ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 4 ตอนที่ 8-2
ความต้องการที่วาบหวิวจนทำให้สายตาพร่าเลือนทำให้เขารู้สึกถึงรสชาติของเลือดในลำคอ เขาหายใจไม่ออก และสับสนจนเกือบจะแยกไม่ออกแล้วสิ่งที่เขาสอดใส่เข้าไปในตัวของอินซอบคืออะไร
“คุณอินซอบ…คุณอินซอบ”
ดวงตากลมโตที่มีน้ำตาคลออยู่ตอบรับเสียงเรียกอยู่หลายครั้ง หลังจากที่ได้รับการยืนยันแล้ว เขาถึงสามารถหายใจได้ อีอูยอนปลดปล่อยออกมาอย่างยาวนาน หลังจากควบคุมลมหายใจที่ขาดห้วงให้สงบลงได้แล้ว เขาก็ดึงตัวของอินซอบที่นอนแผ่อยู่ขึ้นมากอด
“คุณอินซอบ”
แม้จะเรียกชื่อ แต่ก็ไม่มีการตอบรับกลับมา
“คุณอินซอบ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เขาเขย่าไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ แต่อินซอบก็ไม่ขยับ อีอูยอนพลิกตัวของอินซอบให้นอนหงายตรงๆ
“ฟื้นสิครับ”
อินซอบไม่สามารถทนกับความตื่นเต้นระหว่างมีเซ็กซ์ได้ และสลบไป อีอูยอนใช้หลังมือตีแก้มของอินซอบเบาๆ พลางเอ่ยเรียกอินซอบ และตอนนั้นความรู้สึกอุ่นๆ ก็ซึมออกมาจากช่วงท้อง
“…?”
วินาทีที่เอื้อมมือออกไปเช็ก อีอูยอนก็ชะงักมือ ผ้าปูที่นอนเปียกโชก และเป็นเลือดทั้งหมด
“คุณอินซอบ!”
อีอูยอนเรียกอินซอบ ใบหน้าที่ซีดเผือดกับตัวที่ไม่รู้ว่าเย็นเฉียบไปเมื่อไรบ่งบอกให้รู้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์
“ทำไมจู่ๆ ถึง…”
เขาไม่สามารถตั้งสติได้ อีอูยอนใช้ผ้าห่มห่อตัวอินซอบและโทรศัพท์หา 119 อย่างรีบร้อน ผ่านไปไม่นานเขาก็เริ่มได้ยินเสียงไซเรนที่แหลมบาดหู
ปัง ประตูถูกปิดลงตรงหน้า
“ผู้ดูแลต้องรอข้างนอกนะครับ”
แล้วประตูห้องผ่าตัดก็ถูกปิดลง อีอูยอนมองประตูที่ถูกปิดอย่างเหม่อลอย เขายังไม่เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
แล้วเขาก็ก้มลงมองมือของตัวเอง มันเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาของอินซอบ
‘รักนะครับ’
ตอนที่อินซอบพูดแบบนั้น เราตอบไปว่าอะไรนะ
‘แม้จะเป็นความรู้สึกที่เหมือนๆ กัน…ก็ไม่เป็นไรครับ’
อีอูยอนใช้มือกุมหน้าของตัวไว้ ความละอายใจและความอับอายที่พุ่งขึ้นมาทำให้เขาหายใจไม่ออก
เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่เขามีเหมือนกับของอินซอบหรือเปล่า ความรู้สึกของเขาไม่ชัดเจนอยู่แล้ว เขาไม่สามารถกรองเศษตะกอนสกปรกๆ ออกมาจากความรักลึกซึ้งที่มีต่ออีกฝ่ายได้ด้วยซ้ำ
แบบนี้จะเรียกว่าเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับที่คุณมีได้หรือเปล่า
“ผู้ดูแลของคุณชเวอินซอบ”
อีอูยอนลุกจากที่ หมอที่ถือชาร์ตผู้ป่วยอยู่เริ่มอธิบายด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
