ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 4 ตอนที่ 8-3
“เขาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลน่ะ แล้วจู่ๆ ก็หายไป”
“เข้าโรงพยาบาลเหรอครับ”
ตาของอินซอบเบิกโพลง
“ไม่ใช่การเข้าโรงพยาบาลจริงๆ หรอก เป็นการแสดงน่ะ ก็หมอนั่นเล่นออกมาจากพิธีมอบรางวัลดื้อๆ เลยนี่นา พอกุเรื่องไปว่าป่วย ก็เลยต้องเข้าโรงพยาบาลไง”
“ไม่ได้เจ็บป่วยตรงไหนจริงๆ ใช่ไหมครับ”
“อืม ไม่ได้ป่วยตรงไหนหรอก”
นี่ไม่ใช่คำพูดที่ผิดซะทีเดียว ตอนที่ตรวจสุขภาพทั้งหมดในขณะที่เข้าโรงพยาบาลก็ไม่เจอความผิดปกติอะไรเป็นพิเศษที่ร่างกาย
“เพราะสิ่งที่มีปัญหาอยู่ตลอดคือระบบซอฟต์แวร์[1] ของหมอนั่น…แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องเป็นห่วง เพราะเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท”
ในขณะที่พูด สายตาของกรรมการผู้จัดการคิมก็ไล่มองภายในบ้าน เป็นสายตาที่คาดหวังว่าอีอูยอนอยู่ข้างในนี้หรือเปล่า
“เขาไม่ได้ติดต่อมาหรอกครับ”
ความผิดหวังปรากฏในดวงตาของกรรมการผู้จัดการคิม
“งั้นถ้าอีอูยอนติดต่อมา หรือว่าเจอหมอนั่น นายติดต่อฉันหน่อยได้ไหม ฉันไม่ได้คาดหวังถึงขั้นที่ว่าต้องจับไว้หรอกนะ แค่ติดต่อมาให้เร็วที่สุดน่ะ”
อินซอบพยักหน้า แล้วความคิดที่โผล่เข้ามาในหัวก็ทำให้เขาเอ่ยเรียกกรรมการผู้จัดการคิมไว้
“เดี๋ยวครับกรรมการผู้จัดการ”
“มีอะไร นายรู้อะไรเหรอ”
“ลองติดต่อคุณแชยอนซอไปหรือยังครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมถามกลับว่า “แชยอนซอเหรอ” ด้วยสีหน้าที่เหมือนกับได้ยินอะไรแปลกๆ อินซอบพยักหน้าอย่างระมัดระวัง
“ทำไมฉันต้องติดต่อเขาด้วยล่ะ”
อินซอบงงไปเล็กน้อย การที่กรรมการผู้จัดการคิมแสดงความรู้สึกไม่สบายใจออกมาต่อหน้าแบบนี้เป็นเรื่องที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ
“เอ่อ คงจะยังเจอกันลำบากเพราะข่าวอยู่สินะครับ ผมคิดน้อยไปเองครับ”
“ไม่ใช่ ทำไมอีอูยอนต้องไปเจอแชยอนซอด้วยล่ะ ต่อให้ทางนั้นขอให้ไปเจอก็ไม่มีความคิดที่จะไปเจอหรอกนะ กล้าดียังไงมาทำให้คนอื่นเขากลายเป็นคนโง่ แล้วนี่ก็เป็นเรื่องที่เขียนสัญญากันไว้ทั้งสองฝ่ายแล้วด้วย ไม่ใช่มือสมัครเล่นแล้วด้วย ให้ตายสิ”
อินซอบมองกรรมการผู้จัดการคิมที่บ่นงึมงำพร้อมกับกะพริบตาประมาณสองครั้ง
“…มีเรื่องอื่นเกิดขึ้นหลังจากนั้นเหรอครับ”
“หลังจากนั้นเหรอ?”
