบจับมือของอีอูยอนแน่นและพูดเสริมเบาๆ อีอูยอนไม่สามารถเลิกแกล้งได้เลย เพราะอีกฝ่ายจริงจังและมีปฏิกิริยากับการล้อเล่นทุกครั้ง เขาหัวเราะในใจและช่วยจับกิ่งไม้ให้
“เดินมองข้างหน้าดีๆ นะครับ จะได้ไม่ล้ม”
“เข้าใจแล้วครับ
ต้องเดินไปอีกแค่ไหนนะ ขณะที่กำลังคิดแบบนั้น อีอูยอนที่เดินอยู่ข้างหน้าก็พูดว่าถึงแล้วครับพร้อมกับหลบไปด้านข้าง การมองเห็นของเขาถูกเปิดในชั่วพริบตา อินซอบพ่นลมหายใจพลางเงยหน้า
“ว้าว…”
เสียงอุทานหลุดออกมาจากปากเล็กๆ ของอินซอบ
ทะเลสาบที่งดงาม ดอกไม้และต้นหญ้าที่เจริญงอกงามโดยไม่ถูกมนุษย์แตะต้อง และต้นอ้อที่โบกไปมา ทิวทัศน์ตรงหน้าเหมือนกับภาพวาดที่งดงามที่ผู้มีฝีมือตวัดปลายพู่กันอย่างไม่ใส่ใจก่อนตาย
“ชอบไหมครับ”
อินซอบพยักหน้าพร้อมกับอ้าปากค้างเล็กน้อย ดวงตากลมโตของเขาเป็นประกาย
“นี่เป็นที่ส่วนตัวของญาติผู้กำกับ ผู้กำกับบอกว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยเปิดให้ใครเข้ามาเลย เพราะเป็นคนแก่ที่จู้จี้ แต่โชคดี…“
“…?”
เขากลืนคำพูดที่ผู้กำกับบอกว่าสามารถถ่ายทำได้เพราะเจ้าของตายไปเมื่อไม่นานมานี้ และตัวเองได้ขอผู้กำกับเข้ามาที่นี่ลงไป
“โชคดีที่ได้รับอนุญาตน่ะครับ”
อีอูยอนอธิบายความโชคดีที่ทำให้พวกเขาได้ชื่นชมวิวทิวทัศน์นี้อย่างคลุมเครือแทน
“สวยมากจริงๆ ครับ”
…เพื่อที่จะทำให้อินซอบสบายใจและมีความสุขได้
“ทะเลสาบใสมากเลยครับ ใสจนมองเห็นก้นทะเลสาบเลย แถมยังสวยมากๆ เพราะสะท้อนภาพของก้อนเมฆด้วย ส่วนดอกไม้ก็บานเหมือนกันเป็นภาพวาดเลยนะครับ แล้วต้นไม้…”
อินซอบที่ตื่นเต้นเหมือนเป็นเด็กเล็กๆ ชี้ทิวทัศน์ที่งดงามพลางหันกลับมามองคนรัก อีอูยอนที่ไม่เคยละสายตาไปจากอินซอบเลยแม้แต่วินาทีเดียวตอบรับว่า “ใช่ครับ” และยิ้มอย่างเชื่องช้า
แล้วอินซอบก็ได้รู้ว่าทำไมอีอูยอนถึงเรียกตนมาถึงคังวอนโด และพามายังที่แห่งนี้
“ชอบไหมครับ”
อีอูยอนเอ่ยถาม เขาไม่สนใจวิวทิวทัศน์ที่งดงามเลยสักนิด ถึงขั้นที่พูดได้ว่าต่อให้ไปสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่ไหนในโลก เขาก็มองเห็นเหมือนกันหมด
“คุณเคยบอกว่าชอบที่แบบนี้นี่”
พอเห็นอินซอบไม่ตอบ อีอูยอนก็พูดราวกับมั่นใจ อินซอบหน้าแดงและพยักหน้าเล็กน้อย
“…ชอบครับ”
อินซอบชอบคนรักที่ยอมวุ่นวาย และอยากให้ตัวเขาได้เห็นในสิ่งที่ชอบทั้งๆ ที่ไม่มีความสนใจในสิ่งนั้นเลยสักนิดจากใจ
“โล่งอกไปทีนะครับที่ชอบ”
อีอูยอนจูบมือของอินซอบที่ประสานกันไว้เบาๆ พลางพึมพำ
“ผมถ่ายนิตยสารอยู่ที่นี่แค่ไม่กี่คัท แต่เพราะนึกถึงคุณอินซอบ ผมเลยเรียกมาน่ะครับ”
“ขอบคุณครับ”
“แล้วผมก็อยากให้ของขวัญด้วยครับ”
“ของขวัญอะไรเหรอครับ”
อีอูยอนมองคนรักที่น่ารักมากของตนอย่างใจลอย ลมได้พัดผ่านคนทั้งคู่ไป อีอูยอนจึงค่อยๆ จัดผมที่ยุ่งเหยิงของอินซอบให้เข้าที่
“รู้ไหมครับว่าวันนี้เป็นวันอะไร”
“วันนี้เหรอครับ”
