ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 3 ตอนที่ 6-15
“ยังไงการที่คุณอินซอบถูกพ่อแม่ที่แท้จริงทิ้งก็เป็นเรื่องโชคดีครับ ผมคิดว่าการที่เขาเติบโตมาภายใต้การดูแลของพ่อแม่ที่แท้จริงไม่น่าจะใช่เรื่องดี”
อีอูยอนแกว่งแก้วที่มีน้ำแข็งอยู่เบาๆ เขาฟังเสียงน้ำแข็งกระทบกันดัง ขลุกขลัก ก่อนจะหลุบตามองต่ำ
“รักแรกของชเวอินซอบคือผมเองครับ โชคร้ายมากเลยใช่ไหมล่ะครับ พ่อแม่ก็เป็นแบบนั้นแล้วแท้ๆ ทำไมครั้งแรกของเขาถึงดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นหมดก็ไม่รู้นะครับ”
อีอูยอนจิบเหล้าไปอึกหนึ่ง
“ถ้าเด็กคนนั้นเลิกกับผม เขาก็คงจะได้เจอกับคนที่ดีกว่า ไม่ว่าใครก็คงจะดีกว่าผมทั้งนั้นแหละครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมแอบตกใจไม่น้อย เพราะเขาไม่นึกไม่ฝันเลยด้วยซ้ำว่าคำพูดที่ปกติและมีความเป็นมนุษย์แบบนั้นจะหลุดออกมาจากปากของอีอูยอน
“นายเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายขะ…”
จิตสำนึกที่มีทำให้กรรมการผู้จัดการคิมไม่กล้าขยับปาก อีอูยอนเป็นคนเลวร้ายจริงๆ
“เลิกพูดสิ่งที่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ เถอะครับ เพราะถึงจะได้ยิน แต่มันไม่ได้ช่วยปลอบใจเลยสักนิด”
“ขอบใจ”
กรรมการผู้จัดการคิมถอนหายใจดังเฮือกเหมือนของที่แบกอยู่ถูกเอาออกไป เขาสังเกตอีอูยอนก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างระมัดระวัง
“แล้วไอ้คนที่รู้เรื่องนั้นดีจะยกวิลล่าให้ทำไมกันแน่ คิดว่าถ้าให้เงินห้าพันล้านแล้วนายจะกลายเป็นคนที่ดีขึ้นเหรอ”
“ถามว่า ‘ถ้าให้เงินห้าพันล้านแล้วจะเป็นคนที่ดีขึ้นเหรอ’ งั้นเหรอครับ”
“ใช่แล้ว คิดดูดีๆ ล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมพยักหน้าเบาๆ แม้ว่าตัวของอีอูยอนเองอาจจะเลือกพลาดด้วยความคลั่งไคล้และความเป็นเด็กในช่วงหนึ่งก็ตาม แต่การช่วยควบคุมสิ่งนั้นก็เป็นหน้าที่ของกรรมการผู้จัดการบริษัท
“ถ้าให้ ก็ต้องให้ทั้งหมดสิ”
“ใช่แล้ว ต้องให้ทั้งหมด…ว่าไงนะ”
บรรยากาศที่ปั่นป่วนหมุนวนอยู่รอบๆ กรรมการผู้จัดการคิมไม่เชื่อหูตัวเอง
“ผมจะให้ชเวอินซอบเป็นผู้รับมรดกของผมครับ ผมว่าจะมาพบกรรมการผู้จัดการสักครั้งเพราะเรื่องนั้นอยู่พอดี เยี่ยมจริงๆ เลยครับ”
“พะ พูดอะไร…ไม่สิ เดี๋ยวก่อน มรดกเหรอ ทรัพย์สินของนายทั้งหมดน่ะเหรอ”
“ครับ”
อีอูยอนตอบราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
“นี่นายมีสติอยู่กับปัจจุบันหรือเปล่า เฮ้ย แป๊บนึงนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมกลืนน้ำเย็นลงคอ และดื่มน้ำเข้าไปติดๆ กัน เพราะรู้สึกว่าแค่แก้วเดียวยังไม่พอ
“เฮ้อ ได้ ดี เอาล่ะ ลองพูดมาซิ”
อีอูยอนเอียงคอ
“พูดเรื่องอะไรครับ ก็ตามที่ผมพูดไปยังไงล่ะครับ ว่าจะให้ชเวอินซอบเป็นผู้รับมรดกของผม”
“นายคิดว่ามันเหมือนกับการยกบ้านหลังหนึ่งให้เหรอ ถ้าเกิดปัญหาตามมาจะทำยังไง ไม่สิ ถ้าครอบครัวของนายฟ้องร้องเพื่อเรียกสิทธิ์ในการเป็นผู้จัดการมรดกเดี๋ยวนี้จะทำยังไง!”
