ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 3 ตอนที่ 5-12
“คุณอีอูยอนนี่ดีเนอะ ได้ใช้ห้องพักรับรองห้องเดียวกับคนรักด้วย”
เกิดเสียงหัวเราะขึ้นท่ามกลางคนพวกนั้น
“ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งเดท ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะครับเนี่ย”
“ฮ่าๆ นั่นสิครับ”
แม้จะเห็นด้วย แต่อินซอบก็เหงื่อตก
เนื่องจากห้องพักรับรองที่เตรียมไว้ไม่พอสำหรับหนึ่งคนต่อห้อง พวกนักแสดงจึงจำเป็นต้องใช้ห้องละสองคน แล้วแชยอนซอก็อยู่ในการถ่ายแบบวันนี้ด้วย ดังนั้นอีอูยอนและแชยอนซอจึงได้ใช้ห้องพักรับรองห้องเดียวกันไปโดยปริยาย
นี่เป็นครั้งแรกที่อินซอบได้เห็นแชยอนซอบใกล้ขนาดนี้ เธอเป็นคนดังในหมู่คนดังจริงๆ ทั้งน้ำเสียง ลักษณะการพูด แววตา และท่าทางล้วนแต่เปี่ยมไปด้วยความน่ารัก แค่คนทั้งคู่อยู่ร่วมกันในภาพเดียวก็กลายเป็นภาพวาดแล้ว ราวกับเป็นผลงานที่เทพเจ้าสร้างขึ้นเพื่อกันและกัน อินซอบมองภาพของตนที่สะท้อนอยู่ในกระจกก่อนจะก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกถึงความอับอายที่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเธอ
เรื่องที่น่าเศร้ายิ่งกว่าอะไรก็คืออีอูยอนไม่แม้แต่จะส่งสายตาหาตนด้วยซ้ำ สุดท้ายอินซอบก็ออกมาจากห้องพักรับรองหลังจากที่บอกว่าจะไปดูสถานการณ์การถ่ายทำ
“คุณจองแจมินถ่ายเสร็จแล้ว ซอชินอาคงจะได้ถ่ายแล้วล่ะ”
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
ผู้จัดการส่วนตัวของจองแจมินรีบออกไป เนื่องจากความยืดหยุ่นในการถ่ายทำ ระยะเวลาในการถ่ายภาพเดี่ยวจึงนานกว่าก่อนหน้านี้ขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วคุณไม่ต้องเข้าไปดูเหรอครับ ไม่ใช่ว่าปล่อยหนุ่มหล่อสาวสวยอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องพักรับรองนานไปแล้วเหรอ”
“เอ่อ คือ…ผมจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”
การล้อเล่นที่ชวนให้หงุดหงิดใจทำให้อินซอบที่หน้าแดงก้มหัวและออกไปจากตรงนี้
แม้จะไม่ได้ทิ้งให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังเพราะมีโคดี้ของแชยอนซออยู่ แต่นี่ก็ได้เวลาที่เขาจะต้องเข้าไปแล้ว
อินซอบเคาะประตูอย่างระวังและรอการตอบรับอยู่หน้าห้องพักรับรอง แม้เขาจะรอมาสักพักแล้ว แต่ก็ไม่มีคำตอบรับกลับมา อินซอบเคาะประตูอีกสองสามครั้ง แต่ก็มีเพียงความเงียบที่เงียบเชียบเท่านั้นที่ตอบเขากลับมา