“ผมเช็กประวัติการรักษาของผู้ป่วยหมด และลองตรวจอาการดูแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาใหญ่อะไรครับ ตอนนี้คงต้องเฝ้าดูอาการอีกนิดหน่อยถึงจะย้ายไปที่ห้องพักผู้ป่วยได้ครับ”
“แต่เลือดไหลออกมาเยอะมากเลยนะครับ ไม่เป็นอะไรแน่เหรอครับ”
หมอเหลือบตาขึ้นมามองราวกับได้ยินเรื่องที่แปลกประหลาดในคำของอีอูยอน
“เลือดเหรอครับ”
อีอูยอนก้มมองมือของตัวเอง ผ้าเช็ดหน้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดห้อยลงมาด้วยน้ำหนัก
“บาดเจ็บที่มือเหรอครับ งั้นคงต้องไปรับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินนะครับ”
เขาไม่สามารถตอบอะไรกับคำถามของหมอได้ และแกะผ้าเช็ดหน้าออก เลือดสีแดงสดๆ หยดลงมา เขาไม่รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร และรู้สึกปวดหัวราวกับศีรษะถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ ท้องไส้ของเขาปั่นป่วน และทำตัวไม่ถูกเขารู้สึกอุ่นๆ ที่คอเหมือนกับถูกมีดแทง
และในตอนนั้นเอง
“…เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
พอเงยหน้าขึ้นมา เขาสบตากลมโตของอินซอบ ความอ่อนโยนที่สำรวจตัวเขาอย่างระมัดระวังทำให้เขารู้สึกชาเหมือนกับเส้นประสาททั่วทั้งตัวถูกกดเอาไว้
คุณปฏิบัติต่อผมราวกับผมเป็นเด็กและอ่อนแออยู่เสมอ แม้กระทั่งในช่วงเวลาแบบนี้ เพื่อที่จะทำให้ผมอยากเกาะติดอยู่กับคุณ
“…ผมไม่เป็นไรครับ”
พอเขาตอบออกไปแบบนั้น ดวงตาของอินซอบปิดลง เขาใช้มือกุมหน้าเอาไว้ และทรุดลงนั่งบนเก้าอี้
ไม่เป็นไร ต้องไม่เป็นไร
หมอเองก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่อาการชักที่เกิดขึ้นได้เท่านั้น หากตรวจทุกอย่างเท่าที่จะสามารถตรวจได้ และรับการรักษา…
เขาหวนคิดถึงความทรงจำที่ฝังเอาไว้ลึกที่สุด และไม่สามารถพูดกับใครได้ขึ้นมาใหม่ อินซอบที่โดนแทง และมีเลือดออกเยอะมากหยุดหายใจไปสองครั้งในรถฉุกเฉิน และทุกครั้งที่ใช้เครื่องปั๊มหัวใจ ร่างกายผอมบางนั้นก็จะชักกระตุก อินซอบตายต่อหน้าต่อตาเขาไปถึงสองครั้ง
มือที่สูญเสียการควบคุมสั่นเทา
เขากลัว เขากลัวมากๆ เพราะเหมือนจะเสียอินซอบไปทั้งๆ แบบนี้ และเขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะอดทนกับช่วงเวลาที่ไม่มีอินซอบได้อีกครั้ง
…ผมไม่โอเคเลยสักนิด
เขาเก็บคำที่ไม่สามารถพูดออกมาได้เอาไว้ และประสานมือที่ชุ่มเลือดทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน
แหมะ แหมะ แหมะ
สัมผัสเย็นๆ ไหลมาตามใบหน้า เขากะพริบตาและเงยหน้าขึ้นไปดู ฝนกำลังตก และเขาก็อยู่ที่หน้าบ้านที่อินซอบเพิ่งจะย้ายเข้ามาใหม่
“…”
