ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ตอนที่ 3-1
มีบางวันที่จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ อาจะเป็นวันที่พอออกมาข้างนอกแล้ว ท้องฟ้าที่เงยหน้าขึ้นมองปลอดโปร่ง วันที่พอขึ้นรถมาแล้วเพลงที่ชอบดังออกมาจากวิทยุ หรือวันที่ไม่ติดไฟแดงเลยสักครั้งบนท้องถนน
อินซอบที่มาถึงสถานที่นัดหมายเร็วกว่าที่คิดเพราะรถไม่ติดจอดรถในที่ที่ปราศจากผู้คน และส่งข้อความหาอีอูยอน
[ผมถึงโรงพยาบาลแล้วครับ คุณขึ้นเครื่องหรือยังครับ]
โทรศัพท์ถูกต่อสายมาหาทันที อินซอบรีบรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล”
[…]
“ฮัลโหล? ชเวอินซอบครับ”
พอไม่ได้ยินเสียงอะไรจากปลายสาย อินซอบก็มองหน้าจอโทรศัพท์มือถือครั้งหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
[ผมฟังอยู่ครับ คุณชเวอินซอบ]
เสียงทุ้มต่ำกระแทกเข้าหู แม้จะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่อินซอบก็ยังหน้าแดงจนต้องใช้หลังมือลูบแก้ม
“พะ เพราะคุณไม่พูดอะไร ผมเลยนึกว่าคุณไม่ได้ยิน”
[ผมกำลังคิดอยู่ครับ]
“คิดอะไรเหรอครับ”
[คิดว่าจะโกรธตอนไหนดี]
น้ำเสียงของอีกฝ่ายมีความขบขั้นผสมกับความปั้นปึ่ง อินซอบจึงเอ่ยขอโทษด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “ขอโทษครับ”
วันนี้เป็นวันตรวจสุขภาพตามกำหนดของอินซอบ และอีอูยอนต้องไปฮ่องกงเพราะมีงานเทศกาลภาพยนตร์ อีอูยอนที่มักจะไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเสมอตั้งใจจะยกเลิกตารางงานเทศกาลภาพยนตร์อยู่แล้ว แต่อินซอบกลับส่ายหน้า
‘ผมไปเองได้ครับ’
‘ใครว่าอะไรเหรอครับ ก็ต้องไปคนเดียวได้อยู่แล้วสิ’
‘…ผมจะไปคนเดียวครับ’
ถ้าต้องการนัดหมายอาจารย์หมอที่ดูแลอินซอบใหม่ก็มีคนไข้ยืนต่อคิวถึงขั้นที่ต้องรอไปอีกหนึ่งปี และการเปลี่ยนแปลงนัดหมายก็เป็นการงมเข็มในมหาสมุทรอย่างแน่นอน
‘คุณสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าจะเชื่อฟังผมตอนป่วย’
‘ผมไม่ได้ป่วยนะครับ เป็นแค่การตรวจร่างกายตามกำหนดต่างหาก’
‘…’
อีอูยอนที่กำลังกินข้าวอยู่ชะงักและมองอินซอบ นี่เป็นหลักฐานว่าเขาไม่พอใจ
‘ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว คุณก็รู้นี่ครับ’
‘ไม่รู้’
อีอูยอนกินข้าวพลางตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย อินซอบไม่ชอบให้อีอูยอนโกรธ เพราะเขาทั้งรู้สึกไม่สบายใจและกลัว แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกครั้ง เขาเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าอีอูยอนยกเลิกการถ่ายทำเพราะอาการหวัดของเขา
‘มันเป็นงานสำคัญนะครับ’