“ครอบครัวของผมไม่สนใจเงินแค่ไม่กี่สตางค์นั่นหรอกครับ ไม่สิ พวกเขาคิดว่าการเกี่ยวข้องกับผมเป็นเรื่องน่ากลัวอยู่แล้ว”
โชคร้ายที่นี่เป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผล กรรมการผู้จัดการคิมกุมหน้าผาก
“เพราะอะไรกันแน่!”
คนที่เพิ่งพูดอย่างคนปกติอยู่เมื่อกี้ว่าถ้าอินซอบเลิกกับตนไปแล้ว ต่อให้คบกับใครใหม่ ก็คงจะดีกว่าตนอย่างแน่นอน อยู่ๆ ก็จะยกทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองให้ เพราะคิดว่าเงินแค่ห้าพันล้านยังไม่พอ อีอูยอนเป็นคนที่ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยวิธีคิดของคนธรรมดา
“ผมจะทำให้เราเกี่ยวข้องกันด้วยความสัมพันธ์ทางกฎหมายครับ”
ความตกใจฉายชัดในดวงตาของกรรมการผู้จัดการคิม
“กะ เกี่ยวข้องกันแล้วจะทำอะไรได้”
“คุณก็รู้นิสัยของชเวอินซอบไม่ใช่เหรอครับ คุณว่าพอเขารับทรัพย์สินของผมไปแล้ว เขาจะกล้าบอกเลิกผมเหรอครับ”
“ตามนิสัยแล้ว อินซอบจะไม่เซ็นสัญญานั้นตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ”
“เพราะอย่างนั้นผมถึงจะทำให้เขาเซ็นยังไงล่ะครับ”
ใบหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมซีดเผือด
“…อีอูยอน ก็อย่างที่ฉันเคยพูดไปแล้ว การกักขัง การข่มขู่ และการใช้กำลังเป็นเรื่องผิดกฎหมายนะ”
“แล้วใครบ้างจะไม่รู้ล่ะครับ”
อีอูยอนพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าเหมือนจะพูดว่าถามมาได้
“แล้วนายจะทำยังไงให้ได้ลายเซ็นของเขามาล่ะ”
แม้อินซอบจะนุ่มนิ่ม แต่กลับใจแข็งและไม่ยอมแพ้กับจุดที่ตัวเองคิดว่าไม่ถูกต้องง่ายๆ ดูได้จากการที่เขาทิ้งคนรักที่ร่ำรวยถึงขนาดที่มีเงินเหลือ แม้จะใช้ชีวิตอย่างหรูหราไปสามชั่วโคตรไว้ และเช่าวิลล่าเก่าๆ อยู่
“ก็ทำตัวให้ดูดีในสายตาเขาไงครับ”
ใบหน้าของอีอูยอนสวยจนคิดว่านี่เป็นคำพูดล้อเล่น แต่จิตวิญญาณของเขาชั่วร้ายมากเสียจนคิดว่านี่เป็นคำพูดจริง
“ความหน้าตาดีไม่ใช่ทุกอย่างนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมทิ้งอดีตที่เคยถูกใบหน้านั้นล่อลวงจนยอมต่อสัญญาไว้ข้างหลัง และตำหนิอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
“งั้นคิดว่าหน้าตาขี้เหร่จะเป็นตัวช่วยในสถานการณ์นี้เหรอครับ”
“…”
“ผมกำลังพยายามทำตัวให้ดีอยู่ครับ ถึงขนาดที่ต่อให้ชเวอินซอบทำตัวไม่ดี ผมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น”
