ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 3 ตอนที่ 6-14
“…!”
อินซอบพยายามปิดทีวีอย่างตื่นตระหนก แต่กลับกลายเป็นเร่งเสียงแทน และเสียงของห้องข้างๆ ก็ค่อยๆ ดังขึ้นราวกับจะแข่ง อินซอบรีบหาปุ่มปิดเครื่องและกดปิด แต่กลับไม่เห็นสัญญาณว่าเสียงของห้องข้างๆ ที่ดังไปแล้วจะเบาลงสักนิด
…เพราะแบบนี้ไงเราถึงไม่อยากมาโมเต็ล
อินซอบรื้อกระเป๋าและหยิบหูฟังออกมา เขาเปิดเพลงที่ชอบและนอนลงบนเตียงทันทีพร้อมกับประสานมือเข้าด้วยกัน
“…”
แต่เสียงที่ดังทะลุหูฟังเข้ามาก็เริ่มดังขึ้น สุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าเพลงที่ฟังกลายเป็นดนตรีพื้นหลังของหนัง 18+ อินซอบพยายามมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเพลง แต่เสียงนั้นก็ยิ่งดังขึ้น และกำแพงก็สั่นโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
ทำอะไรกันแน่เนี่ย กำแพงถึงได้…
“ไม่ๆ เราไม่ได้อยากรู้”
อินซอบรีบส่ายหัว เขาต้องการสิ่งที่เขาจะจดจ่อได้มากกว่าเพลง อินซอบค้นโทรศัพท์มือถือและเปิดโปรแกรมหนังสือเสียงขึ้นมา แล้วเสียงที่คุ้นเคยของอีอูยอนก็ลอยออกมา เขานอนคว่ำหน้าบนเตียงอย่างสบายใจพร้อมกับเอาหมอนขึ้นมาปิดหูไว้
แม้จะกั้นเสียงได้ไม่หมด แต่ก็ทำให้เสียงจากหูฟังชัดขึ้นกว่าเสียงอื่นๆ โล่งอกไปที อินซอบหลับตาและเอียงหูฟังเสียงที่ดังข้างหู
ระดับเสียงของอีอูยอนจัดได้ว่าดี ถ้าเสียบหูฟัง เสียงนั้นจะสัมผัสเข้าที่หูโดยตรง และรู้สึกเหมือนมีอีอูยอนอยู่ใกล้ๆ ตอนที่คุยโทรศัพท์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นเวลาที่คุยโทรศัพท์กับอีอูยอนในตอนกลางคืน เขาจึงหลับตาเสมอ เพราะหากทำแบบนั้น เขาจะรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ…
“…”
อินซอบกะพริบตาด้วยความงงงวย แม้จะเป็นความรู้สึกที่เล็กน้อย แต่เขาก็สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ด้วยเหตุนั้นเขาจึงปล่อยมือที่กำหมอนไว้ เสียงครางผสมปนเปกันของชายหญิงที่เขาสกัดกั้นเอาไว้อย่างยากลำบากแทงเข้ามาในแก้วหู
“โอ๊ย…”
อินซอบมุดหน้าลงระหว่างหมอนอีกครั้ง คราวนี้เขาใช้มือทั้งสองปิดหูไว้ด้วย นั่นจึงทำให้เขาได้ยินเสียงของอีอูยอนชัดขึ้น และรู้สึกเหมือนมีอีอูยอนอยู่ข้างๆ
เขารู้สึกเสียวซ่านที่ท้องน้อย
อินซอบมึนงง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงแบบนี้ เพราะเคยมาพักที่โมเต็ลอยู่หลายครั้ง แต่เขาไม่เคยมีอารมณ์เพราะเสียงร่วมเพศของคนอื่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว และก็ไม่ได้เป็นเพราะเสียงของอีอูยอนในหนังสือเสียงด้วย เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น เขาคงกลายเป็นคนวิตถารที่มีอารมณ์ขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยบนรถเมล์หรือรถไฟฟ้าแล้ว
นี่มันอะไรกันแน่…