อีอูยอนกลั้นหัวเราะและเช็ดปากด้วยผ้าเช็ดปาก
‘คงจะสำคัญสำหรับคุณสินะ’
อีอูยอนลุกขึ้น อินซอบลุกตามหลังอีกฝ่าย แม้แต่ตอนที่เก็บถ้วยชามที่กินข้าว อีอูยอนก็ไม่พูดอะไรเลย พออาบน้ำและนอนลงบนเตียง อีอูยอนก็เริ่มอ่านหนังสือ
‘…โกรธเหรอครับ’
ตอนที่รวบรวมความกล้าได้อย่างยากลำบากและเอ่ยถามออกไปแบบนั้น อีอูยอนก็ตอบรับว่า “อืม” อย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว
‘อย่าโกรธเลยครับ การเข้ารับการตรวจมันไม่มีอะไรเลยจริงๆ เพราะได้รับการตรวจเป็นประจำ…’
อินซอบไม่สามารถพูดต่อได้ อีอูยอนจับแขนของอินซอบและทำให้นอนลงบนเตียงก่อนจะจูบ
สองวันให้หลัง อีอูยอนก็จัดกระเป๋าโดยไม่พูดอะไรเป็นพิเศษ แต่อินซอบก็รู้ดีว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายยังไม่ดีขึ้นเลย
[ผมตั้งใจจะโกรธ แต่พอได้ยินเสียง ผมก็โกรธไม่ลง]
“…อย่าโกรธเลยครับ”
[ก็แค่ดื้ออย่างเปล่าประโยชน์แท้ๆ]
อีอูยอนพึมพำราวเสียใจ
“เข้ารับการตรวจแล้วผมจะแจ้งผลทันทีเลยครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผลต้องดีแน่นอนครับ”
อินซอบพูดอย่างเป็นผู้ใหญ่และเด็ดขาด ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจบ่อยขนาดนี้ แต่ด้วยการยืนกรานที่หนักแน่นของอีอูยอน เขาถึงมาโรงพยาบาลสองเดือนต่อครั้ง
[ต้องดีอยู่แล้วล่ะ ก็คุณทิ้งผมไปคนเดียวนี่]
อีอูยอนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกระทบกระเทียบ อินซอบมักจะหัวเราะทุกครั้งที่อีกฝ่ายทำตัวเหมือนเด็กที่ดื้อรั้น
“เดินทางดีๆ นะครับ”
[ครับ ไว้ผมจะติดต่อไปใหม่นะครับ]
โทรศัพท์ถูกวางไปแล้ว พอลงมาจากรถ ท้องฟ้าที่สดใสเป็นพิเศษก็ทำให้ตาของเขาเจ็บจนต้องนิ่วหน้าไปครู่หนึ่ง
มีข้อความถูกส่งเข้ามา
[ผมขึ้นเครื่องบินแล้ว]
เขานึกถึงอีอูยอนที่ออกจากประตูหน้าบ้านและกลัวเพราะไม่ได้นั่งเครื่องบินมานาน แม้จะรู้ว่าความจริงแล้วเป็นการพูดไร้สาระที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่อินซอบก็ยังเป็นห่วงอีกฝ่ายอยู่นิดหน่อย ความจริงก่อนมาโรงพยาบาลเขาได้หาเปอร์เซ็นต์ที่เครื่องบินจะตกไว้ด้วย
[ไม่ต้องกังวลครับ! เวลาที่ใช้ในการบินไม่ได้นานขนาดนั้น เดี๋ยวก็ได้ลงจากเครื่องแล้วครับ]
ผ่านไปไม่นานก็มีข้อความตอบกลับกลับมา
[งั้นถึงจะกลัว ผมก็จะอดทนไว้ครับ ^^]
พอได้อ่านข้อความที่เต็มไปด้วยความซุกซน เขาก็นึกถึงอีอูยอนที่จูบตนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยและกัดริมฝีปากล่างนานเป็นพิเศษ แค่คิดถึงอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกจั๊กจี้ที่อกข้างหนึ่งแล้ว อินซอบยิ้มน้อยๆ พลางขยับเดิน
***
“ครับ?”