กรรมการผู้จัดการขมวดคิ้ว
“หมายถึงที่อินซอบทำรถพังน่ะเหรอ”
พอเป็นอย่างนี้เขาชักจะเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วว่ารถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุเป็นฝีมือของอีอูยอนหรือเปล่า
“ความรู้สึกผิดนั่นเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ผมได้ลายเซ็นอยู่แล้วสิครับ”
การโยนกุญแจรถแลมโบกินีให้อินซอบนั้นเป็นจิตใจที่คิดปองร้ายต่ออีกฝ่ายร้อยเปอร์เซ็นต์ วินาทีที่ได้ยินว่าฝ่ายนั้นขอรถที่ต่อให้เกิดอุบัติเหตุก็ไม่เป็นไร เขาจึงโกรธเลือดขึ้นหน้าและพ่นคำด่าออกไป
ต่อให้อินซอบจะเอารถราคาแพงแค่ไหนไปชน เขาก็ไม่สนใจเลยสักนิด แต่การที่อินซอบบาดเจ็บเป็นเรื่องที่ต่างออกไป
ตอนที่ได้ยินว่าเกิดอุบัติเหตุในวันนั้น สมองของเขาก็ขาวโพลน และเกือบจะเกิดอุบัติเหตุอยู่หลายครั้งในระหว่างที่ขับรถไปสถานีตำรวจ วินาทีที่เห็นอินซอบนั่งเหม่อลอยอยู่ในสถานีตำรวจ อีอูยอนก็ได้รู้ ว่าตัวเองคงจะไม่ได้แก่ตายแน่ๆ เพราะเด็กคนนั้น
แม้จะได้รับการยืนยันจากโรงพยาบาลว่าอินซอบปกติดี แต่ความกังวลใจของเขาก็ไม่ได้คลายลง เขามักจะฝันร้ายอยู่เสมอในวันที่อินซอบป่วย หรือมีอาการไม่ดี ในวันแบบนั้น ต่อให้หลับไปแล้ว เขาก็จะมาหาอินซอบที่บ้านด้วยข้ออ้างว่ามาเยี่ยม และกอดอีกฝ่ายจนหลับไป
เขามักจะสับสนวุ่นวายใจกับความไม่แน่ใจที่รู้สึกทุกครั้งที่กอดอินซอบไว้ในอ้อมกอด เขาทั้งรู้สึกโล่งใจและหวาดกลัวไปพร้อมกัน ยิ่งอินซอบสำคัญมากเท่าไร ความกลัวของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
เขามักจะคิดอยู่เสมอในขณะที่มองอินซอบที่กอดเขาไว้ตอนหลับว่าถ้าหากวันหนึ่งเขาทำสิ่งนี้หายไปอีกครั้ง เขาคงจะทนไม่ไหว
ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะตรวจสุขภาพอวัยวะภายในของชเวอินซอบทุกวันเพื่อยืนยัน
เขาถามถึงเหตุผลที่เกิดอุบัติเหตุในระหว่างที่พาอินซอบกลับบ้าน
เขานึกถึงเสียงของพนักงานจากบริษัทประกันที่อธิบายสภาพรถว่า ‘ชนทั้งข้างหน้าข้างหลัง และข้างๆ ได้อย่างน่าประทับใจเลยครับ’ ก่อนจะเดาะลิ้น เรื่องที่อินซอบผู้ขับรถอย่างระมัดระวังจะตื่นตระหนกถึงขนาดนั้นไม่สามารถเห็นได้ง่ายๆ จะต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ
‘จู่ๆ ลูกหมาก็กระโดดออกมาน่ะครับ ผมก็เลย…’