อินซอบก้มหน้ามองช่วงล่างของตัวเอง ส่วนอ่อนไหวที่ตื่นตัวอย่างเห็นได้ชัดกำลังเปิดเผยการมีอยู่ของตัวเองผ่านกางเกง เขารู้สึกเหมือนได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าดู แม้จะพยายามคิดเรื่องอื่น แต่มันก็ไม่ง่าย พอได้รู้สึกสักครั้ง ประสาทสัมผัสทุกอย่างในร่างกายก็ไวต่อความรู้สึกราวกับมุ่งลงไปที่ส่วนล่าง
จะทำยังไงดี
ความรู้สึกสับสนมึนงงทำให้เขาบิดตัวไปมา และถูส่วนล่างกับเตียง
“อา…”
เสียงที่เล็ดลอดออกมาอย่างไม่รู้ตัวทำให้อินซอบตกใจและเอามืออุดปากไว้ ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดฝ่ามือ และความร้อนก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นแบบนี้…
อินซอบรีบดึงหูฟังออก เสียงครางของห้องข้างๆ ดังจนเขารู้สึกเขินอาย อินซอบหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวีอีกครั้ง และรีบเปลี่ยนช่องหนี และช่องของผู้ใหญ่ที่เห็นเนื้อหนังก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นรายการบันเทิง
[‘และดาวเด่นของวันนี้ เชิญคุณอีอูยอนขึ้นมาเลยค่ะ’]
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของอีอูยอนปรากฏขึ้นเต็มหน้าจอ ความรู้สึกละอายใจของเขารุนแรงขึ้น และเลือดก็ไหลไปกองที่หน้า เขาตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้จะรออยู่สักพัก แต่ความร้อนที่ไล่ขึ้นมาจากช่วงล่างก็ไม่ลดลง ดูเหมือนการทำให้เสร็จน่าจะดีกว่า
อินซอบนอนคว่ำลงกับเตียง เขายกเอวขึ้นมาในลักษณะที่โก้งโค้งและดึงกางเกงลง
“…อึก”
เขาใช้มือที่สั่นเทาจับส่วนอ่อนไหวเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถขยับมือได้ เพราะไม่เคยทำเอง
ต้องทำยังไง คุณอีอูยอนทำยังไง…
เขาหลับตาและนึกถึงอีอูยอน
อีอูยอนมีใบหน้าได้รูปและงดงาม แต่ไม่มีใครบอกว่าเขาสวยเหมือนผู้หญิง ไหล่ที่กว้างสมกับเป็นควอเตอร์แบ็กชาวเอเชียคนแรกของทีมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนของเขา มือและเท้าที่ใหญ่ รวมไปถึงต้นขาที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อ สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นชายของอีอูยอนล้วนยอดเยี่ยมและใหญ่ถึงที่สุด มือใหญ่ๆ ของอีอูยอนกำส่วนล่างของอินซอบได้อย่างง่ายดาย อีอูยอนใช้แขนข้างหนึ่งพาดไหล่และกอดเขาราวกับรัดเอาไว้จากทางด้านหลัง ก่อนจะใช้มืออีกข้างแทรกเข้าไปในช่วงล่าง
“ฮ่า…”
อินซอบขยับมือตามที่อีอูยอนทำ ลมหายใจของเขาติดขัดขึ้นเรื่อยๆ อีอูยอนเพลิดเพลินกับการลูบไล้ช่วงล่างของอินซอบ
‘ตรงนี้ของคุณนุ่มจริงๆ นะครับ ไม่เคยให้ใครแตะต้องมาก่อนใช่ไหมครับ’
อีอูยอนถามคำถามเดิมๆ หลายครั้งอย่างไม่รู้จักเบื่อ และอินซอบก็ส่ายหน้าในสภาพที่ร้องไห้จนตาแดง ส่วนอีอูยอนก็จะยิ้มอย่างพอใจหลังจากที่ได้ยินคำตอบ
‘ไม่ว่าใครก็ตามที่แตะต้องตรงนี้ ผมจะตัดข้อมือมันทิ้ง และเอาไปยัดใส่คอคนคนนั้นครับ’