“ผมบอกว่า ตัวเลข CRP สูงครับ ตัวเลขของการอักเสบน่ะ”
อินซอบกะพริบตาที่กลมโต เนื่องจากงานสัมมนาที่กะทันหันของคุณหมอเจ้าของไข้ หมอท่านอื่นจึงทำการตรวจแทน หมอหนุ่มที่เจอเป็นครั้งแรกวันนี้พูดต่ออย่างรวดเร็ว
“ไม่ได้ดูแลสุขภาพเหรอครับ ผลโดยรวมไม่ดีทั้งหมดเลย ความดันก็ด้วย”
“เอ่อ…แต่ตอนวัดที่บ้านความดันปกตินะ”
อินซอบวัดความดันทุกเช้า เพราะหลังจากอีอูยอนได้ยินว่าโรคหัวใจสัมพันธ์กับความดันมาก เขาก็เอาเครื่องวัดความดันมาตั้งไว้ที่บ้าน
“ก็ต้องต่างจากการวัดที่บ้านอยู่แล้วสิครับ เพราะการวัดที่โรงพยาบาลน่ะเหมาะสมกว่า คุณไม่ได้ออกกำลังกายใช่ไหม”
“…ออกบ้างครับ”
แม้จะไม่ใช่การออกกำลังที่รุนแรง แต่เขาก็ออกไปเดินเล่นกับอีอูยอนเป็นบางครั้ง
“แล้วคุณทานอาหารแบบไหนครับ รู้ใช่ไหมครับว่าห้ามกินทุกอย่างตามที่อยากกิน”
“ครับ รู้ครับ
“เฮ้อ ถ้ารู้แล้วทำอะไรอยู่ล่ะ”
หมอเปิดชาร์ตด้วยความหงุดหงิดพลางพึมพำคนเดียว อินซอบทำตัวไม่ถูกและกำชายเสื้อไว้ เพราะรู้สึกเหมือนเป็นคนที่ทำผิด
“ถ้าตัวเลขของการอักเสบอยู่ในระดับนี้ เฮ้อ ก็หมายความว่าไม่ได้ดูแลตัวเองตั้งแต่แรก ตัวเลขของระดับคอเลสเตอรอลก็เหมือนกัน”
“ตะ ตอนที่มาคราวก่อน อาจารย์หมอบอกว่าทุกอย่างเป็นปกติ…”
“ตอนนั้นก็คงจะเป็นแบบนั้นล่ะครับ”
เขาไม่ได้ใช้ชีวิตที่แตกต่างออกไปในเลยระหว่างนั้น
“ตัวเลขอยู่ที่ประมาณเท่าไรเหรอครับ”
หมอหัวเราะให้กับคำถามของอินซอบ
“ถ้าบอกแล้วจะรู้เหรอครับ ถ้าหมอบอกว่าเป็นแบบนั้นก็ต้องเป็นแบบนั้นสิ เพราะไปลองค้นหาเองทางอินเทอร์เน็ต คนไข้หลายคนเลยถามเพราะนึกว่าตัวเองเป็นหมอ ห้ามเชื่ออินเทอร์เน็ตนะครับ ถ้าเป็นแบบนั้นจะมาโรงพยาบาลทำไม”
“…ขอโทษครับ”
อินซอบรีบขอโทษเพราะการตำหนิซึ่งๆ หน้าที่หยาบคาย
“ถ้าผลออกมาหลังจากที่ตรวจอีกครั้ง เราค่อยมาตกลงกันนะครับว่าจะต้องเข้าโรงพยาบาลหรือไม่”
“เข้าโรงพยาบาลเหรอครับ”
อินซอบถามกลับด้วยความตกใจ
“ถ้าตัวเลขอยู่ประมาณนี้ ในกรณีอย่างคนไข้ก็ไม่แปลกเลยนะครับที่จะตายตอนไหนก็ได้ คนไข้ก็รู้อาการตัวเองดีนี่ครับ”
“…ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบตอบอย่างอ่อนแรงและลุกขึ้น แม้จะออกมาจากห้องตรวจแล้ว เขาก็ยังนั่งเหม่ออยู่พักหนึ่ง และถามพยาบาลว่าต้องไปตรวจซ้ำที่ไหน
“วันนี้ไม่ได้ค่ะ ต้องนัดหมายการตรวจรักษาอาการอีกครั้งนะคะ จะนัดเลยไหมคะ”
พยายามยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยถาม
“…ไม่ครับ”
“คะ?”