เขารู้สึกคลื่นไส้ทันทีที่ได้ยินคำตอบ เขาเพิ่งได้ประสบกับอาการที่ท้องไส้ไม่ดีหลังได้ยินเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้มากๆ เป็นครั้งแรก
‘แค่นั้นเหรอครับ’
ชเวอินซอบอ่อนโยนเสียเหลือเกิน แม้จะรู้ว่าตัวเองได้แทรกเข้าไปในนิสัยอ่อนหวานและใจดีของมนุษย์ที่ชื่ออินซอบเอง แต่ก็อดที่จะรู้สึกไม่พอใจไม่ได้
‘ขอโทษครับ’
อินซอบสะอื้น แม้จะชอบใบหน้าตอนร้องไห้ของอินซอบ แต่วันนั้นใบหน้านั้นกลับไม่เข้ามาในสายตาเลย
ต้องทำยังไง ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะไม่ทำให้ร่างกายของคุณที่ล้ำค่ายิ่งกว่าชีวิตของผมเป็นรอยแม้แต่รอยเดียว และผมต้องทำยังไงถึงจะสามารถทำให้คุณอยู่ข้างๆ ผมตลอดไปก่อนที่คุณจะได้สติและจากผมไป
อีอูยอนลูบแผลตรงคิ้วของอินซอบพลางเคี้ยวความรู้สึกที่เหนียวและแข็งนี้ลงไป
‘ผมจะเอาในสิ่งที่ผมอยากได้ครับ’
วันเสาร์นี้มีพิธีมอบรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์ เขานึกถึงคำพูดที่พูดเหมือนล้อเล่นว่า ‘ถ้าได้รางวัลใหญ่ เขาจะขออินซอบแต่งงาน’
เขาคิดว่าจะชวนอีกฝ่ายมาอยู่ด้วยกัน และบอกอีกฝ่ายว่า “ถ้าคุณไม่อยากมาอยู่บ้านผม ผมก็จะไปอยู่ที่บ้านคุณเอง เพราะผมจะยกบ้านนี้ให้คุณ และสิ่งที่คุณต้องการไม่ว่าจะหมา หรือแมว ถ้าอยากจะเลี้ยงอะไรก็เลี้ยงเลย” และตั้งใจจะทำตัวน่ารักอ้อนอีกฝ่ายว่า “ไหนๆ ก็จะเลี้ยงแล้ว ช่วยแบ่งห้องให้ผมสักห้องนะครับ”
และอินซอบก็ใกล้จะช่วยงานอยู่ข้างๆ เขาเสร็จแล้ว เขาจึงต้องการข้ออ้างที่จะรั้งอีกฝ่ายไว้ได้ แต่เขาก็คิดว่าแค่นั้นยังน้อยเกินไป เขาอยากจะเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายในทุกๆ ทาง และวางแผนที่จะถูกมัดรวมอยู่ในชีวิตของอินซอบอย่างเหนียวแน่นโดยไม่เลือกไม่วิธี
“นายรู้ใช่ไหมว่าถ้าอินซอบเซ็นเอกสาร นายจะต้องอยู่กับเด็กนั่นไปชั่วชีวิต”
“ผมก็จะเอาลายเซ็นมาเพื่อสิ่งนั้นแหละครับ”
“ทำไมมันถึงเหมือนกับการของแต่งงะ…อ่า ไม่ใช่”
กรรมการผู้จัดการคิมรีบไล่คำศัพท์ที่นึกขึ้นในหัวออกไป
“ขอแต่งงานถูกแล้วครับ”
อีอูยอนตอบด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
“ขอแต่งงานอะไรแบบนั้น…”
อีอูยอนหัวเราะเบาๆ
เขาจะใช้ถ้วยรางวัลแทนแหวน และใช้สัญญาแทนคำปฏิญาณรัก เขาเตรียมการขอแต่งงานที่เจ้าเล่ห์แบบนั้นไว้ และคิดความรู้สึกที่จะพูดตอนที่ได้รับรางวัลไว้แล้วด้วย