ตอนนั้นเองอีอูยอนถึงได้รู้ว่าตัวเองอยู่ในชุดผู้ป่วย ไม่รู้เขายืนตากฝนมาตั้งแต่เมื่อไร ชุดผู้ป่วยถึงได้เปียกไปหมด อีอูยอนก้มมองมือของตัวเองอย่างเหม่อลอย เป็นมือที่มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น
นี่คือความเป็นจริง
หากหลับตาลง เขาจะฝัน ไม่สิ เป็นความทรงจำในอดีตต่างหาก ทุกครั้งที่เสียอินซอบไปในนั้น มือของเขาจะชุ่มไปด้วยเลือด
พักหลังมานี้ความจริงและความฝันปนกันยุ่งเหยิงจนเขาต้องตรวจสอบจากมือถึงจะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยืนอยู่ที่ไหน
“…”
มาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด ฝนที่เกาะอยู่ที่ขนตาก็ร่วงลงมา
แล้วเขาก็ได้รู้ถึงเหตุผลที่ตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้
ทั้งๆ ที่ตอนนี้เขาไม่สามารถแยกความจริงกับความฝันได้ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะสามารถเรียกความรู้สึกที่ตัวเองมีว่าความรักได้ไหม และไม่สามารถแยกได้ด้วยว่าตนเป็นสัตว์ร้ายหรือมนุษย์…
คิดถึง
เขาคิดถึงชเวอินซอบคนที่บอกว่าชอบคนอย่างเขาอยู่หลายครั้ง คิดถึงดวงตาของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา คิดถึงรอยยิ้มที่เกิดขึ้นบนใบหน้าขาวๆ ผมคิดถึงคุณ…
เพราะผมไม่อยากถูกคุณทิ้ง
ความรู้สึกแจ่มชัดที่พุ่งพรวดขึ้นมาทำให้เขาต้องกลั้นหายใจ
อีอูยอนเดินเข้าไปใกล้กับประตูหน้าบ้าน
แล้วฝนก็เทลงมา
***
ปัง ปัง ปัง
เสียงเคาะประตูทำให้อินซอบลุกขึ้น เนื่องจากวิ่งออกไปโดยไม่ได้เปิดไฟ ปลายเท้าของเขาจึงกระแทกกับลัง แต่อินซอบก็ยังวิ่งไปเปิดประตูหน้าบ้านดื้อๆ
“…!”
ผู้ชายที่เคาะประตูสะดุ้งด้วยความตกใจที่ประตูเปิดออกอย่างกะทันหัน
“…กรรมการผู้จัดการ สะ…สวัสดีครับ”
อินซอบทักทายด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นธรรมชาติ
“เหมือนกริ่งจะเสียงนะ”
“…ครับ น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ”
“กำลังทำอะไรอยู่เหรอ”
“ผมก็แค่…ผมจะเก็บของทันทีเลยครับ”
อินซอบที่ตื่นตระหนกพูดวกไปวนมาและหมุนตัวกลับไป กรรมการผู้จัดการคิมคว้าแขนของอินซอบไว้ ตอนนั้นกรรมการผู้จัดการคิมเองก็ตกใจไม่น้อย
“ผมเก็บเกือบเสร็จแล้วครับ เหลือแค่จัดการอีกนิดหน่อยก็เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น…”
อินซอบชี้แจงด้วยสีหน้าที่เกือบจะร้องไห้ กรรมการผู้จัดการคิมก้มลงมองแขนของอินซอบที่กำลังคว้าไว้ ถึงจะมีรูปร่างผอมบางอยู่แล้ว แต่ภายในไม่กี่วันอินซอบกลับผอมลงไปอีกอย่างน่าตกใจ
“ผมเตรียมการที่จะไปอเมริกาเรียบร้อยแล้วครับ ผมจะไปแน่ๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
วินาทีที่สบตากับสายตาห่อเหี่ยวของอินซอบ กรรมการผู้จัดการคิมก็นึกถึงคำพูดที่หัวหน้าทีมชาพูดกับตน
