ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 4 บทส่งท้าย 1-6
“นี่ ถ้าถ่ายรูปนั้นไว้แล้วใช้เป็นจุดอ่อนของอีอูยอนจะเป็นยังไง”
“จะเป็นยังไงล่ะครับ ก็จะมีสภาพอย่างคังยองโมน่ะสิ”
“ว่าไงนะ แต่ฉันไม่เคยยุ่งกับยาเสพติดหรือเปล่า”
“ผมหมายความว่าต้องจบชีวิตลงแบบนั้นต่างหากครับ อีอูยอนต้องทำให้คุณเป็นแบบนั้นโดยไม่สนและไม่เลือกวิธีแน่นอน ผมยืนยันได้เลย เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรไร้สาระเลยครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมจิ๊ปากก่อนจะเดินไป หัวหน้าทีมชาจุดบุหรี่และสูบเข้าไปเฮือกหนึ่ง
“รีบมา!”
กรรมการผู้จัดการคิมหันกลับมามองพร้อมกับเร่ง
“รู้แล้วครับ รู้แล้ว ไปแล้วครับ”
เขาพ่นควันบุหรี่ออกมาก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดิน
ตอนที่แสงแดดสีส้มละลายไปกับทะเล ทะเลยามค่ำคืนก็กำลังตื่นขึ้นมา และเป็นวานิลลาสกาย[1] ที่หอมหวานอย่างสมบูรณ์
***
“ถ้าอยู่ต่ออีกสองสามวันก็คงจะดีนะครับ ผมเสียดายมากเลย ไว้มาอีกนะครับ”
อินซอบทำตาเหมือนจะร้องไห้ในไม่ช้าในขณะที่ไปส่ง และเขาก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่คำที่พูดไปอย่างนั้น แต่เป็นความรู้สึกจริงๆ
“เข้าใจแล้ว ฉันจะขโมยบัตรเครดิตของกรรมการผู้จัดการคิมและมาหาใหม่”
“ตอนนั้นผมจะออกไปรับที่สนามบินเลยครับ”
พอเอาสัมภาระขึ้นรถเสร็จ อีอูยอนก็นั่งตรงที่นั่งของคนขับรถ
“ขึ้นมาสิครับ เครื่องบินรออยู่นะ”
คนทั้งคู่นั่งข้างกันตรงเบาะหลัง
“งั้นอินซอบก็รักษาสุขภาพนะ ไว้เจอกันใหม่คราวหน้า”
“พวกคุณก็เดินทางกลับอย่างปลอดภัยนะครับ”
อีอูยอนที่เป็นห่วงขาของอินซอบตัดสินใจที่จะไปสนามบินคนเดียว
“ได้ คุณอินซอบก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ ติดต่อมาด้วย แล้วถ้ามาเกาหลีก็…”
อีอูยอนออกรถโดยที่ไม่ให้โอกาสพูดคำสุดท้ายต่อ
“นี่! ยังร่ำลากันไม่เสร็จเลย!”
หลังจากที่หันหลังกลับไปมองและโบกมือให้ หัวหน้าทีมชาก็มองอีอูยอนเขม็ง
“พอแล้วครับ เป็นห่วงเป็นใยกันขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร”
“พวกเราสนิทกันนะ ไม่รู้เหรอ”
อีอูยอนหัวเราะฮ่าฮ่าพร้อมกับหมุนพวงมาลัยรถ
“มองด้านข้างสิครับ”
เขามองจากหน้าผาลงไปตามถนนเลียบชายหาด นี่เป็นเส้นทางแห่งความตายที่ถ้าเผลอไปก็สามารถเจอกับมังกรของมหาสมุทรแปซิฟิกได้เลย
“…ขับรถตรงๆ ล่ะ”
“ผมทำอะไรเหรอครับ แค่บอกให้ดู เพราะถนนเลียบชายหาดสวยดีเท่านั้นเอง”
อีอูยอนหยิบแว่นกันแดดจากลิ้นชักหน้ารถมาใส่พร้อมกับยิ้มน้อยๆ แม้จะเป็นท่าทางที่งดงามจนแสบตา แต่กลับเป็นเพียงฉากหนึ่งของภาพยนตร์สยองขวัญสำหรับทั้งสองคนเท่านั้น
“ใช้เวลานานแค่ไหน”
“ก็ต้องเหมือนกับตอนที่มาสิครับ ประมาณสามสิบนาที?”