‘ผมจะยกเกียรติยศทั้งหมดนี้ให้กับคนที่ช่วยให้ผมไม่เลือกตัวเลือกที่ผิดด้วยการประมาทโดยจงใจ และเลือกตัวเลือกที่ถูกต้องได้ครับ’
เป็นความรู้สึกที่มีแต่ชเวอินซอบเท่านั้นที่เข้าใจ เขาวางแผนที่จะร้องไห้ที่นั่นด้วย เขาไม่เคยทำเรื่องที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนอย่างการร้องไห้ให้เห็นอย่างน่าอายที่พิธีมอบรางวัลมาก่อน แต่คราวนี้เขาคิดที่จะร้องต่อหน้าชเวอินซอบ
เขาจงใจไม่ติดต่ออินซอบไป และอินซอบที่ขี้กลัวต้องไม่กล้าคิดที่จะติดต่อมา และกำลังกระสับกระส่ายอยู่อย่างแน่นอน เขาอยากให้อีกฝ่ายกังวลใจให้มากที่สุด และเหตุผลที่เขาทิ้งอินซอบที่เมาเหล้าไว้ที่บ้านของหัวหน้าทีมชาก็เป็นเหตุผลเดียวกัน
หากทำให้รู้สึกประทับใจในตอนที่กังวลใจถึงที่สุด ประสิทธิภาพก็จะมากขึ้นเป็นสองเท่า ทฤษฎีสะพานเชือกไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีสาระ แค่รอให้ความกังวลใจของอินซอบสูงขึ้นเงียบๆ จนถึงวันเสาร์ก็ได้แล้ว ปัญหาก็คือเขากลับรู้สึกว่าเวลาแค่หนึ่งวันยาวนานเหมือนหลายปี ไม่ว่าเขาจะทำตัวอะไรสาระอะไร เวลาก็ผ่านไปอย่างเชื่องช้าอยู่ดี
อีอูยอนใช้ปลายนิ้วเคาะหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
“แล้วถ้านายเบื่อชเวอินซอบขึ้นมาจะทำยังไง”
“เบื่อเหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามราวกับสงสัยจริงๆ
ความรักตลอดกาลไม่มีอยู่จริง นี่เป็นคำเตือนไม่กี่อย่างที่กรรมการผู้จัดการคิมผู้มีประสบการณ์ในการหย่าที่น่าประทับใจสามารถเตือนได้อย่างมั่นใจ แต่พออยู่ต่อหน้าอีอูยอนที่สงสัยใคร่รู้เหมือนเป็นเด็กเล็กๆ เขาก็ไม่กล้าจะพูดว่าความเป็นไปได้ที่รักแรกของนายจะพังไม่มีชิ้นดีมีสูงมาก
“…เพราะคนเราไม่รู้นี่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต”
“นั่นสินะครับ ผมเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะผูกติดกับผู้ชายได้ขนาดนี้”
“งั้นก็ลองคิดเรื่องการรับมรดกอย่างละเอียดถี่ถ้วนขึ้นสักหน่อยสิ”
อีอูยอนลูบโทรศัพท์มือถือก่อนจะหัวเราะพร้อมกับหลุบตามองด้านล่าง
“กรรมการผู้จัดการคิดว่าถ้าผมเลิกกับชเวอินซอบแล้ว เราจะกลับมาคบกันใหม่ได้ไหมครับ”
“…”
จริงๆ แล้วกรรมการผู้จัดการคิมยังคงไม่เชื่อว่าอีอูยอนจะชอบใครจากใจได้ แต่ช่วงนี้เขากลับคิดว่าอีอูยอนจริงใจกับอินซอบจริงๆ อยู่บ่อยๆ และมีช่วงที่อีอูยอนดูเหมือนจะยึดติดมากขึ้นด้วยเหมือนกัน