‘กรรมการผู้จัดการอยู่ข้างอีอูยอนในตอนที่ตัดสินใจสินะ แม้จะรู้ว่าทำแบบนั้นเพราะอยู่ในสถานะที่ต้องกดเครื่องคิดเลข แต่อย่าเกลียดอินซอบเขามากนักเลย เด็กนั่นทำอะไรผิดเหรอ’
อินซอบไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ตนเองขีดเส้นให้อินซอบอย่างไม่รู้ตัว ระหว่างที่อินซอบเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล นอกเหนือจากตอนที่อีอูยอนขอร้องแล้ว เขาไปหาอีกฝ่ายแค่ครั้งเดียวในวันที่ออกจากโรงพยาบาล แม้หัวหน้าทีมชาจะบ่นว่าคนเขาไม่ทำกันแบบนี้ แต่เขาก็กุเรื่องขึ้นมาว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะตัวเองยุ่งอยู่กับการดูแลอีอูยอน
ตอนที่เขามาเจออินซอบตามคำขอร้องของอีอูยอนก็เหมือนกัน แม้จะคิดว่าไม่ต่างอะไรกับคุณนายของประธานบริษัทที่บอกว่าให้เลิกกับลูกชายของฉันซะและยื่นซองให้ แต่เขาก็จงใจยื่นซองให้ด้วยท่าทีเย็นชาอยู่ดี
อินซอบเปิดซองออกดู และเอ่ยถามหลังจากเช็กตั๋วเครื่องบิน
‘…คุณอีอูยอนส่งมาให้เหรอครับ’
‘ใช่ ส่วนที่ให้หัวหน้าทีมชาเป็นที่นั่งชั้นประหยัด ส่วนนายสภาพร่างกายไม่ดีต้องไปด้วยที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาส’
อินซอบส่งตั๋วเครื่องบินคืนให้
‘ผมจะจัดการเองครับ พอดีเจ้าของบ้านอยู่ที่ต่างประเทศ ผมเลยว่าจะย้ายทันทีที่ติดต่อได้ครับ’
อินซอบยิ้มพลางเอ่ยตอบ
‘ถ้ามีอะไรให้ช่วยจัดการก็บอกมานะ ฉันจะช่วยเอง’
อินซอบส่ายหน้า
‘ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ’
ท่าทีของอินซอบสุขุมและเด็ดเดี่ยว กรรมการผู้จัดการคิมยื่นตั๋วเครื่องบินให้อินซอบอีกครั้ง
‘ได้ งั้นก็เอาไอ้นี่ไปเพื่อที่ฉันจะได้ไม่เป็นห่วง เพราะถึงนายจะคืนให้ก็เอาเงินคืนไม่ได้อยู่ดี’
อินซอบมองวันที่ออกเดินทางที่พิมพ์อยู่บนตั๋วเครื่องบินด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนเกินบรรยาย กรรมการผู้จัดการคิมจงใจซื้อตั๋วเครื่องบินของวันที่กระชั้นชิดที่สุดและยื่นให้อีกฝ่าย
เขาคิดว่าการจัดการอินซอบให้เร็วที่สุดแม้จะเป็นแค่วันเดียวเป็นเรื่องที่ดีสำหรับอีอูยอน แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่เขาเก็บเอาความใส่ใจที่ควรมีให้อินซอบไว้ข้างหลังในกระบวนการนั้น
“ผมจัดของเกือบจะเสร็จแล้วล่ะครับ แค่ติดต่อเจ้าของบ้านได้ก็…”
อินซอบตื่นตระหนกพร้อมกับก้มหน้า เขารู้สึกผิดเหมือนตัวเองเป็นคนที่ไม่ควรอยู่ที่นี่
ชเวอินซอบเองก็คงลำบากเหมือนกัน พอคิดถึงอินซอบที่ไม่สามารถพูดกับใครได้ และเป็นทุกข์อยู่คนเดียว กรรมการผู้จัดการคิมก็รู้สึกทุกข์ใจอย่างหนัก
“ฉันไม่ได้มาเพื่อเช็กว่านายย้ายออกไปแล้วหรือยังไม่ย้ายหรอก แค่มีเรื่องจะถามนิดหน่อยน่ะ แต่ติดต่อไม่ได้ก็เลยมาหา”
ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้เงยหน้าขึ้น