รถวิ่งไปบนถนนที่ขุดเจาะให้ตรง ในขณะที่รถวิ่งไปได้สักพัก กรรมการผู้จัดการคิมก็เอ่ยอย่างกะทันหัน
“ฉันไม่ขายวิลล่าให้หรอกนะ นายไปจัดการเอาเอง”
“ผมยุ่ง”
อีอูยอนเหลือบมองกรรมการผู้จัดการคิมผ่านกระจกมองหลังพร้อมกับยิ้ม
“ยุ่งกะผีน่ะสิ คิดว่าไม่มีใครรู้ว่านายเล่นสนุกอยู่กับอินซอบที่บ้านอย่างเกียจคร้านล่ะสิ เยี่ยมจริงๆ เลยนะ คนหนุ่มที่ไม่ทำอะไรเลยเนี่ย”
“มีกฎหมายบอกว่าต้องทำงานโดยไม่มีเงื่อนไขตอนหนุ่มด้วยเหรอครับ”
“งั้นจะรอให้แก่ก่อนแล้วค่อยทำงานหรือไง เดี๋ยวนายจะอายุมากขึ้นสำหรับการทำงานอยู่ดี ยังไงก็ตาม ฉันจะไม่จัดการเรื่องวิลล่าให้ เพราะฉะนั้นเชิญนายอยู่อย่างยากจนไปตามใจชอบเลย”
หัวหน้าทีมชารู้ว่าจริงๆ แล้วกรรมการผู้จัดการคิมแค่พูดกระทบกระเทียบไปเรื่อย เพราะเขาหวังว่าอีอูยอนจะกลับมาที่เกาหลีในสักวัน
“ดีเลย ถ้าเงินหมดนายจะทำยังไงล่ะ ก็ต้องขายรถ ขายบ้าน แล้วสุดท้ายก็ต้องทำงานน่ะสิ หึ”
ให้ตาย กรรมการผู้จัดการของผมทำตัวเป็นเด็กๆ ขนาดนี้เลยเหรอครับ
หัวหน้าทีมชาเดาะลิ้นอยู่ในใจก่อนจะหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง ถนนเลียบชายหาดที่เหมือนกับภาพวาดทอดยาวไปเรื่อยๆ ส่วนดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่งก็ประดับตกแต่งหน้าผาราวกับเป็นคลื่นที่สาดกระเซ็น
“ตรงนี้สวยมากเลย”
คำพูดที่หัวหน้าทีมชาหลุดพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัวทำให้อีอูยอนตอบรับว่า “ใช่ไหมล่ะครับ”
“อะไรกันเนี่ย นายรู้จักพูดคำพูดพวกนั้นได้ยังไง”
เขาเป็นคนที่ไม่มีทางที่จะรู้สึกเหมือนกันในการพูดคุยเรื่องสภาพอากาศทั่วไปแน่ๆ อีอูยอนยิ้มโดยไม่พูดอะไรเป็นพิเศษพร้อมกับหมุนพวงมาลัยรถ และพวกเขาก็มาถึงสนามบินโดยที่รถยังแล่นได้ไม่ถึงสามสิบนาทีด้วยซ้ำ
“จะไปไหน เทอมินอลอยู่ทางโน้นนะ”
หัวหน้าทีมชาชี้ไปยังทิศตรงข้ามกับที่อีอูยอนขับรถไป
“ผมไปถูกทางแล้วครับ อย่ากังวลเลย”
หัวหน้าทีมชาใช้อินเทอร์เน็ตเช็กหมายเลขของเทอมินอลที่หาไว้แล้วอีกครั้ง และขมวดคิ้ว
“ไม่สิ ต้องจอดตรงโน้นนะ”
อีอูยอนจอดรถโดยที่ไม่ตอบอะไร ในขณะที่เอาสัมภาระลง กรรมการผู้จัดการคิมก็บ่นอู้อี้ว่า “ต้องเดินไปอีกสักพักเลยนะเพราะความดันดุรังของหมอนั่น”
“ขอตั๋วใบหนึ่งครับ เพราะตั้งแต่ตรงนี้ไปคุณสองคนต้องไปเองแล้ว”
ไม่รู้ทำไมอีอูยอนถึงออกตัวว่า “ผมจะทำให้เอง” ในตอนที่กำลังจะจองตั๋วเครื่องบิน แม้อะไรบางอย่างจะทำให้หัวหน้าทีมชารู้สึกข้องใจ แต่สุดท้ายอีอูยอนก็เป็นฝ่ายจองตั๋วเครื่องบินให้ เพราะความปรารถนาอันแรงกล้าของกรรมการผู้จัดการคิมที่อยากจะรีดไถเงินของอีอูยอน แม้จะเป็นเงินแค่ไม่กี่บาทก็ตาม
“ตามมาได้ครับ”
อีอูยอนเดินไปข้างหน้า คนทั้งคู่ลากกระเป๋าทางเดินตามอีกฝ่ายไป ตอนที่เดินเข้ามาในเลาจ์ที่ไม่ใช่เทอมินอล ความคิดที่ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติก็ก่อตัวขึ้นทีละน้อย
“อีอูยอน เหมือนจะไม่ใช่ที่นี่นะ”
“ถูกแล้วนี่ครับ?”
