ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 3 ตอนที่ 6-8
“อีอูยอนทำตัวแย่มากใช่ไหม”
หัวหน้าทีมชาทำหน้าเอ็นดูพลางเอ่ยถาม ตนคิดไว้อยู่แล้วว่าอินซอบจะมาหา ดังนั้นจึงจงใจเอ่ยเรื่องของอีอูยอนขึ้นมาก่อน
“ไม่เลยครับ กลับเป็นผมเสียอีกที่ทำพลาดเยอะมาก…เรื่องเมื่อวานก็เหมือนกันครับ”
“แล้วเขาขอให้ใช้ค่าซ่อมรถคืนให้เหรอ”
หัวหน้าทีมชาตกใจไม่น้อยตอนที่ได้ยินเรื่องชดใช้ค่าเสียหายหลุดมาจากปากของอีอูยอน แม้จะเป็นคนที่มีนิสัยเสียเหมือนขยะ แต่อย่างน้อยอีอูยอนก็ไม่เคยดูถูกคนอื่น หรือทำตัวเป็นคนเค็ม[1] โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชเวอินซอบ
“แม้จะไม่ได้พูดจำนวนเงินที่แน่ชัด แต่ผมก็ตัดสินใจจะชดใช้ให้ครับ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชดใช้ให้อยู่แล้วล่ะครับ”
“…”
เขาอยากจะพูดว่า ดูเหมือนอีอูยอนจะใช้ค่าซ่อมรถเป็นข้ออ้างในการจูงจมูกนายนะ
“หมอนั่นมีเงินเยอะจนเงินจะเปื่อยอยู่แล้ว นายเอาเงินค่าซ่อมรถเข้ากระเป๋าตัวเอง และหนีกลับอเมริกาไปเลยก็ได้นะ”
หัวหน้าทีมชาให้คำเตือนที่เป็นเรื่องจริงไปแทน
“ผมจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาดครับ”
“นายไม่ทำอยู่แล้วล่ะ”
เพราะไม่ทำนี่แหละปัญหา หัวหน้าทีมชารินน้ำใส่แก้วก่อนจะพูดต่อ
“ทะเลาะกับอีอูยอนเหรอ”
อินซอบลังเลไปพักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถาม
“จากที่หัวหน้าทีมชาเห็น ดูเหมือนคุณอีอูยอนจะโกรธผมใช่ไหมครับ”
ตอนแรกอินซอบคิดว่าอีกฝ่ายแค่อารมณ์ไม่ดี แต่ก็ค่อยๆ คิดว่าไม่น่าจะใช่แบบนั้น เหตุผลที่เขามาหาหัวหน้าทีมชาในวันนี้ คือต้องการความคิดเห็นที่จับต้องได้จากบุคคลที่สาม
“ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นนิดหน่อยนะ มีเรื่องอะไรเหรอ”
“…ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
อินซอบตอบ มันคือความจริง เขาไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเพราะอะไรอีอูยอนถึงทำตัวเย็นชา
“เอาเถอะ ใครจะไปรู้ความคิดของคนแบบนั้นล่ะ ถ้ารู้ก็คงเป็นหมอแผนกจิตเวชไปแล้ว ไม่สิ หมอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
พวกเขากินข้าวต่อในความเงียบที่น่าอึดอัด พอกินข้าวเสร็จ หัวหน้าทีมชาก็ปอกผลไม้และเอาออกมาพร้อมไวน์
“ดื่มกันสักแก้วเถอะ”
“ผมไม่ดื่มครับ”
“งั้นก็รับไปเฉยๆ แล้วกัน”
หัวหน้าทีมชารินไวน์ใส่แก้วไวน์และยื่นให้
“กินแอปเปิลสิ อร่อยนะ เป็นแอปเปิลเก็บใหม่น่ะ ฉันขโมยมาจากบ้านกรรมการผู้จัดการคิม”
อินซอบใช้สองมือรับแอปเปิลมาอย่างมีมารยาท เขากัดแอปเปิลกรวบๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูด
“คราวก่อนโน้นคุณอีอูยอนบอกว่าอยากจะเลี้ยงแมวครับ”
“แมวเหรอ”
อินซอบพยักหน้าก่อนเอ่ยตอบ
“แต่ผมไม่สามารถตอบได้ทันที คงดูเหมือนมีอคติต่อคุณอีอูยอนน่ะครับ”
“…นั่นไม่ใช่อคติ แต่ความจริงไม่ใช่เหรอ คนแบบนั้นจะเลี้ยงสัตว์ได้ยังไง”
“เขาต้องเลี้ยงได้ดีแน่ครับ เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ”