อินซอบสร้างตารางงานขึ้นมาในหัวและพยายามนึก วันนี้ไม่ใช่วันเกิดของพวกเขา ไม่ใช่วันพิเศษของเกาหลี และไม่ใช่ช่วงเทศกาลด้วย…วันอะไรกันนะ
พอเห็นอินซอบเอาแต่กะพริบตาเงียบๆ อีอูยอนก็หัวเราะและหันหน้าไปทางริมทะเลสาบ
“เป็นวันที่คุณอินซอบกลับจากอเมริกามาที่เกาหลีอีกครั้งครับ”
“อ๋อ…ขอโทษครับ ผมต้องจำไว้บ้างแล้ว…”
อีอูยอนไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับวันครบรอบ ดังนั้นอินซอบจึงรู้สึกผิดจากใจที่ตนลืมวันสำคัญอยู่คนเดียว
“ผมเองก็เพิ่งรู้ครับว่าเป็นวันนี้”
อีอูยอนหยิบสมุดตารางงานที่เสียบไว้ข้างๆ เบาะรถตู้ขึ้นมาดูอย่างไม่คิดอะไรในระหว่างทางไปกองถ่าย มีตัวเลขเขียนอยู่ในสมุดตารางงานที่ใช้มาหลายปีจนเก่าอย่างอัดแน่น
การนับถอยหลัง
พอเปิดสมุดไปทีละหน้าละเห็นตัวเลขที่เดินทางมาจนถึงตัวสุดท้าย ก็มีปากกาสีแดงวงวันที่วันนี้ไว้พร้อมกับเขียนว่า ‘เดินทางกลับประเทศ’ ต่อให้ไม่หาก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังรอการกลับมาของใครอยู่
“ตอนนั้นผมรอทุกวันเลย”
หลังจากได้รับการติดต่อจากอินซอบว่าจะกลับมาที่เกาหลีอีกครั้ง อีอูยอนก็เริ่มนับถอยหลัง และเขาก็ได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่ห่างไกลกับการรอคอยมากขนาดไหน
การบอกว่าจะกลับมาในสักวันกับการบอกว่าจะกลับมาเมื่อไรนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว ตอนแรกเขาก็ดีใจ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปภายในใจของเขากลับยิ่งร้อนรน
ถ้าจู่ๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วการกลับประเทศถูกเลื่อนออกไปจะทำยังไง แล้วถ้าครอบครัวห้ามไม่ให้มาล่ะ…แน่นอนว่าเขาต้องเลือกครอบครัวมากกว่าเราที่ทำไม่ดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาจะเปลี่ยนใจหรือว่ามีคนอื่นแล้วหรือเปล่า…แม่ง
อีอูยอนขับรถไปที่สนามบินทุกคืนตั้งแต่สิบวันก่อนที่อินซอบจะกลับประเทศ และมีวันที่เขาไปนั่งมองเครื่องบินตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งดวงอาทิตย์ตกด้วย เขาทนอยู่อย่างนั้นหลายวัน และจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นระยะเวลากี่วันกันแน่ เพราะเขาแทบจะไม่ได้นอนเลย เขาตะคอกกรรมการผู้จัดการคิมที่ใส่ตารางงานไว้ในวันนั้น และรออยู่ที่สนามบินตั้งแต่เช้า
เขาอ่านข้อความของอินซอบที่บอกว่าออกเดินทางแล้วซ้ำแล้วซ้ำอีกในขณะที่มองป้ายไฟของสนามบิน เขาคงไม่เปลี่ยนใจกลางคันและกลับไปอีกครั้งหรอกใช่ไหม และเขาก็ทำได้แค่กดความกระวนกระวายใจที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงไว้ เขารออินซอบอยู่แบบนั้น เมื่อประตูเปิดออก อินซอบก็ลากกระเป๋าเดินทางที่ขนาดพอๆ กับเจ้าตัวเข้ามา เขาคิดว่าจะเรียกชื่อดีไหม แล้วก็รู้สึกว่าชอบภาพที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาตัวเองมากจึงได้แต่ปิดปากสนิท พวกเขาสบตากัน ในวินาทีที่เห็นอินซอบยิ้มกว้างและเดินเข้ามาหาตัวเอง เขาแทบจะหายใจไม่ออก