เขากระซิบด้วยเสียงที่อ่อนโยนเป็นอย่างมาก และเอาส่วนอ่อนไหวของอินซอบมาถูกับฝ่ามือ
“อื้อ…”
ลำคอของเขาแห้งผาก อินซอบกลืนน้ำลายพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างเบาๆ
อีอูยอนชอบใช้มือทำให้ในท่วงท่าที่กอดอินซอบไว้จากข้างหลัง ส่วนอินซอบก็ถึงฝั่งฝันอยู่หลายครั้งในท่าทางที่อ้าขาและถูกกอดอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย แม้เขาจะปฏิเสธว่าไม่อยากฟังด้วยความเขินอาย แต่อีอูยอนก็มักจะเอาคางมาเกยไหล่ และชื่นชมส่วนอ่อนไหวของอินซอบ แค่สิ่งนั้นก็ทำให้อีอูยอนมีอารมณ์ขึ้นมาพอสมควรแล้ว และทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นอีกฝ่ายก็จะถูแก่นกายที่แข็งขืนกับก้นของอินซอบ และหายใจติดขัด
ทว่าเขากลับไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันได้ต่างกับที่อีอูยอนทำให้ อินซอบงุ่นง่าน เขารู้สึกเหมือนยืนอยู่หน้าเนินเขาที่จะต้องข้ามไปให้ได้ แล้วก็ลื่นลงมาทุกครั้ง
“อ๊า…”
อินซอบเอื้อมมืออีกข้างไปด้านหลัง พอเขาใช้นิ้วลูบไล้ช่องทางนั้น ความต้องการก็เพิ่มสูงขึ้น ทำยังไงดี จะต้องทำยังไง…
‘คุณอินซอบ’
เสียงเรียกหวานๆ ของอีอูยอนถูกรื้อขึ้นมาจากความทรงจำ ปลายเท้าของอินซอบไถไปบนเตียง เขารู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า การช่วยตัวเองที่ไม่เคยลองทำมาก่อนทำให้เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับร่างกาย และเอี้ยวตัวอย่างไม่ชำนาญราวกับเป็นลูกสัตว์ที่เพิ่งติดสัดครั้งแรก ช่องทางของเขาขมิบรัว เพราะไม่รู้สึกพอใจกับการใช้นิ้วลูบเพียงอย่างเดียว
‘คุณอินซอบ คุณอินซอบ…ชเวอินซอบ’
“อึก!”
อินซอบกัดริมฝีปากเบาๆ ก่อนที่ของเหลวอุ่นร้อนจะพุ่งใส่ฝ่ามือของตน เอวของเขาสั่นเล็กน้อย ส่วนอ่อนไหวนั้นพ่นน้ำเชื้อออกมาอีกสองสามครั้ง และร่างกายที่เคยตึงเครียดก็อ่อนยวบลงทันที
“แฮ่กๆ…”
อินซอบหอบหายใจพร้อมกับนอนลงบนเตียง ความร้อนในร่างกายของเขาจางลงพร้อมกับความรู้สึกผิดบาปที่ถาโถมขึ้นมา ห้องพักในโมเต็ลเต็มกลับมาเงียบสงบ เพราะห้องข้างๆ ก็เสร็จกิจแล้วเช่นกัน
ตอนนั้นเองเสียงเรียกเข้าก็ดังมาจากโทรศัพท์มือถือที่ดันออกไปข้างๆ พร้อมกับหูฟัง อินซอบเงยหน้าขึ้นมามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
อีอูยอน
วินาทีที่เห็นชื่อ อินซอบที่นอนแผ่อยู่บนเตียงก็ตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น
***
“ครับ ครับ หาเวลาว่างมาเจอกันสักครั้งสิครับ เข้าใจแล้วครับ”
พออีอูยอนที่ออกไปสูบบุหรี่นั่งลง กรรมการผู้จัดการคิมก็คุยโทรศัพท์เสร็จพอดี
“งั้นคราวหน้าผมจะโทรศัพท์ไปหานะครับ”
แล้วอีอูยอนที่กำลังดื่มน้ำก็ได้รู้ว่าโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของกรรมการผู้จัดการคิมคือโทรศัพท์มือถือของตน เขาขมวดคิ้ว
“งั้นก็รักษาสุขภาพ อ๊ะ!”