ที่นี่ไม่มีทั้งคนที่มีสัมภาระติดตัว และคนที่ยืนต่อแถวสักคน กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชารู้สึกกังวลใจขึ้นมากะทันหัน
“นายตั้งใจจะขายพวกเราไปที่ไหนเนี่ย!”
อีอูยอนหันกลับมามองด้วยสีหน้าที่มีความรำคาญจากใจจริง
“จะขายได้เหรอครับ”
“…อย่าขายเลย”
คนที่ดูเหมือนจะเป็นพนักงานของสายการบินเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าอีอูยอนและก้มหัวให้ อีอูยอนทำไม้ทำมือใส่คนทั้งสองคนพลางเอ่ย
“ตามคนคนนั้นไปได้เลยครับ”
“ไปไหน”
“ก็ไปขึ้นเครื่องน่ะสิครับ ผมจัดการขั้นตอนต่างๆ เรียบร้อยแล้วครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมมองไปรอบๆ อีกครั้ง แล้วก็หรี่ตาลง
“สายการบินชื่ออะไร”
“ไม่รู้สิครับ มีชื่อหรือเปล่านะ ผมก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกับเพราะเป็นเครื่องที่ที่บ้านของผมเช่าไว้ใช้ ให้ลองถามดูไหมครับ”
“…เช่าเหรอ เช่าอะไร เครื่องบินเหรอ”
อีอูยอนผงกหัวพลางเอ่ยตอบ
“พอดีที่บ้านของผมมีเครื่องบินที่สามารถใช้ได้อยู่น่ะครับ ผมก็เลยบอกไว้ ตอนไปก็ต้องไปอย่างสบายสิครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมโมโหจนทนไม่ไหว เพราะใบหน้าที่พูดแบบนั้นดูรวยอย่างน่าหยาบคาย
“ไหนบอกว่าไม่มีเงินไง! บอกว่าอดอยาก! เพราะอย่างนั้นก็เลยขอให้ขายบ้านไง!”
อีอูยอนเอียงคอ
“ผมขอให้ขายเพราะมีเรื่องที่จะใช้ แล้วผมบอกตอนไหนเหรอครับว่าไม่มีเงิน”
“บอกว่าเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวนี่!”