“ขอโทษครับ เดี๋ยวผมค่อยนัดใหม่ครับ”
อินซอบพูดว่า “ลาแล้วนะครับ” และเดินออกไปตามทางเดิน หลังจากขึ้นมาบนรถที่จอดไว้ เขาก็นั่งนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง และดวงอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าโดยไม่ทันได้รู้ในตอนที่เขาขับรถกลับมาถึงบ้าน
***
มันผิดตั้งแต่ตรงไหนกันนะ
อินซอบครุ่นคิดในสภาพที่เอาผ้าห่มคลุมหัว เพราะเขาดื้อจะไปโรงพยาบาลคนเดียวเลยถูกลงโทษเหรอ
เพราะเขาอวดดีว่าไม่เป็นไรทั้งๆ ที่สุขภาพไม่แข็งแรง…แต่หมอบอกว่าถ้าดูแลตัวเองดี เขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานเหมือนคนปกติ
ทำยังไงดี ต้องผ่าตัดเหรอ. …แต่ถ้าผ่าตัดแล้วเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ มือที่กำผ้าห่มอยู่สั่นเทา
เขากลัว และรู้สึกเหมือนชีวิตที่สงบสุขพลิกผันภายในวันเดียว และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ…
‘คุณอินซอบ’
เขานึกถึงเสียงของชายหนุ่มที่เรียกชื่อตนในความมืด น้ำตาที่กลั้นไว้อย่างยากลำบากไหลพรากๆ เขารู้ว่าอีอูยอนมีปฏิกิริยาที่แทบจะเรียกได้ว่าการย้ำคิดย้ำทำกับเรื่องสุขภาพของเขา แม้แต่อาการหวัดธรรมดาอีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยไปเฉยๆ เขาต้องได้รับการตรวจทุกอย่างที่สามารถทำได้และได้รับการยืนยันว่าไม่เป็นไรเสียก่อนอีกฝ่ายถึงจะวางใจ แต่เขากลับไม่รำคาญ หรือเบื่อหน่ายขั้นตอนต่างๆ เหล่านั้นเลย เขาเพียงแค่รู้สึกผิด หากเขาแข็งแรง อีกฝ่ายคงไม่ต้องมากังวลแบบนั้น
อินซอบพยายามทำให้ความกังวลใจของอีอูยอนลดน้อยลง แม้จะเป็นเพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม เขาทั้งออกกำลังกายกับอีกฝ่าย และเข้ารับการตรวจทั้งหมด หากอีกฝ่ายต้องการ รวมทั้งอ่านหนังสือจิตวิทยาที่เกี่ยวกับความกังวลใจและเข้ารับการปรึกษาด้วย
เขาอยากทำให้อีกฝ่ายเชื่อในตัวเอง และอยากทำให้ตัวเองเชื่อว่าตัวเองจะไม่เป็นไรด้วย เหตุผลที่แนะนำให้เดินทางไปฮ่องกงในครั้งนี้ก็เหมือนกัน เขาอยากจะให้ทำอีกฝ่ายยอมรับว่านี่เป็นกิจวัตรประจำวันที่ปกติและไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
ไม่ใช่แค่การแกล้งโกหกว่าไม่ต้องเป็นห่วง หรือโกหกว่าตัวเองแข็งแรงดี แต่เป็นเพราะตัวเขาเองไม่เป็นอะไรจริงๆ
แต่…
เขาใช้หลังมือปิดดวงตาที่บูดบวม อีอูยอนไม่สามารถหลับลงได้หากตนป่วย
ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นไข้หวัดใหญ่ และนอนซมอยู่หลายวัน แม้จะไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจและฉีดยาแล้ว แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น เคราะห์ซ้ำกรรมซ้ำเขายังเป็นคออักเสบและอุณหภูมิก็ขึ้นไปถึง 40 องศาเซลเซียสเขาเจ็บราวกับคอถูกฉีกจนไม่สามารถพูดได้อย่างปกติ สุดท้ายตอนเช้ามืดเขาก็ไอและอ้วกเป็นเลือด คอที่บวมฉีกขาดจริงๆ
‘คุณอินซอบ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะครับ ผมจะโทรเรียก 119 คุณช่วย…’
แม้อินซอบจะพยายามบอกว่าตัวเองเป็นแบบนั้นเพราะคอบวมจากพิษไข้ แต่เสียงก็ไม่ยอมออกมาจนเขาไม่สามารถพูดแบบนั้นออกไปได้ ท้ายที่สุดวันนั้นเขาก็ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แม้จะโชคดีที่ไข้ลดลงและได้ออกจากโรงพยาบาลในอีกสองวันให้หลัง แต่อินซอบก็รู้สึกไม่ดีมากๆ
เขาลืมสีหน้าของอีอูยอนที่เห็นเลือดหยดผ่านซอกนิ้วลงมาไม่ได้
…ใบหน้าที่ซีดเผือดเหมือนเด็กที่หวาดกลัว