“ผมชเวอินซอบจะเข้าไปแล้วนะครับ”
อินซอบจงใจพูดเสียงดังก่อนจะเปิดประตู
แต่เขาไม่เห็นทั้งอีอูยอน ทั้งแชยอนซอ หรือแม้แต่โคดี้ของเธออยู่ข้างในเลย อินซอบคิดว่าตัวเองเข้าห้องผิดหรือเปล่า และมองไปรอบๆ
“สักครู่นะคะ”
ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงของแชยอนซอมาจากด้านในของฉากกั้น อินซอบรีบตอบกลับไปอย่างตื่นตระหนก
“ขอโทษครับ ผมนึกว่าไม่มีใครอยู่ จะ จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว”
แชยอซอที่ใส่เสื้อผ้าที่ถูกเตรียมไว้เสร็จแล้วเดินออกมาจากฉากกั้น เดรสของเอลี ซาบที่มีเครื่องประดับปักอยู่บนผ้าชีฟองสีกรมท่าจนแน่นมองดูเหมือนดวงดาวที่พริ้วไหวทุกครั้งที่เธอขยับ เดรสที่มีราคาหลายสิบล้านวอนต่อหนึ่งชุดช่วยขับรูปร่างของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี
“เป็นไงคะ พอจะใช้ได้ไหม”
ไม่ใช่แค่พอใช้ได้ แต่สวยจนแสบตาเลยต่างหาก อินซอบพยักหน้าอย่างยากลำบาก แค่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เขาก็หายใจไม่ออก เพราะความอับอายที่ตีตื้นขึ้นมาแล้ว
“…คุณอีอูยอนไปไหนเหรอครับ”
“เห็นบอกว่าจะออกไปสูบบุหรี่น่ะค่ะ”
อินซอบทำสีหน้าไม่ดีอยู่แวบหนึ่ง อีอูยอนไม่เคยสูบบุหรี่ในระหว่างที่ถ่ายงาน วันนี้เขาต้องอารมณ์ไม่ดีมากแน่ๆ
“คุณมาได้ถูกจังหวะมากเลยค่ะ โคดี้ของฉันออกไปทำธุระสักครู่หนึ่งพอดี”
หญิงสาวหันหลังก่อนจะพูดต่อ
“ฉันเอื้อมมือไปไม่ถึงเพราะเดรสน่ะค่ะ”
หลังที่โผล่ออกมาอย่างชัดเจนเพราะซิปที่รูดได้ไม่สุดทำให้อินซอบต้องหันหน้าหนีด้วยความตื่นตระหนก
“ผมจะไปเรียกคนอื่นมาให้ครับ”
“ช่วยเอามันขึ้นให้เท่านั้นเองค่ะ ไม่ต้องเรียกคนอื่นให้ยุ่งยากหรอก รบกวนทีนะคะ”
ท่าทีที่ยิ้มกว้างพร้อมกับพูดทำให้อินซอบไม่กล้าที่จะปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง อินซอบพยายามที่จะไม่มองให้ได้มากที่สุด และเดินไปหยุดอยู่ข้างตัวของแชยอนซอ
“ติดกระดุมตรงให้ก็พอค่ะ”
“…ครับ”
นี่คือป่าที่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา[1] ปมที่เล็กทำให้กระดุมไม่สามารถเข้าไปได้ง่ายๆ และลื่นหลุดจากมือของเขาอยู่หลายครั้ง
“ขอโทษครับ”
คำขอโทษของอินซอบทำให้แชยอซอหัวเราะ
“ไม่เป็นไรค่ะ ค่อยๆ ติดนะคะ”
อินซอบติดกระดุมด้วยมือที่สั่นเทา
“วันนี้คุณอีอูยอนอารมณ์ไม่ดีเหรอคะ”
“ครับ?”
