ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 3 ตอนที่ 6-7
“เฮ้อ…”
เป็นอย่างที่เขาคิด ทันทีที่ออกมาจากที่จอดรถ ผู้คนก็เหลือบมองพร้อมกับส่งสายตาที่แฝงความอยากรู้อยากเห็นไว้มาให้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ขับรถแบบนี้คนเดียวโดยไม่มีอีอูยอนอยู่ข้างๆ มือที่กำพวงมาลัยเอาไว้ชื้นเหงื่อ เพราะไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ เขาก็รู้สึกอึดอัดและประหม่ากับการโดนคนอื่นมองอยู่ดี อินซอบขับรถอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้รถไปขูดกับลูกระนาด แต่แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจกับเสียงแตรที่ดังขึ้น รถที่มาจากทางตรงข้ามทำมือสั่งให้เขาถอยหลังไป ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้รู้ว่าตัวเองขับรถเข้ามาในช่องทางเดินรถทางเดียว
“ขอโทษครับ”
อินซอบเปิดหน้าต่างรถและรีบเอ่ยขอโทษก่อนจะค่อยๆ ถอยรถ การถอยรถนั้นไม่ง่าย เนื่องจากรถที่จอดกันอย่างผิดกฎหมายตามข้างทาง เขาจอดรถตรงข้างทางได้อย่างยากลำบาก และรถที่สวนมาก็ขับผ่านไปได้อย่างน่าหวาดเสียว
“ขออภัยในความไม่สะดวกครับ”
อินซอบเปิดหน้าต่างและกล่าวขอโทษอีกครั้ง พอเขาทำแบบนั้น คนที่ขับรถคันที่สวนมาก็เปิดหน้าต่างด้วย
“มันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้นี่ครับ รถสวยดีนะครับ”
พอได้รับคำชมในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน ใบหน้าของอินซอบก็แดงด้วยความเก้อเขินทันที
“ขอบคุณครับ”
ตอนนั้นเองใบหน้าของผู้หญิงที่นั่งตรงที่นั่งข้างคนขับก็โผล่เข้ามาในสายตาของอินซอบ ผู้หญิงคนนั้นก็จำอินซอบได้และเอ่ยทักทายเช่นกัน อินซอบก้มหัวให้โดยอัตโนมัติ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
อินซอบรู้ว่าประธานของคำถามนั้นไม่ใช่ตน และตอบกลับไปโดยอัตโนมัติว่า “ครับ ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นไว้เจอกันนะคะ”
เธอส่งสายตาให้เบาๆ และรถคันที่สวนมาก็ปิดหน้าต่างก่อนจะขับหายไป
“…”
อินซอบจับพวงมาลัยอย่างเหม่อลอยและจมอยู่กับความคิด
นี่เป็นย่านหรูที่มีบ้านราคาแพง และคงเป็นที่ที่พวกดาราอยู่กันเยอะด้วย แม้จะคิดว่าคงเป็นหนึ่งในสองอย่างนั้น แต่มือที่กำพวงมาลัยไว้กลับเย็นขึ้นมา
แล้วทำไมแชยอนซอถึง…
ตอนนั้นเองเสียงแตรก็ดังขึ้นอีกครั้ง รถยนต์สีกรมทำมือขอให้เขาถอยหลังไปอีกนิด
“ขะ ขอโทษครับ”
อินซอบรีบขอโทษ และกดปุ่มถอยหลังตรงเกียร์ก่อนจะดึงตัวจับตรงพวงมาลัย แต่รถที่คิดว่าจะขยับไปข้างหลังกลับพุ่งออกไปข้างหน้า เขาเหยียบเบรกด้วยความตกใจ แลมโบกินีชนเข้ากับเสากั้นที่ทำจากหินที่ถูกตั้งไว้ตรงถนนพร้อมกับเสียงดัง โครม
“อ่า…”
ความผิดพลาดที่ไม่เคยทำเลยสักครั้งทำให้อินซอบตื่นตระหนก และพยายามจะถอยรถไปด้านหลังอย่างลนลาน
“…!”