“ผมหมายถึงหลังจากที่ลงข่าวน่ะครับ”
สีหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าแชยอนซอยังสร้างเรื่องอีกหลังจากนั้นจะยังเป็นคนอยู่เหรอ”
อินซอบไม่เข้าใจเลยว่าทำไมกรรมการผู้จัดการคิมถึงเอาแต่ตำหนิแชยอนซอฝ่ายเดียว ทั้งๆ ที่สองคนนั้นตกลงที่จะคบกัน
“มีแค่อีอูยอนที่เทไปกลางคันน่ะ เฮ้อ เพราะความโลภมากโดยไม่จำเป็นของตัวเองทำให้ฉันรู้สึกผิดจนจะตายอยู่แล้ว”
อินซอบลองค้นดูในความทรงจำเพื่อหาความหมายของคำว่าเท แต่เขาคำศัพท์คล้ายๆ กันที่เขานึกออกก็มีแต่คำว่าเปย์
“…เทคืออะไรเหรอครับ”
“ก็ตี้ล่ม[2]ไง ไม่รู้จักคำว่าตี้ล่มเหรอ”
พออินซอบกะพริบตาอยู่อย่างนั้น กรรมการผู้จัดการคิมก็ช่วยอธิบายความหมายของคำศัพท์ให้ง่ายที่สุด
“หมายถึงหายไประหว่างที่งานกำลังดำเนินอยู่น่ะ ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงจะเป็นสภาพแบบไข่เป็นในแม่น้ำนักดง[3]น่ะ ถึงจะไม่มีไข่เป็ดที่ดูดีขนาดนั้นก็เถอะ ”
“แล้วผู้อำนวยการฝ่ายอีชอลฮวานโกรธคุณอีอูยอนมากหรือเปล่าครับ”
“ทำไมโปรดิวเซอร์อีต้องโกรธอีอูยอนด้วยล่ะ นี่นายได้อ่านข่าวถูกไหม”
อินซอบงงงวย แม้จะไม่ได้อ่านข่าวอ่านละเอียดครบถ้วน แต่เขาก็รู้เนื้อหาของข่าว
“คุณอีอูยอนถูกถ่ายรูปกับคุณแชยอนซอก็เลย…”
พอเขาพูดถึงตรงนั้น กรรมการผู้จัดการคิมก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“อีอูยอนถูกถ่ายรูปอะไรนะ นายเพิ่งกลับมาจากหุบเขานอกเมืองที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตเหรอ ทำไมถึงพูดนอกเรื่องมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“…”
อย่าว่าแต่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเลย อินซอบไม่เปิดโทรทัศน์ด้วยซ้ำ โทรศัพท์เขาก็จงใจปิดไว้ เพราะถ้าเล่นโทรศัพท์มือถือ เขาก็คงจะได้หาข่าวของอีอูยอนอ่าน และเขาเปิดโทรศัพท์มือถือวันละครั้งเพื่อเช็กการติดต่อที่มีมาถึงตนเท่านั้น
ความรู้สึกที่ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องทำให้อินซอบทำหน้าเคร่งเครียด
“เฮ้อ…”
กรรมการผู้จัดการคิมที่เห็นสีหน้ามึนงงของอินซอบกุมหน้าผากตัวเอง และเรื่องที่อีอูยอนเคยเล่าก็เริ่มสมเหตุสมผลขึ้นว่าอะไรเป็นอะไรภายในหัวของเขา
กรรมการผู้จัดการคิมเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “อินซอบ”
“ครับ”
อินซอบตอบรับด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“นายรู้ใช่ไหมว่าอีอูยอนคิดว่านายเป็นคนพิเศษ”
“…รู้ครับ”
คำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมทำให้อินซอบหน้าซีดเผือดเหมือนเป็นนักโทษอีกครั้ง เขากลัวว่าจะพูดสิ่งที่ทำให้อีอูยอนเดือดร้อนออกมา และทำตัวไม่ถูก
“สำหรับฉันเขาทำดีกับนายอยู่นะ”
“ผมรู้สึกขอบคุณในความเอาใจใส่ของคุณอีอูยอนอยู่เสมอเลยครับ”
อินซอบพยายามที่จะไม่แสดงความรู้สึกออกไปให้ได้มากที่สุด
“อีอูยอนเป็นกังวลมากตั้งแต่ก่อนที่นายจะกลับมาที่เกาหลีแล้ว ถ้านายเหมือนจะเป็นหวัด เขาก็จะขอให้ยกเลิกตารางงานในวันถัดไปอย่างกับ…ยังไงก็ตาม ฉันไม่ได้มาถึงที่นี่เพื่อจะพูดเรื่องนี้หรอกนะ แต่การตรวจสุขภาพของนายน่ะไม่ใช่เรื่องที่บริษัทจัดการให้ แต่อีอูยอนทำการนัดไว้ส่วนตัวต่างหาก นายคิดว่าโรงพยาบาลจะทำเรื่องตลกๆ อย่างการรักษาฟรี เพราะมีความสัมพันธ์กับบริษัทหรือไง
“…ครับ”
อินซอบเอ่ยตอบด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
“มีโรงพยาบาลที่บ้าแบบนั้นที่ไหนในโลกล่ะ”
“ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าเป็นแบบนั้น…”
อินซอบขอโทษอย่างหมดเรี่ยวแรงทันที
กรรมการผู้จัดการคิมนึกถึงคำตอบที่อีอูยอนเอ่ยตอบให้กับคำถามที่ว่า “ต้องโกหกอินซอบถึงขนาดนั้นเลยเหรอ” ของตน
‘ชเวอินซอบน่ะ ไม่ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ เพราะต่อให้ตายเขาก็จะไม่ใช่เงินของผม แม้ผมจะอยากขังเขาไว้ในห้อง และบังคับให้ใช้แค่เงินของผมไปตลอดชีวิต แต่คนสวยนั่นก็ดื้ออย่างไม่มีประโยชน์’
“ยังไงนายก็ต้องกลับอเมริกาในสักวันหนึ่งอยู่แล้วถูกไหม เพราะปัญหาสุขภาพ และครอบครัวของนายก็อยู่ที่อเมริกาด้วย มันน่าจะดีสำหรับนาย…”
ถ้าชเวอินซอบอยู่ข้างๆ อีอูยอนก็จะดูสงบ แต่ในขณะเดียวกันอินซอบก็เป็นปัจจัยที่อันตรายที่สุดสำหรับอีอูยอนด้วย ในฐานะกรรมการผู้จัดการของบริษัท การให้อินซอบกลับไปที่อเมริกาเป็นข้อสรุปที่รอบคอบที่สุด เพราะตอนนี้มูลค่าที่มีอยู่ในชื่อของนักแสดงที่ชื่ออีอูยอนสูงถึงขนาดที่ถ้าไม่มีอีอูยอน บริษัทก็คงไม่สามารถดำเนินกิจการไปได้
“คือว่านะอินซอบ”
กรรมการผู้จัดการคิมเคยผ่านไปที่แถวบ้านของอีอูยอน และเห็นคนทั้งคู่นั่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อโดยบังเอิญ แม้อีอูยอนจะสวมเสื้อฮู้ดสีดำและสวมหมวกลงมาปิดหน้า แต่แผ่นหลังที่กว้างเป็นพิเศษทำให้เขาสามารถรู้ได้ว่าเป็นใครด้วยการปราดสายตามองแค่ครั้งเดียว กรรมการผู้จัดการคิมจอดรถ เพราะเห็นว่าอินซอบที่นั่งอยู่ตรงหน้าของอีอูยอนกระสับกระส่ายเหมือนเป็นทุกข์กับอะไรสักอย่าง เขาคิดว่าไอ้หมอนั่นคงแกล้งคนอื่นอีกแล้ว และคิดที่จะบ่นด้วยซ้ำ