“นี่คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายสำหรับผมครับ”
อีอูยอนกระซิบเบาๆ
…ใช่แล้ว เหมือนกับตอนนี้
กรรมการผู้จัดการคิมรู้สึกว่าอีอูยอนน่าสงสารประมาณเสี้ยวหนึ่งของจิ๋มมด อีกฝ่ายดูเหมือนเด็กหนุ่มธรรมดาที่อยู่ในช่วงวัยที่ปวดใจและกลัดกลุ้มเพราะความรัก
ฉันเองคงแก่แล้วสินะ ถึงได้เห็นอกเห็นใจอีอูยอน
กรรมการผู้จัดการคิมหัวเราะเยาะจิตใจที่เริ่มจะอ่อนลงของตัวเอง เขากำลังทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ที่สุดอย่างการเป็นห่วงดาราและเป็นห่วงคนรวย ตอนนี้ตัวเขากำลังทำทั้งสองอย่างนั้นพร้อมกันอยู่
โอ๊ย ดื่มเหล้าเถอะ
แล้วอีอูยอนก็เอ่ยถามกรรมการผู้จัดการคิมที่เติมเหล้าใส่แก้วอย่างกะทันหัน
“เสียงสัญญาณดังกี่ครั้งเหรอครับ”
“อะไรนะ”
“ผมถามว่าที่โทรศัพท์หาชเวอินซอบเมื่อกี้น่ะ เสียงสัญญาณดังกี่ครั้งเหรอครับถึงได้วาง”
ถึงจะคิดว่านี่เป็นเรื่องที่พูดขึ้นมาโดยไม่มีที่มาที่ไปอีกแล้วหรือเปล่า แต่กรรมการผู้จัดการคิมก็พยายามนึกก่อนจะเอ่ยตอบ
“สักสามสี่ครั้งได้มั้ง”
“งั้นก็คงจะโชว์เบอร์โทรสินะครับ”
“ก็ต้องโชว์แหละ”
กรรมการผู้จัดการคิมตอบอย่างไม่สำคัญอะไร พอเขาทำแบบนั้น อีอูยอนก็ก้มมองโทรศัพท์มือถือที่ยังคงเงียบสนิท และฟาดมันลงกับมุมโต๊ะจนเกิดเสียงดังปัง
แม้กรรมการผู้จัดการคิมที่ตื่นตกใจจะห้าม แต่อีอูยอนกลับไม่แม้แต่จะทำเป็นได้ยิน และทุบโทรศัพท์มือถืออย่างต่อเนื่อง แรงที่รุนแรงของเขาทำให้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นผ้าขี้ริ้วที่ขาดรุ่งริ่งทันที
“ห้ามติดต่อไปเพราะใจอ่อนโดยไม่จำเป็นไงครับ”
พอมาลองคิดดูแล้ว อีอูยอนก็เหลือบมองโทรศัพท์มือถือตั้งแต่เมื่อกี้ เหมือนคนที่รอการติดต่อของใครบางคนอยู่
อีอูยอนทิ้งโทรศัพท์มือถือที่ขาดรุ่งริ่งลงในถังน้ำแข็งก่อนจะพูดต่อ
“คุณอินซอบสามารถเจอคนที่ดีกว่าผมได้ครับ แต่ต่อให้พาคนดีๆ มาทั้งหมด ผมก็ยังชอบเขาที่สุดอยู่ดี และต่อให้เขาทำอะไรกับผม ผมก็จะยังชอบเขา ฮ่าฮ่า บางทีต่อให้ตายอยู่ในกำมือของเขา ไอ้นั่นของผมก็คงจะยังตั้งขึ้นมา”
อีอูยอนดื่มเหล้าที่เหลืออยู่ในแก้วเข้าไปรวดเดียวก่อนจะยิ้มกว้าง
“แล้วผมจะปล่อยเขาไปได้ยังไงล่ะครับ”
การพูดจาโรแมนติกได้อย่างหยาบคายและป่าเถื่อนขนาดนั้นเป็นความสามารถเฉพาะตัวๆ
…ความสามารถเฉพาะตัวแย่ๆ
กรรมการผู้จัดการคิมดื่มเหล้าโดยไม่พูดอะไร วันนี้เหล้าที่ไหลผ่านคอลงไปขมเป็นพิเศษ