เสียงรถบุบและเสียงกระแทกดัง โครม ดังขึ้นพร้อมกัน คราวนี้กันชนได้ชนเข้ากับที่กั้นถนน เพราะไม่ได้มองด้านหลังให้ดี มันไม่จบลงแค่นั้น อินซอบหักพวงมาลัยและทำให้ช่วงล่างของรถครูดเป็นทางยาว เพราะคิดว่าจะเอารถออกไปอย่างไรดี อินซอบที่ทำให้รถพังทั้งข้างหน้า ข้างหลัง และด้านข้างได้อย่างน่าประทับใจตัวแข็งอยู่อย่างนั้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
คนขับรถรีบวิ่งมาหาด้วยความตกใจ เพราะภาพน่ากลัวที่เกิดขึ้นตรงหน้า แล้วคนที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มมารวมกันและส่งเสียงดังโหวกเหวก
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่สงสัยไม่ได้เลยว่าเป็นการเมาแล้วขับ หรือเป็นการขับรถโดยไม่มีใบขับขี่หรือเปล่า พอหน้าต่างฝั่งคนขับถูกเลื่อนลง และปรากฏภาพของเด็กหนุ่มที่หน้าซีดเผือด คนขับรถยนต์ก็ห้ามความสงสารไว้ไม่ได้
“…รบกวนหน่อยครับ”
อินซอบพูดอย่างยากลำบากด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา
“ช่วยเรียกตำรวจ…ให้หน่อยครับ”
***
พอชายคนหนึ่งเปิดประตูสถานีตำรวจและเข้ามายืน ก็ทำเกิดฉากที่เหมือนกับจะมีใครสักคนตะโกนว่า “คัท” ออกมา
“ปะ เป็นอะไรมาเหรอครับ”
ตำรวจเองก็ประหม่าขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว และพูดอึกอัก ชายหนุ่มไม่ตอบและมองไปรอบๆ พอสบตากับอินซอบที่นั่งกอดกระถางอย่างเหม่อลอยอยู่ที่เก้าอี้ เขาก็เดินไปหาอีกฝ่าย
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ขอโทษครับ เป็นเพราะผมขับรถอย่างประมาท…”
อินซอบที่หงอยพูดต่อโดยที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
“เขาบอกว่าต้องเปลี่ยนประตูฝั่งข้างคนขับกับกันชนหน้าหลังครับ แล้วก็ยังบอกว่าอีกว่าต้องลองไปโรงงานถึงจะรู้ได้อย่างแน่ชัด และต้องใช้เวลานานมาก ขอโทษนะครับ”
ในขณะที่ตัวสั่นระริก อินซอบก็ยังรายงานข้อมูลที่ตนรู้ได้อย่างถูกต้อง
“ใครเขา…”
ใครบางคนดึงไหล่เขาไว้ก่อนที่อีอูยอนจะขึ้นเสียง
“นายมาทำอะไรที่นี่”
หัวหน้าทีมชานั่นเอง รูปตาของอีอูยอนบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว
“แล้วหัวหน้าทีมชามาทำอะไรที่นี่ล่ะครับ”
“จะเรื่องอะไรล่ะ ก็มาเพราะได้รับการติดต่อจากคุณอินซอบน่ะสิ ไม่ต้องห่วงนะ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรอก ก็แค่รถชนกับเสากั้นเท่านั้น ฉันเรียกประกันมาจัดการหมดแล้ว”
“แล้วทำไมถึงเอาคนมาไว้ที่สถานีตำรวจล่ะครับ”
“คุณอินซอบคงจะมาเองน่ะ คงนึกว่าจะโดนจับใส่กุญแจมือเข้าไป จริงๆ แค่จ่ายเงินชดใช้ไปก็ได้แล้ว ว่าแต่ใครติดต่อนายไปล่ะ”
อีอูยอนไม่ตอบคำถามของหัวหน้าทีมชา และหันตัวไป หัวหน้าทีมชาด่าอีกฝ่ายเร็วๆ ในใจไปห้าครั้งได้ว่า ‘ไอ้คนไร้มารยาทเอ๊ย’