อีอูยอนแย่งโทรศัพท์มือถือคืนมา และกดตัดสายอย่างหน้าตาเฉย
“ฉันกำลังคุยโทรศัพท์อยู่นะ!”
“ทำไมถึงใช้โทรศัพท์มือถือของคนอื่นคุยล่ะครับ”
“ก็เพราะของฉันแบตหมด และกำลังชาร์จแบตอยู่น่ะสิ แล้วก็มีงานที่จะต้องคอมเฟิร์มภายในวันนี้ด้วย”
“แล้ว…โทรศัพท์หาชเวอินซอบโดยพลการเหรอครับ”
น้ำเสียงของอีอูยอนที่มองบันทึกการโทรทุ้มต่ำ
“เมื่อกี้ฉันโทรผิดน่ะ ทำไมเหรอ”
อีอูยอนมองกรรมการผู้จัดการคิมด้วยสายตาที่เจือไปด้วยความหงุดหงิด
“ฉันตัดสายทิ้งทันทีเลยนะ เขาไม่ได้รับโทรศัพท์ด้วย เป็นอะไรกันหรือเปล่า”
อีอูยอนไม่ตอบอะไร เขารินเหล้านอกใส่แก้วจนเต็ม กรรมการผู้จัดการคิมสังเกตได้ถึงบรรยากาศที่เย็นชา จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“เลิกกันแล้วเหรอ”
“ภาวนาพวกผมเลิกกันอยู่สินะครับ”
“ถ้าภาวนาแล้วจะเลิกเหรอ ล้อเล่นน่ะ ล้อเล่น นายก็รับมุกกันบ้างสิ”
กรรมการผู้จัดการคิมบ่นพึมพำก่อนจะพูดต่อ
“คนที่ยอมให้เงินห้าพันล้านวอนน่ะ ไม่มีทางเลิกกันง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก”
คำที่พูดกับตัวเองของอีกฝ่ายทำให้อีอูยอนเดาเหตุผลที่ฝ่ายนั้นเรียกตนมาที่นี่วันนี้ได้ไม่ยาก
วันนั้นพอกรรมการผู้จัดการคิมเห็นสัญญาที่เขาเรียกทนายความชินมาตรวจ สีหน้าของอีกฝ่ายก็ซีดเผือด อีอูยอนทิ้งกรรมการผู้จัดการคิมที่พูดว่า “มาคุยกันหน่อย” ไว้ข้างหลัง และออกจากออฟฟิศไป หลังจากวันนั้นกรรมการผู้จัดการคิมก็โทรศัพท์หาเขาอยู่เรื่อย และแน่นอนว่าอีอูยอนไม่ยอมรับโทรศัพท์ของอีกฝ่าย
สุดท้ายกรรมการผู้จัดการคิมก็มาหาถึงฟิตเนส และพูดว่า “อย่าออกกำลังกายเลย ออกไปเดินเล่นกันเถอะ” ก่อนจะลากอีอูยอนออกไป พรุ่งนี้เป็นพิธีมอบรางวัล จึงไม่มีทางที่กรรมการผู้จัดการบริษัทจะขาดสติถึงขั้นชวนดื่มเหล้าและลากออกไปโดยไม่มีจุดประสงค์
“ผมใช้เงินของผมนะครับ กรรมการผู้จัดการจะไม่พอใจอะไรขนาดนั้นล่ะ”
“ใครไม่พอใจเหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมสะดุ้งราวโดนจี้จุด เขากลืนน้ำลายอยู่สองสามครั้งก่อนจะพูดต่อ
“ไม่ได้ไม่พอใจ แต่ฉันพูดเพราะเป็นห่วงต่างหาก อูยอน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์น่ะ มันมีขอบเขตในการใช้เงินอยู่นะ”
“แต่ผมกับกรรมการผู้จัดการก็อยู่ด้วยกันเพราะเงินนี่ครับ”
ไอ้เจ้าคนน่าชัง เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ
กรรมการผู้จัดการคิมเตรียมการต่อสู้
“ความสัมพันธ์ของพวกเรานะ เป็นความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ใช้สัญญาผูกเราไว้ด้วยกัน แต่อินซอบกับนายน่ะ…”