คำถามที่ไม่คาดคิดทำให้อินซอบถามกลับด้วยความตกใจ
“บรรยากาศมันต่างไปจากที่เจอกันคราวก่อนนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“…พวกคุณเคยเจอกันเหรอครับ”
แชยอนซอหันหน้ามา รอยยิ้มแหย่เล่นติดอยู่ในดวงตาของเธอ
“ห้ามไปตอบแบบนี้ที่ไหนนะคะ”
“เอ่อ ขอโทษครับ”
ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้อีอูยอนกับแชยอนซอก็อยู่ในสถานะที่กำลังคบกันอยู่ แม้เขาจะขอโทษให้กับความผิดพลาดของตัวเอง แต่ส่วนหนึ่งในจิตใจของเขากลับปฏิเสธไม่ได้
เขาอยากถามว่าทั้งสองคนเคยไปเจอกันที่ไหน และเมื่อไร แต่เขาห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด และไม่สามารถทำแบบนั้นได้ด้วย
…ตอนนี้เขาต้องทำแบบนั้น และต่อไปในอนาคตด้วย
“วันนี้คุณอีอูยอนไม่ค่อยพูดเป็นพิเศษน่ะค่ะ”
หญิงสาวหันหน้ามาอีกครั้ง
“…ดูเหมือนสภาพร่างกายจะไม่ค่อยดีเท่าไรน่ะครับ”
“เป็นห่วงจัง”
เธอพึมพำเหมือนพูดคนเดียว เป็นคำพูดที่ไม่สำคัญอะไร เป็นคำพูดที่พูดออกมาราวกับจะปล่อยให้มันผ่านไป
แต่อินซอบอ่านไมตรีจิตที่มีต่ออีกฝ่ายในคำพูดนั้นออก
อินซอบกลั้นหายใจ เพราะความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาจนถึงคอในชั่วพริบตา
อิจฉา
เป็นความรู้สึกที่เขารู้สึกจนหน้ามืด และนี่คือครั้งแรก ความรู้สึกที่เหมือนกับมีสัมผัสที่รุนแรงมาข่วนหัวใจของเขาไปทำให้อินซอบทำตัวไม่ถูก
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นผู้หญิงที่แสดงไมตรีให้เขาในตอนที่อยู่ข้างๆ อีอูยอนมาก่อน คนที่ไม่ใช่แค่หยิบยื่นไมตรีอย่างแอบๆ แต่หยิบยื่นไมตรีให้อย่างตรงไปตรงมาก็มีอยู่หลายคน แม้จะเป็นการโกหก ถ้าจะบอกว่าหัวใจของเขาไม่ส่งเสียงร้องในทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยรู้สึกถึงความอิจฉาที่รุนแรงเหมือนกับตอนนี้มาก่อน
“…?”
แชยอนซอหันกลับมามองด้วยสีหน้าสงสัย วินาทีที่สบตากับเธอ อินซอบก็ได้รู้ถึงเหตุผลของความรู้สึกที่เปิดเผยที่ตนรู้สึก
มีความระแวงเจืออยู่ในนั้น ความรู้สึกที่มีสิ่งแปลกปลอมปะปนอยู่สั่นไหวหัวใจของเขาอย่างรุนแรง
“ขอโทษครับ”
อินซอบพึมพำคำขอโทษที่ไม่รู้ว่าพูดให้ใคร และยกมือตัวเองไปวางไว้ตรงซิปอีกครั้ง แค่รูดซิปขึ้นก็จบแล้ว ในตอนนั้นเองประตูก็ถูกเปิดออก และอีอูยอนก็เดินเข้ามา
“กำลังทำอะไรกันอยู่เหรอครับ”
นี่คือเสียงของอีอูยอนที่เขาได้ยินเป็นครั้งแรกของวัน
“คะ คุณแชยอนซอขอให้ช่วย ผมก็เลย…”
แม้จะพูดความจริง แต่อินซอบกลับรู้สึกเหมือนกำลังพูดคำแก้ตัวที่ไม่มีน้ำหนัก อีอูยอนปิดประตู เสียงดัง ปัง ทำให้หัวใจของเขาเต้นตึกตัก
อีอูยอนจ้องมองเขาด้วยหน้าตาน่ากลัว อินซอบตื่นตระหนกเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด เขาคิดแค่ว่าอยากจะออกไปจากตรงนี้ เพราะความกระดากที่ไม่รู้ที่มาที่ไป
เพราะอย่างนั้นเขาจึงขยับมือโดยไม่ได้สังเกตสถานการณ์
“อ๊ะ!”