พอเข้าไปใกล้ๆ เขาก็มองเห็นบทที่อยู่ในมือของอินซอบ ดูเหมือนเขาจะช่วยเล่นเป็นคู่แสดงของอีอูยอนแทนให้ ส่วนอีอูยอนก็หัวเราะเสียงดังให้กับอินซอบที่อ่านบทอย่างตะกุกตะกักเหมือนเป็นหุ่นยนต์ในสภาพที่หน้าแดงเถือก
กรรมการผู้จัดการคิมไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่ตนเห็นภาพของอีอูยอนที่มีแววตาขี้เล่นเล็กน้อย และหัวเราะเหมือนเป็นเด็กหนุ่ม หลังจากดื่มเบียร์เข้าไปจิบหนึ่ง อีอูยอนก็เคาะขาอินซอบ และอ้อนให้อ่านบทท่อนต่อไป พออินซอบอ่านบทที่ไม่ได้สำคัญอะไรด้วยใบหน้าแดงก่ำ อีอูยอนก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
หากไม่ใช่ช่วงที่ควรจะหัวเราะ เขาจะไม่หัวเราะเลย แต่วินาทีที่ได้เห็นใบหน้าของอีอูยอนที่หัวเราะด้วยสีหน้ามีความสุขจากใจจริง เขาถึงได้รู้สึกจริงๆ ว่า หมอนั่นกำลังมีแฟนอยู่จริงๆ ด้วยสินะ กรรมการผู้จัดการคิมรู้สึกเขินและจั๊กจี้ขึ้นมา เขาจึงเดินกลับไปตามทางที่มาก่อนจะขับรถหายไป
“ฉันอยากให้นายรู้ไว้ว่าคำพูดที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ไม่ได้มีความคิดเห็นส่วนตัวอะไรอยู่เลย”
“…ครับ”
อินซอบตอบกลับด้วยท่าทีประหม่า
“อีอูยอนเป็นคนที่เฮงซวยที่สุดในโลก”
ถ้าอยู่ในวงการนี้ก็จะได้เจอคนหลากหลายประเภท แต่กรรมการผู้จัดการสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่าอีอูยอนเป็นไอ้เฮงซวยที่เขาไม่เคยเจอ
แต่
เขาไม่สามารถแกล้งทำเป็นไม่เห็นอีอูยอนที่แกล้งอินซอบและหัวเราะเหมือนเด็กหนุ่มขี้เล่นตรงหน้าร้านสะดวกซื้อในคืนวันหนึ่งกลางฤดูร้อนได้ ไม่สามารถแกล้งทำเป็นไม่เห็นอีอูยอนที่นั่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วยของอินซอบด้วยสีหน้าเหมือนเด็กที่สูญเสียพ่อแม่ได้ และไม่สามารถแกล้งทำเป็นไม่เห็นอีอูยอนที่พูดว่าชอบอินซอบมากจนไม่รู้ว่าต้องทำยังไงดีได้ด้วยเหมือนกัน
“แต่หมอนั่นไม่ทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นกับนายหรอก”
“…”
อินซอบไม่สามารถพูดอะไรได้เลย สีหน้าของเขาสับสนจนเหมือนจะร้องไห้ในไม่ช้า กรรมการผู้จัดการคิมถอนหายใจออกมาก่อนจะกางร่มที่หุบไว้อีกครั้ง
“งั้นฉันไปก่อนนะ ถ้าอีอูยอนติดต่อมา นายต้องบอกให้รู้นะ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบยื่นตัวออกมานอกประตูบ้านเพื่อที่จะไปส่ง แต่กรรมการผู้จัดการคิมก็ดันเขากลับเข้าไปข้างใน
“นายจะเป็นหวัดได้ เข้าไปซะ”
“กรรมการผู้จัดการครับ!”