อีอูยอนร้องอ้อและยิ้มน้อยๆ
“ไม่น่าจะใช่มั้งครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมกุมต้นคอ หัวหน้าทีมชาจึงรีบบีบนวดต้นคอของอีกฝ่ายพร้อมกับควบคุมสถานการณ์
“งั้นพวกเราก็ตามคนคนนั้นไปได้เลยใช่ไหม”
“ครับ เดี๋ยวเขาจะจัดการให้เองครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมกระฟัดกระเฟียด ไม่สามารถระงับความโมโหเอาไว้ได้ เขาผลักกระเป๋าเดินทางไปพร้อมกับเดินกระแทกเท้า หัวหน้าทีมชายักไหล่ให้ก่อนจะเดินตามหลังอีกฝ่ายไป
“นี่ อีอูยอน!” กรรมการผู้จัดการคิมที่กำลังจะเดินเข้าไปด้านในของด่านตรวจคนเข้าเมืองเอ่ยเรียกอีกฝ่ายไว้เพราะความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมา
“มีอะไรครับ”
แม้จะรำคาญอย่างมาก แต่อีอูยอนก็ยังตอบกลับอย่างเรียบร้อย
“งั้นเรียกฉันมาทำไม เงินก็มีเยอะขนาดนั้น ทำไมถึงต้องขายวิลล่าด้วย เรียกฉันมาเพราะตั้งใจจะแกล้งเหรอ”
โอ๊ย กรรมการผู้จัดการของผมคงได้ดื่มโซจูไปร้องไห้ไปทุกคืนอีกแน่เลย
หัวหน้าทีมชาเดาะลิ้นด้วยความเศร้าใจ
“รวมๆ กันครับ ทั้งอยากแกล้ง แล้วก็อยากเจอด้วย”
อีอูยอนพูดคำพูดที่ฟังดูไม่มีเหตุผลออกมาอย่างหน้าตาเฉย
“จริงเหรอ ฉันเองก็อยากเจอนายตั้งเท่านี้แหละมั้ง”
กรรมการผู้จัดการคิมกระแนะกระแหนประกอบการใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ทำเป็นช่องว่างที่เล็กมากๆ ท่าทางเป็นเด็กๆ นั่นทำให้อีอูยอนงอตัวหัวเราะเบาๆ จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาหากรรมการผู้จัดการคิม
“อะไร อะไร ฉันไม่ได้พูดผิดซะหน่อย”
กรรมการผู้จัดการคิมที่กระสับกระส่ายอย่างไม่รู้ตัวพูดตะกุกตะกัก อีอูยอนยื่นมือออกมาและทำให้ช่องว่างระหว่างนิ้วของกรรมการผู้จัดการคิมแคบลง
“เท่านี้มั้ง”
“หืม?”
“ผมอยากเจอประมาณนี้ครับ”
นิ้วอยู่ในสภาพที่แตะกัน
ไอ้เวรเอ๊ย ทำให้คำพูดที่ว่า ‘ไม่อยากจะเจอ’ ดูมีระดับขึ้นมาเยอะเลยนะ หัวหน้าทีมชาเก็บคำด่าไว้ในใจและลากแขนกรรมการผู้จัดการคิมไป
“ไปกันเถอะครับกรรมการผู้จัดการ”
“อ้อ อื้อ”
“บาย”
อีอูยอนโบกมือ ระหว่างที่เดินเข้าไปด้านในของประตูอัตโนมัติ กรรมการผู้จัดการคิมก็เปิดปากพูดว่า “นี่”
“ขายวิลล่าเท่าไรดี”
“ครับ?”
หัวหน้าทีมชาไม่เชื่อหูตัวเอง
“คงจะมีเรื่องที่จะใช้ก็เลยขอให้ช่วยขายบ้านยังไงล่ะ ถ้ามีเงินเยอะจะทำแบบนั้นเหรอ”
“…”
โอ๊ย คิมฮักซึง คนอย่างนายนี่นะ…
“คนที่น่าจะเชื่อใจได้ที่เกาหลีก็มีแค่ฉันคนเดียวไม่ใช่เหรอ ฮ่าฮ่า ไอ้หมอนี่ แต่ก็รู้จักคำว่าอยากเจอแล้วนะ อีอูยอนเปลี่ยนไปเยอะเลย กลายเป็นคนแล้ว”
“…พูดอะไรน่ะครับ นิ้วแตะกันเลยนะ”
“ไม่ใช่มั้ง ห่างกันประมาณนี้หรือเปล่า”