“มีความรับผิดชอบอยู่แล้วล่ะ”
แต่ปัญหาก็คือเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ต่างหากล่ะ
หัวหน้าทีมชาจำคำพูดที่อีอูยอนพูดกับตัวเองในตอนที่มองถุงพลาสติกผิดเป็นแมว และหักพวงมาลัยหลบได้อย่างแม่นยำ
“เหมือนเขาจะเสียใจเพราะเรื่องนั้นน่ะครับ”
“…ไม่หรอก ไม่ใช่เรื่องนั้นแน่นอน”
“ผมเคยโทรศัพท์หาเขากลางดึกด้วยนะครับ หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องนั้นครับ”
“ถ้าฉันทำแบบนั้น เขาคงจะบอกว่าทำตัวไร้สาระไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับคุณอินซอบหรอก”
“แต่มันดึกมากเลยนะครับ”
“กี่โมงล่ะ”
หัวหน้าทีมชาเคี้ยวแอปเปิลก่อนจะเอ่ยถาม
“…ตีสองครับ”
หัวหน้าทีมชาครางรับในลำคอพลางขมวดคิ้ว
“ก็ดึกนะ ไม่สิ เขาทำตัวไร้สาระขนาดนั้นเลยเหรอ อย่างมากที่สุดก็มีแค่เรื่องที่ทำให้ตื่นเอง”
“เขาไม่ได้หลับอยู่ครับ”
อินซอบนึกถึงเสียงของอีกฝ่ายที่ไม่รู้สึกถึงความง่วงนอนเลยสักนิดในตอนที่โทรศัพท์ถูกรับก่อนจะเอ่ยตอบ
“ไอ้เวรเอ๊ย แล้วมันเป็นบ้าเพราะอะไรล่ะเนี่ย เขาเคยบอกว่ากำลังทำเรื่องสำคัญอยู่ในตอนนั้น แต่จริงๆ แล้วไปเจอผู้ยะ…”
หัวหน้าทีมชาตกใจกับคำพูดที่เผลอพูดออกมาจนกัดลิ้นตัวเอง สีหน้าของอินซอบที่ถือแอปเปิลไว้ในมือซีดเผือดจนน่าสงสาร
“คะ คงนอนอยู่คนเดียวแหละ เดิมทีหมอนั่นมักจะพาลอยู่แล้ว ถ้าถูกปลุกให้ตื่น เมื่อก่อนหน้าโดนผู้จัดการส่วนตัวคนไหนปลุกนะ ก็จะจับโยนออกไปเลย”
หัวหน้าทีมชาตั้งใจสะสางเรื่องให้เรียบร้อย
“เป็นเพราะเรื่องนั้นจริงๆ เหรอครับ”
อินซอบพึมพำพลางทำตาเศร้า
“ลองไปถามอีอูยอนเองดีกว่านะ”
“เคยถามแล้วครับ”
“แล้วไม่ได้พูดอะไรเลยเหรอ”
“…ครับ”
พอถามว่าโกรธเหรอ อีอูยอนก็ไม่ยอมตอบอะไร แต่ก็ไม่ได้ตอบว่าไม่โกรธเช่นกัน อีกฝ่ายเพียงแค่ถามตนกลับอย่างกะทันหันเท่านั้นว่ามีเรื่องที่อยากจะพูดหรือเปล่า และเขาจะกังวลทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น อินซอบนึกถึงเรื่องที่คิมคังอูเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้พร้อมกับคิดว่า มีคำพูดที่อีอูยอนรออยู่หรือเปล่านะ
“เหมือนเขาจะเป็นแบบนั้น เพราะผมยังดีไม่พอน่ะครับ”
หัวหน้าทีมชาลุกขึ้น นี่ไม่ใช่บรรยากาศที่จะจิบไวน์อย่างหรูหรา เขาจึงหยิบโซจูออกมาจากตู้เย็น
“ต้องได้รับอนุญาตจากหมอก่อนหรือเปล่าครับ”
อินซอบเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง และยังคงมีสายตาที่เชื่อเรื่องปริมาณยาที่อีอูยอนพูด หัวหน้าทีมชาถกชายขากางเกงให้ดูก่อนจะพูด
“ตอนนี้เกือบจะหายสนิทแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ”
“โล่งอกไปทีนะครับ ผมเป็นห่วงมากเลย”
ดวงตาของอินซอบที่พูดแบบนั้นใสแจ๋วชนิดที่ไม่มีความสงสัยอยู่เลยแม้แต่จุดเดียว
คนแบบนี้ตกหลุมพรางคนแบบนั้นได้ยังไงนะ…
หัวหน้าทีมชาเทโซจูใส่แก้วไวน์พรวดๆ และดื่มรวดเดียว
“คุณอินซอบ”
“ครับ”
น้ำเสียงจริงจังที่เอ่ยเรียกตนทำให้อินซอบตอบกลับอย่างประหม่า
“ทิ้งอีอูยอนซะ”
“ครับ?”