กรรมการผู้จัดการคิมหยิบชีสที่มาเสิร์ฟเป็นกับแกล้มขึ้นมากินและพูดกำกวม อีอูยอนที่ใช้นิ้วเคาะหน้าจอโทรศัพท์มือถือโดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่งเงยหน้าขึ้นมา
“รู้หรือเปล่าครับว่าคุณอินซอบถูกรับมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กๆ”
“อืม รู้สิ”
ถึงจะเป็นหัวข้อที่ดูกะทันหัน แต่กรรมการผู้จัดการคิมพยักหน้าไว้ก่อน เขารู้ความจริงนั้นเพราะได้ฟังจากปากของเจ้าตัว พอได้ยินเรื่องนั้น กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาภูมิใจในตัวอินซอบที่เติบโตมาโดยไม่แสดงออกให้เห็นเลยว่ามีอดีตที่มืดมนพลางปาดน้ำตา
“ดูเหมือนพ่อแม่ที่แท้จริงจะทิ้งเพราะโรคหัวใจน่ะครับ เขาใช้ผ้าห่มห่อเด็กแรกเกิดเอาไว้ก่อนจะใส่ลงไปในลังกระดาษและเอาไปวางทิ้งไว้ที่หน้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า”
“ไม่นะ…ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กเล็กๆ แบบนั้นจะทำยังไงล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมรู้สึกสงสารราวกับมีเด็กแรกเกิดอยู่ตรงหน้าตนจริงๆ และทำสีหน้าไม่ดี
“โชคดีมากเลยนะครับที่คนพวกนั้นทิ้งเขาก่อนที่จะเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้น”
อีอูยอนยิ้มก่อนจะเอาองุ่นเข้าปาก กรรมการผู้จัดการคิมใช้มือข้างหนึ่งลูบแขนอีกข้างที่ขนลุกซู่อย่างระมัดระวัง
“ถ้าคนที่คลอดออกมาแต่ไม่สามารถรับผิดชอบได้เก็บเขาไว้เรื่อยๆ เขาก็น่าจะตายไปแล้วล่ะครับ พวกนั้นจะทำให้เขาเข้ารับการผ่าตัดอย่างเหมาะสมสักครั้งได้ไหมล่ะครับ”
“แต่…”
“คุณก็เห็นพ่อแม่ที่เลี้ยงคุณอินซอบมานี่ครับ พวกเขาเป็นคนดี เขาคงจะโตมาได้ขนาดนั้น เพราะได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่แบบนั้นแหละครับ”
เมื่อเห็นว่าแววตาของกรรมการผู้จัดการคิมสั่นไหวอยู่แวบหนึ่ง อีอูยอนก็กระตุกยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ไม่จำเป็นต้องเห็นใจผมหรอกครับ เพราะนิสัยของผมไม่ได้เกิดจากสภาพแวดล้อม แต่เป็นเพราะสันดานของผมเองต่างหาก”
“…อือ ใช่ ควรจะเห็นใจพ่อแม่นายมากกว่า”
“ฮ่าๆ จะไปเห็นใจคนที่รวยกว่ากรรมการผู้จัดการหลายสิบเท่าทำไมล่ะครับ ความเป็นห่วงที่สูญเปล่าที่สุดในโลกคือความเป็นห่วงที่มีให้ดาราและความเป็นห่วงที่มีให้คนรวยนะครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมลองคำนวณทรัพย์สินของพ่อแม่อีอูยอนในใจ และตัดสินใจว่าจะไม่พูดว่าเป็นห่วงเจ้านี่อีกเป็นครั้งที่สอง