กรรมการผู้จัดการคิมลองกางนิ้วออกดูในระยะที่ต่อให้ใช้กล้องจุลทรรศน์มองก็ยังยากที่จะเห็นช่องว่างนั้นพร้อมกับเล่นตลก
อีอูยอนเป็นดาวเด่นของบริษัท ชื่ออีกชื่อของ JN เอนเตอร์เทนเมนต์ก็คือบริษัทของอีอูยอน ถึงขนาดที่มีนักแสดงที่มาที่ JN โดยที่ทิ้งเงื่อนไขที่ดีกว่าไปเพราะใฝ่ฝันในตัวของเขาเลยทีเดียว การที่สถานการณ์ของบริษัทจะแย่งลงหลังจากที่อีอูยอนหายไปก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เขาคาดเดาเหตุผลที่กรรมการผู้จัดการคิมจะยึดติดอยู่กับอีอูยอนได้พอสมควร
“ต้องค่อยๆ จัดการด้วยเงื่อนไขดีๆ แล้วก็ส่งบทที่ได้รับจากนักเขียนคิมคราวก่อนไปด้วย หุหุ”
หัวหน้าทีมชามองผู้ชายที่วาดฝันเสียใหญ่โตอยู่คนเดียวพร้อมกับกลั้นรอยยิ้มที่ขมขื่นเอาไว้
“ต่อให้ช้ายังไงก็ต้องกลับมาในฤดูหนาวปีนี้แหละมั้ง? ถึงจะมีคนที่ไม่เคยกินความดังเป็นข้าว แต่ไม่มีคนที่กินแค่ครั้งเดียวหรอก”
ถึงจะเป็นความคิดที่เกิดขึ้นบางครั้ง แต่คงไม่มีใครจะเชื่อในตัวอีอูยอนได้เท่ากับกรรมการผู้จัดการคิมอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงต่อสัญญากับอีกฝ่ายแม้จะถูกทำแบบนั้นก็ตาม
เมื่อไรเขาจะรับความจริงได้นะว่าอย่าว่าแต่ปีนี้เลย เจ้านั่นคงไม่ออกมาจากบ้านที่มองเห็นทะเลหลังนั้นเด็ดขาดหากอินซอบไม่ต้องการ
“ก็ไม่รู้สิครับ จะมาเมื่อไรนะ”
หัวหน้าทีมชาตอบรับพอประมาณ
“ถ้าฉันจัดการขายบ้านให้ได้เร็วขึ้น เขาจะกลับมาเร็วขึ้นหรือเปล่า งั้นฉันซื้อบ้านนั้นทิ้งไว้เลยดีไหม”
“แล้วไม่ให้เงินนั้นกับหมอนั่นไปเลยล่ะครับ”
“เห็นฉันเป็นคนหัวอ่อนเหรอ”
“…”
“ไม่มีวิธีที่จะโน้มน้าวแล้วเหรอ ต้องรู้ให้ได้เลยว่าหมอนั่นคิดอะไรอยู่”
หัวหน้าทีมชากำลังจะพูดว่าจู่โจมชเวอินซอบได้น่าจะเร็วกว่าการจู่โจมอีอูยอนตรงๆ แล้วก็ล้มเลิกไป
เขานึกถึงภาพของคนสองคนที่ยืนอยู่หน้าทะเลที่พระอาทิตย์กำลังตกเมื่อวาน และคิดว่าปล่อยไว้ที่นั่นสักระยะก็คงจะไม่เป็นไร
“ต้องมา ต้องมาแน่ๆ!”
กรรมการผู้จัดการคิมยืดไหล่ไปด้านหลัง และหัวเราะออกมา พอเห็นด้านหลังศีรษะที่มีผมขาวเยอะขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ หัวหน้าทีมชาก็ปวดใจ
ก็ได้ครับ ที่ผ่านมากรรมการผู้จัดการคงจะลำบากมาก งั้นก็เชิญฝันหวานไปสักพักเถอะนะครับ
หัวหน้าทีมชาเดินไปโดยไม่พูดอะไร แล้วเขาก็หันหน้าไปอย่างกะทันหัน ประตูที่ถูกปิดไปแล้วโผล่เข้ามาในสายตา
ราวกับว่าถนนเลียบชายหาดที่งดงามที่อีอูยอนกำลังวิ่งอยู่ปรากฏขึ้นตรงหน้า
โอเค มันดีพอแล้ว
หัวหน้าทีมชาฮัมเพลงก่อนจะกระชับฝ่ามือที่จับกระเป๋าเดินทางไว้ เขารู้สึกว่าเท้าที่ก้าวออกไปข้างหน้าเบาขึ้นอย่างมาก
[1] วานิลลาสกาย หมายถึง ท้องฟ้าในช่วงก่อนที่พระอาทิตย์จะตก