แชยอนซอกรีดร้อง ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป
“จะ เจ็บนะ”
เธอหันกลับมามองพร้อมกับนิ่วหน้า ผิวที่โดนซิปกินห้อเลือด
“ขอโทษครับ ผมจะ…”
อินซอบจะรีบรูดซิปลง แต่มือที่ยื่นมาจากด้านหลังกลับแย่งมัน และลากลงราวกับจะโยนทิ้ง การขยับมือที่เหมือนดึงเอาของสกปรกออกทำให้อินซอบแข็งค้างอยู่กับที่
อีอูยอนจ้องมองอินซอบด้วยดวงตาที่แสดงออกถึงความโกรธเป็นอย่างมาก
“ทำตัวแปลกๆ หลายครั้งแล้วนะครับ”
อินซอบหน้าแดง เพราะความอับอายและความรู้สึกผิด
แม้จะไม่ใช่เรื่องที่จงใจทำ แต่เขาก็ไม่สามารถแก้ตัวได้ เพราะความรู้สึกน่าขยะแขยงที่เขามีจนถึงเมื่อกี้
“อย่าดุเขานักเลยค่ะ เขาคงจะพลาดแหละค่ะ อ้าว โซฮี มาพอดีเลย ช่วยดูนี่ให้หน่อยสิ”
โคดี้ของแชยอนซอที่เดินเข้ามารีบวิ่งเข้ามาควบคุมสถานการณ์
“ตายจริง พี่คะ น่าจะเจ็บมากเลยนะเนี่ย
“เลือดออกเหรอ”
แชยอนซอเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เลือดไม่ออกหรอกค่ะ แต่คงจะต้องทายานะคะ”
โคดี้เอายาทาและปลาสเตอร์ออกมาจากกระเป๋าถือ
“ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับ”
อินซอบเอ่ยขอโทษต่อๆ กัน ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ยังดูไม่พอ เพราะเขาทำให้ร่างกายของนักแสดงที่กำลังจะถ่ายแบบเป็นแผล ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่เลวร้ายที่สุด
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงก็เป็นส่วนที่ถูกปิดไว้อยู่แล้ว โดนปิดไว้ใช่ไหม”
หญิงสาวมองโคดี้พลางเอ่ยถาม
“ค่ะ ถึงจะโดนปิดไว้อยู่แล้วแต่…”
โคดี้มองอินซอบด้วยสายตาไม่น่ารัก อินซอบก้มหัวให้อีกครั้ง
“ขอโทษครับ หากมีอะไรที่จำเป็น ผมจะ…”
ตอนนั้นเองสตาฟก็เคาะประตูและตะโกนเข้ามา
“คุณแชยอนซอเตรียมตัวค่ะ”
“แล้วเหรอคะ เขาบอกว่าเวลาถ่ายงานเนี่ยต้องทำให้เต็มที่ไม่งั้นก็กลับบ้านไป ดูท่าจะเป็นความจริงนะ”
แชยอนซอมองกระจกและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เธอแตะไหล่ของอินซอบที่ยังตัวสั่นและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะพูดต่อ
“ไม่เป็นไรนะคะ ไว้ฉันจะไปเรียกร้องจากคนรักเอง”
แชยอนซอหยิบตาให้ดูอย่างขี้เล่น และเดินออกจากห้องพักรับรองไปพร้อมกับโคดี้ อินซอบทำอะไรไม่ถูกและมองประตูที่ถูกปิดลง เขาหันหน้าไปเพราะรู้สึกถึงสายตาที่มองมา
อีอูยอนที่ไร้สีหน้ากำลังมองอินซอบอยู่
“ขอโทษครับ”
อินซอบรู้ว่าตนทำให้ใครเสียหน้า
“ผมจะจัดการขอโทษให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้มีเรื่องกวนใจคุณอีอูยอนครับ”
“คุณ”
อีอูยอนไม่ยอมพูดต่อ เจ้าตัวกัดริมฝีปากล่างและผ่อนลมหายใจอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ใช้สายตาดุดันมองหน้าตน และการต่อว่าที่อยู่ในความเงียบนั้นก็ทำให้อินซอบตัวสั่นระริก เขารู้สึกเหมือนหัวใจของเขาแข็งจนเป็นน้ำแข็งเพราะความเยือกเย็นนั้น
อีอูยอนพึมพำคำที่เขาไม่เข้าใจ และกำข้อมือของอินซอบไว้
“ครับ? อึ่ก…”
แรงจับราวกับจะหักข้อมือทำให้อินซอบร้องออกมา
“ถ้าคุณอินซอบชอบผมน้อยลงสักหน่อย หรือใจกว้างน้อยลงอีกนิด มันก็น่าจะจบลงตั้งแต่วันนั้นแล้ว อันที่จริงคุณควรจะเอากล่องเค้กไปแล้วไม่กลับมาเลยด้วยซ้ำ”