อินซอบเอ่ยเรียกกรรมการผู้จัดการคิมที่กำลังจะกลับไว้
“มีอะไร”
“ถ้าติดต่อคุณอีอูยอนได้แล้ว ช่วยบอกให้ผมรู้ด้วยได้ไหมครับ ผะ ผมไม่ได้ขอแบบนั้นเพราะมีเจตนาอื่นนะครับ แค่เป็นห่วงเท่านั้น”
“นายก็ลองติดต่อไปเองสิ”
“…ถ้าทำให้วุ่นวายก็ไม่ต้องก็ได้ครับ”
อินซอบรีบก้มหน้า นี่เป็นปฏิกิริยาที่สมเหตุสมผล กรรมการผู้จัดการคิมได้เห็นตอนที่อีอูยอนห้ามไม่ให้อีกฝ่ายติดต่อมาอีก และตัดสายไปอย่างเย็นชา
“กลัวอีอูยอนขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ปะ เปล่าครับ”
“ตอนที่นายเข้าโรงพยาบาล เพราะล้มป่วยไปครั้งแรก นายก็ไม่ยอมบอกให้อีอูยอนรู้ เพราะกลัว”
“…ผมทำแบบนั้น เพราะไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้เขาน่ะครับ”
ดูเหมือนกรรมการผู้จัดการคิมจะรู้เหตุผลที่อีอูยอนผิดหวังในตัวอินซอบแล้ว
“หัวหน้าทีมชายังให้ฉันไปเฝ้าไข้อยู่ตลอดเวลาตั้งสามวันตอนที่เข้าโรงพยาบาลเพราะขาหัก แถมยังสั่งให้เอาโถฉี่ไปเททิ้งให้ด้วย ถ้านายจะสร้างความเดือดร้อนให้อีอูยอนบ้างจะเป็นไรล่ะ ทำไมพวกนายสองคนต้องกลัวกันขนาดนั้นด้วย วันนั้นอีอูยอนรอนายทั้งคืน แล้วก็ไม่ยอมพูดอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนี้กันล่ะ”
“ครับ? บอกว่ารอทั้งคืนเหรอครับ?”
คำถามของอินซอบทำให้กรรมการผู้จัดการคิมคิดว่าฉิบหายแล้ว เขาทำเป็นรู้เยอะเกินไปแล้ว หากพูดมากกว่านี้ เขาคงต้องสารภาพแล้วว่าตัวเองรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่หมดแล้ว
“ไม่ใช่ ตอนที่นายล้มป่วยไปคราวนี้น่ะ เขาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยทั้งคืนเลย ยะ ยังไงก็อย่าคิดให้มันยากนักเลย แม้จะต้องรักษามารยาทไว้ในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ แต่ก็ต้องทำให้เหมาะสมถึงจะดีนะ ถ้ารักษามารยาทมากไปก็จะดูไม่ผูกพัน”
กรรมการผู้จัดการคิมกุเรื่องขึ้นมาลวกๆ ก่อนจะพูดสรุป
“…เข้าใจแล้วครับ”
“งั้นฉันไปก่อนนะ กลับเข้าไปได้แล้ว”
กรรมการผู้จัดการคิมรีบโบกมือ อินซอบไม่สามารถรั้งเขาได้อีกต่อไปจึงก้มหัวลา แล้วกรรมการผู้จัดการคิมก็ถือร่มคันยาวสีดำลงบันไดไป
พอกลับเข้ามาในบ้าน อินซอบก็หาโทรศัพท์มือถือและเปิดเครื่องทันที เขาเปิดหน้าต่างอินเทอร์เน็ต และค้นหาชื่อของอีอูยอน ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเจ้าตัวเด้งขึ้นมานับสิบข่าว และทุกข่าวเป็นข่าวที่เพิ่งลงวันนี้ แม้จะอ่านแค่พาดหัวข่าว เขาก็สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างคร่าวๆ