เขารู้ว่าบางครั้งอีอูยอนที่ตื่นขึ้นมาจะเอาหัวมาแนบกับหน้าอกของเขาและฟังเสียงหัวใจ หลังจากทำแบบนั้นอยู่สักพัก อีกฝ่ายจะถอนหายใจออกมาเบาๆ และหลับตาลง เขายังได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองในระหว่างที่กึ่งหลับกึ่งตื่นด้วย
‘คุณอินซอบ…’
มีทั้งตอนที่เขาตอบ และตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาและหลับตาลง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็พยายามจะตอบอีกฝ่ายให้ได้ บางครั้งเขาก็ยื่นมือออกไปกอดคออีอูยอน ชายหนุ่มที่โอบกอดตนอย่างนุ่มนวลทุกครั้งที่ทำแบบนั้นทั้งน่ารักและน่าสงสาร
ทำยังไงดี…ต้องบอกว่าอะไร…
ความจริงที่ว่าตนอาจจะตายในวันพรุ่งนี้เลยก็ได้เป็นความคิดที่มักจะอยู่ในใจเสมอตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่กลัวเพียงเพราะรู้สึกว่าใกล้ชิดกับความตาย บางทีเขาอาจจะกลัวมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะปกติผู้คนมักใช้ชีวิตในทุกๆ วันราวกับจะใช้ชีวิตอยู่ไปตลอดชีวิต
แต่ความกลัวที่รู้สึกตอนนี้กลับต่างออกไป
‘อินซอบ’
เขานึกถึงผู้ชายที่เรียกชื่อของเขาและยิ้มราวกับเป็นเด็กหนุ่ม ใจของเขาเจ็บราวกับถูกแทงด้วยแก้วคมๆ เขาสัญญากับอีกฝ่ายว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงด้วยกันไปนานๆ และสาบานว่าจะอยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิต
แต่ผลลัพธ์กลับเป็นแบบนี้อย่างนั้นเหรอ…
ถ้าเขาเป็นตัวเอกในเทพนิยายก็คงจะได้เจอกับตอนจบที่บอกว่า “แล้วก็ได้อยู่อย่างมีความสุขตลอดไป” แม้เขาจะไม่ได้ต้องการตอนจบที่มีความสุขอย่างในเทพนิยาย แต่เขาก็แค่อยากมีชีวิตอยู่…อย่างปกติ…เหมือนคนอื่นๆ อินซอบใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าและร้องไห้เสียงดัง ไม่ว่าจะร้องไห้แค่ไหน น้ำตาก็ไม่หยุดไหล
ถ้าตอนเด็กๆ เจ็บป่วยขนาดนั้นไปแล้วก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมีแต่เรา…ไม่สิ ถึงจะไม่ได้มีแต่เราที่ป่วย แต่ถึงอย่างนั้น…แค่ป่วยเหมือนคนปกติก็คงจะดี
ตอนนั้นเอง เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น อินซอบกลั้นหายใจอยู่ในผ้าห่ม เป็นอีอูยอนนั่นเอง
ทำยังไงดี ถ้ารับสายตอนนี้ เราควรจะพูดอะไร…ต้องโดนจับได้ว่าร้องไห้แน่ หรือจะติดต่อไปพรุ่งนี้แล้วบอกว่าหลับอยู่เลยไม่ได้รับดีไหม
ในระหว่างที่อินซอบครุ่นคิด เสียงเรียกเข้าก็หยุดลง เขาโล่งใจได้พักหนึ่ง แล้วเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง อินซอบเช็ดน้ำตาและลุกขึ้น เมื่อคิดถึงนิสัยของอีอูยอนแล้ว อีกฝ่ายจะต้องโทรจนกว่าเขาจะรับแน่นอน
อินซอบปรับเสียงอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย
“ฮัลโหล”
[ทำอะไรอยู่ครับถึงไม่รับโทรศัพท์]
“ขอโทษครับ ผมมัวแต่ให้อาหารจอห์นอยู่น่ะครับ”
อินซอบมองจอห์นที่กำลังนอนอยู่ข้างตัวเองพลางขอโทษในใจว่า ขอโทษนะ
[คุณอินซอบกินข้าวหรือยังครับ]
อินซอบรีบดูเวลา มันเลยสองทุ่มมาเยอะแล้ว แม้หลังกลับจากโรงพยาบาลเขาจะไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด แต่อินซอบก็ตอบอย่างอ้อมแอ้มไปว่า “ครับ”
[กินอะไรเหรอ]
“กินแซนด์วิชครับ”
อินซอบคิดว่าถ้าคุยโทรศัพท์เสร็จจะกินแซนด์วิชที่อยู่ในตู้เย็นและเอ่ยตอบ
[กินแค่นั้น ไม่กินของอย่างอื่นเลยเหรอ]
“…ครับ”
เขาได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย อินซอบรู้สึกกลัวอย่างกะทันหัน