“ตอนนั้นฉันก็พูดนี่นา ว่าให้ทิ้งหมอนั่นไปซะ ตอนที่มันทำตัวไม่ดี เพื่อนน่ะหาได้ใหม่อยู่แล้ว”
คำว่าเพื่อนทำให้ปลายนิ้วของอินซอบกระตุก
“หมอนั่นไม่เปลี่ยนหรอก เขาเป็นคนไม่ดีนะ ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นแบบนั้น และต่อไปเขาก็จะเป็นแบบนั้นด้วย”
วันนั้นตอนที่อีอูยอนทำจมูกของคนที่ขับรถมาหาเรื่องหัก หัวหน้าทีมชาเป็นห่วงอินซอบก่อนเป็นอย่างแรก เพราะคิดว่าพอเห็นความบ้าคลั่งของไอ้บ้านั่นแล้ว อินซอบจะไม่ตกใจเหรอ แต่เขาก็เปลี่ยนความคิดในทันที และหวังให้อินซอบเลิกชอบอีกฝ่ายในโอกาสนี้
“ผมรู้ครับ”
อินซอบกะพริบตาช้าๆ
“…ผมไม่ได้หวังแบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ”
อินซอบดื่มไวน์เข้าไปรวดเดียว
“หะ ดื่มรวดเดียวได้เหรอ”
อินซอบไอเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
“แค่แก้วเดียวไม่เป็นไรหรอกครับ”
“งานเหนื่อยมากใช่ไหม”
มีความหมายแฝงอยู่ในคำว่ามาก อินซอบครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า
“นี่เป็นงานที่ผมชอบครับ ไม่เป็นไรหรอก”
เนื่องจากรู้นิสัยของอินซอบที่ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่ยอมพูดว่าเหนื่อยออกมา หัวหน้าทีมชาจึงสงสารเป็นอย่างมาก ในจังหวะที่กำลังจะพูดว่าต่อให้เป็นงานที่ชอบมากแค่ไหนก็เหนื่อยได้ เสียงกริ่งตรงประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้น
“ใคร? ไม่มีคนจะมาหานี่นา ใครครับ”
หัวหน้าทีมชารีบลุกขึ้น และวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้าน
“พี่เขย ผมเองครับ”
เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านนอกประตู หัวหน้าทีมชาจึงเปิดประตูให้
“ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์ล่ะครับ ผมโทรศัพท์หาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ โอ๊ะ! มีใครอยู่เหรอครับ อย่าบอกนะครับว่าเป็นผู้หญิง”
คิมคังอูพรวดพราดเข้ามาข้างในพร้อมกับพูดเพ้อเจ้อ แล้วก็เห็นอินซอบ
“ทำไมฮยองนิมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ”
“ก็มาเที่ยวเล่นน่ะสิ”
หัวหน้าทีมตีหัวคิมคังอูเบาๆ ก่อนจะพยักพเยิดหน้าให้ไปนั่งที่โซฟา
“อะไรเนี่ย กินข้าวกันแล้วเหรอครับ ผมซื้อไก่มาล่ะ”
“นั่งกินเหล้ากันสักแก้วสิ ฉันจะไปเอาเบียร์มาให้”
คราวนี้หัวหน้าทีมชาหยิบเบียร์ออกมา แล้วโต๊ะก็กลายเป็นปาร์ตี้เหล้าในคราวเดียว
“ว่าแต่ฮยองนิมมีธุระอะไรที่นี่เหรอครับ”
คิมคังอูเปิดกระป๋องเบียร์ เขาซดฟองเบียร์ที่พุ่งขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถาม
“แล้วนายมีธุระอะไรที่นี่ล่ะ ถึงได้มาโดยไม่บอกก่อน”
“เมื่อกี้ผมติดต่อมาแล้วนะครับ แต่พี่เขยไม่ยอมรับโทรศัพท์เองนี่”
“มีที่ไหนล่ะคนที่ติดต่อมาบอกว่าจะมาหาภายในวันเดียวกันนะ”
แม้หัวหน้าทีมชาจะต่อว่า แต่คิมคังอูก็ไม่สนใจ เขาหยิบน่องไก่มายื่นให้อีกฝ่าย หัวหน้าทีมชาถอนหายใจและรับน่องไป
“ฮยองนิมก็กินด้วยสิครับ”
คิมคังอูหาน่องไก่อีกข้าง และยื่นให้อินซอบ
“ฉันอิ่มแล้ว นายกินเยอะๆ เถอะ”
“ไม่นะ! ผมยกน่องไก่ให้เพราะผมเป็นคนใจกว้าง”
คิมคังอูรวบมือทั้งสองเข้าด้วยกันและก้มหัวอย่างหยอกเล่น
หัวหน้าทีมชาขอโทษทางสายตา เพราะเขารู้ว่าอินซอบตั้งใจมาปรึกษา อินซอบยิ้มให้เงียบๆ
“ว่าแต่นายมาทำไมกันแน่”
หัวหน้าทีมชาแทะน่องไก่พร้อมกับมองคิมคังอู
“ก็มาเพราะมีเรื่องจะพูดน่ะสิครับ ถ้าผมรู้ว่าฮยองนิมอยู่ ผมไม่มาวันนี้หรอกครับ”
คิมคังอูตอบราวกับถูกใส่ความ
“มีเรื่องอะไรจะพูดล่ะ รีบพูดมาเร็วๆ”
คิมคังอูชำเลืองมองราวกับจะสังเกตท่าทีของอินซอบ
“ผมกลับก่อนนะครับ เชิญทั้งสองคนคุยกันได้ตามสบายเลยครับ”
พออินซอบกำลังจะลุก คิมคังอูก็คว้าชายเสื้อของเขาไว้
“ไม่ต้องครับฮยองนิม ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก คือผมมาเพื่อที่จะพูดเรื่องคุณนักแสดงน่ะ ผมรู้สึกผิด เพราะฮยองนิมสนิทกับคุณนักแสดง ก็เลยเป็นแบบนั้นน่ะครับ”
“เรื่องอะไรของอีอูยอนล่ะ หมอนั่นว่าอะไรเหรอ”
“เปล่าครับ เขาไม่ได้ว่าอะไร…เขาไม่พูดกับผมเลยด้วยซ้ำ”
คิมคังอูบ่นพึมพำต่อ
“เขาเย็นชากับผมอย่างน่าประหลาดเลยครับ ผมก็พยายามจะเข้ากับเขาให้ได้อยู่นะ”
“ไม่ต้องพยายามหรอก”
หัวหน้าทีมชาเสนอทางแก้ให้อย่างเฉียบขาด
“แล้วช่วงนี้…”
คิมคังอูเกาหัวก่อนจะดื่มเหล้าที่เหลือ
“ช่วงนี้อะไร”
“เขาน่ากลัวมากเลยครับ”
ตอนแรกคิมคังอูนึกว่าตนคิดไปเอง เขาคิดว่าการที่อีกฝ่ายทำตัวเย็นชาใส่ หรือไม่ยอมสบตาในตอนที่อยู่ด้วยกันตามลำพังเป็นแค่การหลบหน้า แต่ช่วงนี้ทุกครั้งที่เขารู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองตนโดยไม่พูดอะไร เขาจะรู้สึกสยดสยองโดยไม่รู้สาเหตุ
“เขาไม่พูดว่าอยากได้อะไรจากผม ไม่ด่า แล้วก็ไม่ได้ตีด้วย แต่ผมเริ่มจะกลัวเข้าขึ้นเรื่อยๆ เลยครับ ผมมาเพื่อจะถามวิธีกับพี่เขยนี่แหละ ขอโทษนะครับฮยองนิม ที่ผมพูดแบบนี้ทั้งๆ ที่พวกพี่สนิทกัน”
“ไม่หรอก…ฉันเข้าใจ”
อินซอบเองก็เจอเป็นประจำเช่นกัน
“ไม่มีวิธีหรอก นี่เป็นความผิดของคิมฮักซึงคนเดียวเลย”
หัวหน้าทีมชาเปิดกระป๋องเบียร์และยื่นให้คิมคังอู ทั้งสองคนส่งกระป๋องให้แก่กันก่อนจะดื่มลงไป แล้วคิมคังอูก็ยื่นเบียร์ให้อินซอบที่กำลังนั่งใจลอย