“ขอโทษนะครับ ช่วงนี้ผมไม่ได้ค่อยได้ดูโทรศัพท์เลย…ก็เลยไม่รู้ว่ามีสายเข้า”
กรรมการผู้จัดการคิมก้มมองแขนของอินซอบที่ผอมเหลือแต่กระดูกด้วยความกระวนกระวายใจ วันนั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็น เพราะอินซอบใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวบาง เขารู้สึกไม่ดี กรรมการผู้จัดการคิมถอนหายใจออกมายาวเหยียด
“อีอูยอนติดต่อมาบ้างไหม พวกโทรศัพท์ ข้อความ หรือจดหมายอะไรพวกนั้นน่ะ”
“คุณอีอูยอนเหรอครับ ทำไมครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
อินซอบถามกลับด้วยความตกใจ ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความกังวลใจทันที
“ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุอะไรหรอก ไม่ต้องกังวลนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมปลอบใจอินซอบก่อน
…แม้จะไม่ได้เกิดอุบัติเหตุ แต่ก็ต้องเป็นกังวล
เมื่อสองวันก่อนกรรมการผู้จัดการคิมใช้เส้นสายในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย และให้อีอูยอนเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล แม้เขาจะเตรียมพร้อมไว้สำหรับเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้น และนอนเฝ้าอีอูยอนที่เตียงสำหรับผู้ดูแล แต่ค่อยยังชั่วที่อีอูยอนรับบทของผู้ป่วยตามที่ได้รับมอบหมายอย่างจริงใจ ถ้าไม่นั่งอย่างหมิ่นเหม่บนเตียง หรืออ่านหนังสือ หรือฟังเพลง อีอูยอนก็ใช้เวลาไปกับการนอนหลับตาเฉยๆ
แม้จะคาใจกับภาพที่อีกฝ่ายก้มมองมือของตัวเองอย่างเหม่อลอยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับต้องกังวลอะไรมากมาย กลับกันเขากลับรู้สึกทนไม่ไหวกับความสงบสุขที่มากเกินไปหน่อยด้วยซ้ำ
สุดท้ายช่วงเช้าของวันนี้กรรมการผู้จัดการคิมก็บอกว่าจะไปนวดหลัง และออกจากห้องพักผู้ป่วยมา การนอนบนเตียงเสริมมาสามวันเป็นเรื่องที่หนักเกินอายุของเขาอย่างเห็นได้ชัด
‘อยู่คนเดียวได้ไหม’
‘ถ้ากังวลใจก็มัดผมไว้แล้วค่อยไปก็ได้ครับ’
เขาประมาทกับคำพูดเหน็บแนบที่อีอูยอนที่อ่านหนังสืออยู่พูดออกมาโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้น และนั่นก็เป็นเรื่องที่ผิดพลาด
พอเขากลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย อีอูยอนก็หายไปแล้ว แม้จะต่อสายหาอีอูยอนทันที แต่เสียงเรียกเข้าก็ดังอยู่ตรงข้างเตียง พอเช็กในตู้เก็บของ เสื้อผ้าที่อีอูยอนใส่มาก็ยังอยู่ที่เดิม ทันทีที่คิดถึงอีอูยอนที่เดินไปไหนมาไหนโดยที่สวมชุดผู้ป่วยอยู่ เขาก็รู้สึกหวาดหวั่น และกรรมการผู้จัดการคิมก็ขับรถมาที่บ้านของอินซอบทันทีที่ตรวจสอบแล้วว่าอีอูยอนไม่ได้อยู่ที่บ้านของตัวเอง