“ทำไมถึงไม่โทรศัพท์หาผมล่ะครับ”
คำถามของอีอูยอนทำให้อินซอบก้มหน้าลงกว่าเดิม การติดต่อเจ้าของรถก่อนเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว
“ขอโทษครับ ผมไม่สามารถติดต่อไปได้ เพราะอาจจะทำให้คุณลำบาก หากต้องมาที่สถานีตำรวจอีกครั้งด้วยเรื่องแบบนี้”
นี่เป็นเหตุผลที่เขาพอจะคาดเดาได้ แต่ใบหน้าของอีอูยอนกลับไม่ผ่อนคลายลงเลย
“แล้วเขาจะติดต่อนายไปในสถานการณ์แบบนี้ทำไมล่ะ ยังไงก็จัดการหมดแล้ว ออกไปเถอะ ไม่มีอะไรเลยนะถ้านายโดนถ่ายรูปที่มาสถานีตำรวจไว้ นายก็รู้นี่ว่าที่นี่เป็นย่านที่ได้ชื่อว่าปลายนิ้วโดนบาดก็ถึงตายได้แล้ว”
หัวหน้าทีมชาดึงอีอูยอนออกมาพลางพูดต่อ
“ยิ่งไปกว่านั้นคุณอินซอบก็ตกใจมากด้วย คนที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลยสักครั้งทำรถที่แพงขนาดนั้นชน”
อีอูยอนก้มมองอินซอบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก อินซอบไม่ยอมสบตาและตัวสั่นเทา
เขาเพิ่งจะมีอะไรกับอีกฝ่ายเหมือนหมา และปลดปล่อยน้ำเชื้อจนเต็มท้องของอินซอบเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง อีอูยอนอยากจะถามอินซอบว่าคิดว่าคนที่แค่เห็นช่องทางด้านหลังของคุณก็มีอารมณ์จนไอ้นั่นตั้งจะเสียดายกับค่าซ่อมเล็กน้อยพวกนี้เหรอ
“ขอโทษครับ ผมจะชดใช้ความเสียหายที่ผมก่อทุกอย่างครับ”
หากรวมค่าแรงของช่างกับค่าอะไหล่ไปแล้วก็เกือบๆ ร้อยล้านวอน แต่นี่ไม่ใช่จำนวนเงินที่อีอูยอนจะต้องใส่ใจด้วยซ้ำ
“จะชดใช้ยังไงเหรอครับ”
คนที่ตกใจกับคำถามของอีอูยอนที่สุดกลับเป็นหัวหน้าทีมชา
“ว่าไงนะ เฮ้ย ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ทำไมจู่ๆ คนที่มีเงินเยอะจนจะเปื่อยอย่างนายถึง…”
หัวหน้าทีมชาหุบปากอย่างรวดเร็ว สายตาเย็นชาของอีอูยอนไล่มองหน้าของหัวหน้าทีมชา เขาที่ใช้เวลาอยู่กับอีอูยอนมากที่สุดถัดจากชเวอินซอบเข้าใจได้ด้วยสัญชาตญาณว่าแววตาที่ป่าเถื่อนนั้นหมายความว่าอะไร
หุบปากไปครับ
“…ผมจะใช้คืนครับ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม”
พอได้ยินคำตอบของอินซอบ อีอูยอนก็ยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง หัวหน้าทีมชาที่เห็นท่าทางนั้นใช้มือข้างหนึ่งลูบแขนอีกข้างที่ขนลุกซู่
“เอ่อ อย่าทำแบบนั้นที่นี่เลย ลุกกันเถอะ ยังไงก็จัดการทุกอย่างเสร็จแล้วนี่”
คำพูดของหัวหน้าทีมชาทำให้อินซอบลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง
“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะครับ ลาล่ะครับ”
อินซอบเอ่ยลาพวกตำรวจอย่างมีมารยาทแม้แต่ในเวลาแบบนั้นและออกจากสถานีตำรวจไป พอออกมากข้างนอก อีอูยอนก็แย่งกระถางต้นไม้ที่อินซอบถืออยู่ไป ความอ่อนโยนห่วยแตกของอินซอบที่ดูแลแม้กระทั่งต้นไม้ในช่วงเวลาแบบนั้นทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้