“ฮยองนิมไม่ดื่มเหรอครับ”
“ฉันดื่มไปแก้วหนึ่งแล้วเมื่อกี้”
“งั้นก็ถึงตาที่จะต้องดื่มแก้วที่สองแล้วครับ”
อินซอบรับเบียร์มาถือ และจมอยู่ในความคิดเงียบๆ ท่ามกลางการพูดคุยที่เอะอะของคนทั้งคู่
เขาไม่เคยคิดว่าอีอูยอนเป็นคนดี และไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเพราะตัวเองด้วย ของแบบนั้นเป็นเพียงแค่ความอวดดีและความโลภ
ปัญหาคือตัวเขาเอง เขาระแวงอีอูยอนทุกครั้ง เพราะนิสัยที่ชอบหดหัวหนีอย่างขี้ขลาดของตน และนั่นก็ทำให้เขาเหนื่อย
“แล้วฮยองนิมไม่ไปเจอแฟนสาวเหรอครับ ช่วงนี้ไม่มีงาน น่าจะเหมาะกับการเจอกันนะครับ”
คำถามที่ไม่ได้มีเจตนาร้ายของคิมคังอูทำให้เมฆฝนปกคลุมอินซอบ
“ทำไมต้องถามถึงชีวิตส่วนตัวของคนอื่นด้วย”
หัวหน้าทีมชารีบปรามคิมคังอู
“เปล่านะ ผมแค่สงสัยเฉยๆ ครับ เพราะคิดว่าคราวนั้นก็ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่แม่น้ำฮันทีนึงแล้ว วันนี้ก็อากาศดีนะครับ”
“อื้อ อากาศดีจริงๆ”
อินซอบมาท้องฟ้าสีครามที่อยู่อีกฝั่งของระเบียงและตอบกลับอย่างอ่อนแรง
คิมคังอูสังเกตได้ว่าบรรยากาศไม่ดี จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด
“เออ จริงด้วยๆ คราวก่อนพี่เขยใหญ่บอกว่าให้รถเป็นของขวัญกับนักแสดงอีด้วยครับ เป็นแลมโบกินีสีเงิน อันที่เปิดประทุนได้น่ะ เห็นกันหรือยังครับ”
สีหน้าของอินซอบซีดเผือดในชั่วพริบตา
“…เห็นแล้ว”
“ถ้าเกิดว่าจะต้องขับรถคันนั้น ช่วยเรียกผมด้วยได้ไหมครับ ผมไม่หวังจะได้ขับหรอกนะครับ แค่จะชื่นชมอย่างเดียว”
“ก็ไปดูรถของคุณคิมฮักซึงสิ ตาแก่นั่นมีรถเยอะกว่าอีก”
หัวหน้าทีมชาช่วยตั้งรับไว้อีกครั้ง
“พี่เขยไม่ยอมเอารถมาให้ดูหรอกครับ พี่สาวบอกว่าเขารักรถยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยแต่งงานด้วยอีก”
“นั่นก็เป็นคำพูดที่ถูกนะ”
“เดิมทีพวกผู้ชายก็ชอบและรักรถมากกว่าอยู่แล้วนี่ครับ มีที่ไหนล่ะครับผู้ชายที่ไม่ชอบรถน่ะ”
คำพูดของคิมคังอูทำให้อินซอบเปิดกระป๋องเบียร์ที่ถืออยู่ พออินซอบเริ่มดื่มเบียร์ หัวหน้าทีมชาก็ทำหน้าเป็นห่วง
“ดื่มอีกได้เหรอ”
“พี่เขย ผมไปเอาเบียร์ออกมาจากตู้เย็นอีกได้ไหมครับ”
คิมคังอูดื่มเบียร์กระป๋องหมดโดยไม่รู้ตัว เขาลุกขึ้นพลางเอ่ยถาม หัวหน้าทีมชาทำมือเหมือนจะบอกว่าทำตามใจนายได้เลย
คิมคังอูดื่มเบียร์กระป๋องหมดอย่างต่อเนื่องโดยใช้ไก่เป็นกับแกล้ม และอินซอบก็ค่อยๆ จิบเบียร์กระป๋องหนึ่งไปเรื่อยๆ
ในไม่ช้าหน้าของอินซอบก็แดงเพราะเมา
“ฮยองนิมชอบแฟนตรงไหนเหรอครับ”
[1] คนเค็ม หมายถึง คนที่มีพฤติกรรมหวงของอย่างรุนแรง หรือเป็นขี้เหนียวมาก