แล้วอินซอบก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ฮาวายตอนนั้น แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ
“ผมคิดว่าคุณอาจจะไม่กลับมาก็ได้ในขณะที่รอ ผมรู้ว่าผมจะต้องไม่ทำแบบนั้นอีก แต่เมื่อวาน…เหอะ โธ่เว้ย”
อีอูยอนพูดคำพูดที่ฟังดูไม่มีเหตุผลและเอามือข้างหนึ่งขึ้นมากุมหน้าผากของตัวเอง
“คุณอูยอน…เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
อินซอบมองเห็นสีหน้าซีดเผือดของอีอูยอน มีเหงื่อเกาะอยู่ตามหน้าผากของอีกฝ่าย
“รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่าครับ”
อินซอบถามอีอูยอนอีกครั้ง เขารู้สึกอับอายในตัวเองเหลือเกินที่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะแค่อารมณ์ไม่ดี และมองข้ามไป ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าวันนี้สภาพร่างกายของอีกฝ่ายไม่ดีนัก
อินซอบรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ เพราะความเป็นห่วงที่มีต่ออีอูยอน แต่ก็ต้องกลั้นไว้ ตัวเขาเองยังขาดคุณสมบัติหลายด้านในการเป็นผู้จัดการส่วนตัว
“ขอโทษครับ ผมควรจะต้องตรวจสอบสภาพร่างกายของคุณอีอูยอนก่อนแท้ๆ”
พวกเขาสบตากัน ตอนนั้นเองอีอูยอนถึงได้หายใจเบาๆ เหมือนคนที่เพิ่งรู้อะไรบางอย่าง และรีบปล่อยมือของอินซอบ ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายทำให้อินซอบกลัว
“ป่วยมากเลยเหรอครับ”
“…”
อีอูยอนไม่ตอบและจ้องมองอินซอบนิ่งๆ จากนั้นก็หลับตาสักพักก่อนจะลืมตาขึ้น แล้วไปหยิบยาจากกระเป๋าและกลืนลงไปโดยไม่มีน้ำ
“ผมจะไปขอโทษและอธิบายกับทีมถ่ายทำ แล้วเราก็ไปโรงพยาบาล…”
อีอูยอนคว้าแขนของอินซอบไว้อีกครั้ง ด้วยวิธีที่ต่างไปจากเมื่อสักครู่นี้อย่างสิ้นเชิง อีอูยอนสัมผัสข้อมือของอินซอบด้วยสัมผัสที่เหมือนกับแตะต้องงานฝีมือที่ทำจากแก้วที่อาจจะแตกได้
“ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปมาก่อนในชีวิตเลยครับ”
“…”
“ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งมาเจอคุณอินซอบ”
อีอูยอนค่อยๆ สังเกตรอยที่อยู่บนข้อมือของอินซอบราวกับจะปรับลมหายใจให้เป็นปกติ เขาเห็นการถอนหายใจรางๆ ในดวงตาเรียวยาวของอีอูยอน
“อย่าทำดีมากเกินไปเลยครับ เพราะคุณประเมินผมสูงไป และทำให้ผมอยากกัดเหมือนเป็นหมา”
และประตูห้องพักรับรองก็ถูกเปิดออกก่อนที่จะทันได้ถามอีกฝ่ายว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่
“คุณอีอูยอน เตรียมตัวเลยค่ะ เดี๋ยวจะต้องเริ่มถ่ายแบบแล้ว”
อีอูยอนปล่อยมืออินซอบ
“เดี๋ยวมานะครับ”
แล้วอีอูยอนก็เดินออกจากห้องพักรับรองไปทั้งๆ แบบนั้น ตอนนั้นเองเขาถึงได้รู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่ข้อมือ
บอกว่าไม่อยากรู้สึกเสียใจที่ทำลงไป แล้วก็อย่าทำดีงั้นเหรอ แล้วมันหมายความว่าอะไรกันล่ะ
อินซอบลูบข้อมือที่ยังมีรอย และครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของอีอูยอนอยู่สักพัก แต่สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขามีแค่สายตาของอีอูยอนที่ดึงเขาออกมาจากแชยอนซอเท่านั้น
‘ประเมินสูงไป’
และความละอายที่รุนแรงกว่าเมื่อสักครู่นี้หลายเท่าก็พุ่งขึ้นมา
[1] ป่าที่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา เป็นการเปรียบเทียบเหมือนกันเป็นระยะทางที่ยาวไกล