“ผมถือเองครับ”
แต่อีอูยอนไม่แม้แต่จะทำเป็นได้ยิน จำเป็นต้องทำตัวมีมารยาทอย่างไม่มีมารยาทขนาดนั้นเลยเหรอ หัวหน้าทีมชาคิด
“อีอูยอน นายจะรับเงินจริงๆ เหรอ”
หัวหน้าทีมชาเหลือบมองอินซอบที่หงอยพลางเอ่ยถาม
“แล้วหัวหน้าทีมเกี่ยวอะไรด้วยครับ”
“นายไม่ควรนะ การรับเงินจากอินซอบมัน…”
“ไม่ครับ ผมเป็นคนทำให้เกิดอุบัติเหตุนะครับ ถ้าทำของของคนอื่นพัง ก็ต้องรับผิดชอบครับ”
อินซอบรีบขัดจังหวะการพูดของหัวหน้าทีมชา สายตาของอีอูยอนคมกริบ
“ใช่ครับ ต้องรับผิดชอบสิครับ เพราะเป็นของของคนอื่น”
“…เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบกลับเข้าสู่โหมดนักโทษอีกครั้ง เขาเอ่ยตอบพร้อมกับรวบมือทั้งสองไว้ด้วยกัน และใบหน้าก็เหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แม้จะเห็นท่าทางนั้น แต่อีอูยอนก็ไม่ยอมปลอบอินซอบ
อ่า อารมณ์เสียจริงๆ สินะ
หัวหน้าทีมชาเข้าใจสภาพจิตใจของอีอูยอนอย่างถ่องแท้ในทันที
“ขึ้นไปสิครับ”
อีอูยอนเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับของรถตนเองให้
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเดินจากที่นี่กลับบ้านได้ครับ”
“ใครบอกว่าจะกลับบ้านเหรอครับ เราจะไปตรวจที่โรงพยาบาลต่างหากครับ”
“ผมไม่ได้บาดเจ็บครับ จริงๆ นะครับ”
เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าอินซอบไม่ได้บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
“คุณอินซอบเป็นหมอเหรอครับ”
อย่างไรก็ตาม อีอูยอนกลับไม่สนใจความเห็นของอินซอบ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา อินซอบต้องขึ้นไปนั่งบนรถของอีอูยอนอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ขอตัวก่อนนะครับ”
อีอูยอนบอกลาหัวหน้าทีมชา และขับรถจากไป
…พอเห็นแบบนั้นแล้ว ความรักที่หวานจนเหมือนจะอ้วกคงเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง
หัวหน้าทีมชาเอียงคอ และตัวสั่นเทาทันที เขานึกถึงความทรงจำที่เกาะเชจูที่ไม่อยากจะนึกถึง
“อย่าไปนึกถึงสิ เฮ้อ”
หัวหน้าทีมชาปัดมือไปมาราวกับพยายามจะสลัดภาพที่นึกขึ้นในหัวทิ้งก่อนจะขึ้นรถ
***
พอได้ยินเสียงกริ่งประตูหน้าบ้าน หัวหน้าทีมชาก็รีบเปิดอินเทอร์โฟนทันที
“ใครครับ”
[สวัสดีครับหัวหน้าทีม ผมชเวอินซอบเองครับ]
หัวหน้าทีมชามองใบหน้าที่ถูกฉายขึ้นบนหน้าจออินเทอร์โฟน และรีบเปิดประตูให้ก่อนจะออกไปตรงประตูหน้าบ้าน
“เข้ามาเลยคุณอินซอบ”
“สวัสดีครับ นี่ครับหัวหน้าทีม”
อินซอบยื่นกล่องเค้กกับไวน์ให้
“ไม่เห็นต้องซื้อของพวกนี้มาเลย แต่ก็ขอบใจนะ”
เขารับของขวัญ และทำมือสั่งให้อินซอบรีบเข้ามา อินซอบเข้าไปในบ้านหลังจากที่ถอดรองเท้า และวางให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว
“รบกวนด้วยครับ”
“รบกวนอะไรล่ะ นั่งตรงนั้นนะ”
หัวหน้าทีมชาชี้ไปที่โซฟาในห้องนั่งเล่น อินซอบนั่งลงอย่างเรียบร้อย
“ข้าวเย็นไหม”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ฉันยังไม่ได้กินเลย งั้นฉันคงจะต้องกินคนเดียวเหงาๆ แล้วล่ะ”
คำพูดของหัวหน้าทีมชาทำให้อินซอบรีบเปลี่ยนคำพูดเป็น “ผมจะกินด้วยครับ” อย่างรวดเร็ว หัวหน้าทีมชาหัวเราะพร้อมกับเดินไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมอาหาร
“ผมช่วยครับ”
“ไม่ต้อง แขกจะมาช่วยอะไรกัน”
ในขณะที่อินซอบทำตัวไม่ถูก หัวหน้าทีมชาก็เตรียมส่วนประกอบอย่างชำนาญ และเริ่มทำอาหาร
“ทำอาหารเก่งนะครับ”
พอเห็นการขยับมีดที่ไม่ธรรมดา อินซอบก็พูดราวกับอิจฉา
“ถ้าใช้ชีวิตเป็นพ่อม่ายมานาน สกิลในการเอาตัวรอดก็จะเพิ่มขึ้นเองแหละ กินมะเขือยาวได้ไหม”
อินซอบพยักหน้า
“แล้วมื้อเย็นของคุณอินซอบเป็นยังไงล่ะ”
“ถ้าเลิกงานดึก ผมก็จะซื้อจากข้างนอกมากินครับ”
“แล้วถ้าเลิกเร็วล่ะ”
“…ก็ซื้อกินเหมือนกันครับ”
หัวหน้าทีมชาหัวเราะราวกับรู้อยู่ว่าแล้วต้องเป็นแบบนั้น
“ผมทำอาหารเป็นนะครับ แต่ถ้ากินคนเดียว วัตถุดิบก็จะเหลือเยอะมาก…”
อินซอบรีบพูดต่อคล้ายกับจะแก้ตัว เพราะรู้สึกอาย
“ถ้าอยู่คนเดียวก็เป็นแบบนั้นแหละ”
หัวหน้าทีมชาใส่เครื่องปรุงและซอสลงในกระทะก้นลึก และผัดให้เข้ากับมะเขือยาวอย่างชำนาญ กลิ่นหอมกระจายไปทั่วห้องครัวทันที
“ช่วยตักข้าวตรงนั้นให้หน่อยได้ไหม พอดีซุปกำลังเดือดน่ะ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบรีบลุกไปตักข้าวใส่ถ้วย และจัดเรียงอาหารเย็นที่ยอดเยี่ยมลงบนโต๊ะกินข้าวทันที
“นี่ฉันได้ลองแสดงฝีมือหลังจากที่ไม่ได้แสดงมานานเลยนะ ไม่รู้ว่ารสชาติจะถูกปากไหม”
“ไม่เลยครับ ขอโทษนะครับที่ต้องมาทำเรื่องที่ไม่จำเป็นเพราะผม”
“กินเยอะๆ ล่ะ ทำไมเวลายิ่งผ่านไปนานยิ่งผอมเนี่ย”
เขาไม่ได้แค่พูดไปตามมารยาท เพราะสีหน้าของอินซอบในช่วงนี้ดูไม่ดีจริงๆ ส่วนสาเหตุก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว หัวหน้าทีมชาจึงคิดว่าอย่างน้อยก็อยากจะให้อีกฝ่ายกินข้าวให้อิ่ม ดังนั้นเมื่ออินซอบส่งข้อความมาถามว่าวันนี้เข้าไปหาได้หรือไม่ หัวหน้าทีมชาจึงออกไปจ่ายตลาดทันที
“จะทานแล้วนะครับ”
อินซอบกล่าวอย่างมีมารยาทและเริ่มกินอาหาร
“เรียนการใช้ตะเกียบมาจากใครเหรอ”
หัวหน้าทีมชาเอ่ยถามเมื่อเห็นการใช้ตะเกียบอย่างเรียบร้อยของอินซอบ
“พ่อครับ”
“คุณพ่อคุณแม่ดูจะเป็นคนดีมากเลยนะ”
“ครับ พวกท่านเป็นคนดีจริงๆ ครับ”
สีหน้าไร้เรี่ยวแรงของอินซอบเปลี่ยนไปทันที ส่วนหนึ่งในจิตใจของหัวหน้าทีมชารู้สึกขมขื่น และคิดว่าอยากจะให้อินซอบใช้ชีวิตที่มีคนล้อมรอบมากกว่านี้อีกสักหน่อย