อินซอบคลิกอ่านข่าวข่าวหนึ่งในนั้น
“…”
เขาหายใจไม่ออก และไล่อ่านข่าวนั้นอย่างมีสมาธิ และก็อ่านข่าวต่อไปด้วย และก็อ่านข่าวต่อต่อไป และก็ข่าวต่อไปของข่าวต่อไปด้วย แต่ไม่มีข่าวไหนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับรูปที่อีอูยอนถูกถ่ายกับแชยอนซอ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวกับอะไรพวกนั้นเลย
มีแค่ข่าวที่เชื่อมโยงปัญหาของแชยอนซอที่โดนถ่ายรูปกับผู้ชายคนอื่นกับความไม่จริงใจของอีอูยอนที่ออกจากพิธีมอบรางวัลไปกลางคันด้วยปัญหาสุขภาพเท่านั้น
อินซอบค้นหาชื่อของแชยอนซอ และเขาก็เจอรูปผู้หญิงที่สวมหมวกและแว่นกันแดดกอดจูบอยู่กันผู้ชายสักคน และเดินเคียงคู่กันเข้าไปในโรงแรม และรูปที่นั่งรถออกจากโรงแรมไปพร้อมกัน ไม่ว่าใครจะมองผู้ชายในรูปก็ไม่ใช่อีอูยอน นี่จึงเป็นรูปที่ไม่สามารถทำให้สับสนได้ถ้าตาไม่ได้บอด
“…”
เขาไม่เข้าใจเลย และก็ไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าอีอูยอนไม่ได้ไปเจอกับแชยอนซอ ทำไมเขาถึงไม่ปฏิเสธความจริงนั้นกับเราล่ะ
เขาขอเลิกกับเราตอนที่โกรธ หรือว่าหมายถึงผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แชยอนซอกันล่ะ
เหตุการณ์พันกันยุ่งเหยิงเหมือนกับจะคิดอะไรบางอย่างออก แต่ก็ไม่
เราคิดไม่ตรงกันตั้งแต่ตรงไหนนะ
อินซอบพยายามเรียบเรียงความคิด
ก่อนหน้านี้ไม่นานอีอูยอนโกรธเขาอย่างแน่นอน ถึงขนาดที่เขาถามว่าโกรธเหรออยู่หลายครั้ง เพราะท่าทีที่เย็นชาต่างไปจากปกติ และทุกครั้งที่ถามแบบนั้น อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบอะไร เขาเพียงแค่มองตนนิ่งๆ และถามกลับมาว่า
‘ไม่มีอะไรจะบอกเหรอครับ’
แล้วมันตั้งแต่ตอนไหนนะ
ตอนที่คังยองโมมาหาที่บริษัทจนกระทั่งออกจากตึกไป ท่าทีของอีกฝ่ายก็ยังไม่ต่างอะไรไปจากปกติมากนัก และในตอนที่บอกว่าจะไปส่งที่บ้านและพูดคุยกันอยู่ในรถ จู่ๆ อีกฝ่ายก็อารมณ์ไม่ดีและตัดบทสนทนาไป
…เป็นเพราะแมวจริงๆ เหรอ
อินซอบส่ายหัว แม้จะไม่รู้ว่าคำพูดนั้นไปสะกิดความรู้สึกของอีอูยอนหรือเปล่า แต่นี่ก็ไม่น่าจะใช่สาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์สั่นคลอน
ถ้าเป็นอย่างนั้น มันคืออะไรกันแน่…
[1] ระบบซอฟต์แวร์ เป็นการเปรียบเทียบหมายถึงระบบความคิดข้างใน
[2] ตี้ล่ม ตี้ ย่อมาจาก ปาร์ตี้ เป็นศัพท์ที่มาจากวงการเกม หมายถึงกลุ่มคนที่รวมตัวทำอะไรบางอย่างร่วมกัน ตี้ล่ม จึงหมายถึง แผนการที่นัดกันไว้ว่าจะทำร่วมกันล่ม
[3] ไข่เป็ดในแม่น้ำนักดง หมายถึง การแยกออกมาตามลำพัง