ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 3 ตอนที่ 5-10
อินซอบหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มน้ำดัง อึกอึก แม้น้ำจะหมดไปแล้วแก้วหนึ่ง แต่ความกระหายน้ำก็ไม่หายไปแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นไปรินน้ำจากเหยือกที่ถูกเตรียมไว้บนโต๊ะ และถอนหายใจหลังจากที่ดื่มน้ำหมดไปครึ่งแก้ว
“เฮ้อ…”
อินซอบเหลือบมองประตูทางเข้าของคาเฟ่อยู่หลายรอบ ปลายนิ้วของเขาชาด้วยความตึงเครียด
“ห้ามเครียดนะ”
อินซอบพยายามคิดเรื่องดีๆ และกำแบมือของตัวเองสลับไปมาอยู่หลายครั้ง เขามาฟังผลตรวจในวันนี้
‘เป็นเพราะความเครียดครับ’
คำพูดของหมอที่เพ่งมองชาร์ทคนไข้อย่างเคร่งขรึมอยู่พักหนึ่งทำให้อินซอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
‘โชคดีจริงๆ เลยครับ’
เขากระสับกระส่ายอยู่ตลอดทั้งวัน เพราะกังวลว่าถ้าเกิดปัญหากับหัวใจจนต้องผ่าตัดจะทำอย่างไร แต่สีหน้าของหมอที่ได้ยินคำตอบของอินซอบกลับเย็นชา
‘ตอนนี้คนไข้กำลังคิดผิดอย่างมหันต์อยู่นะครับ’
การทิ้งระเบิดของหมอเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น คุณหมอสาธยายอย่างยืดยาวเกี่ยวกับความเครียดที่มีผลต่อโรคหัวใจกับลักษณะพิเศษของอินซอบ สภาพร่างกายในตอนนี้ และทิศทางที่จะต้องเป็นไปในอนาคต อินซอบเก็บมือ และฟังคำพูดของหมอเงียบๆ เหมือนนักเรียนที่ฟังคำตักเตือน
‘ห้ามเครียดเด็ดขาดเลยนะครับ เข้าใจไหม ผมทราบครับว่ามันเป็นการบ้านที่ยากที่สุดสำหรับคนยุคนี้ แต่คุณไข้จะต้องระวังเป็นพิเศษนะครับ คุณเองก็รู้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอครับว่ากรณีของคุณพิเศษขนาดไหน ลองอยู่เฉยๆ สักเดือนสองเดือนนะครับ’
‘แต่…’
‘ถ้าไม่ได้อดตาย ก็พักงานไปสักระยะเถอะครับ ถ้าเป็นนักเรียนก็พักเรื่องเรียนเอาไว้ก่อน คุณจะต้องเลี่ยงสิ่งที่เป็นปัจจัยที่ทำให้เครียดทั้งหมด’
อินซอบพยักหน้าโดยไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะน้ำเสียงของหมอที่พูดแบบนั้นรุนแรงมาก และเขาต้องฟังการสาธยายที่รุนแรงของหมอไปอีกประมาณสิบนาที
อินซอบดื่มน้ำอีกครั้ง เพราะรู้สึกว่าปากแห้ง และล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อเช็กสิ่งของที่เอามา เขาล้วงมือเข้าๆ ออกๆ กระเป๋าบ่อยถึงขนาดที่ถ้าใครมาเห็นคงคิดว่าเขาบ้าหรือเปล่า
“จะต้องไม่เป็นไร”
อินซอบพึมพำเบาๆ และสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ถ้าคุณหมอมาเห็นสีหน้าของเขาตอนนี้ จะต้องถามอย่างโกรธจัดว่าทำไมเขาถึงทำตรงข้ามกับที่หมอพูดอย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็มีแค่วิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ทำให้จบลงที่นี่ ต่อไปในอนาคตก็คง…
กระดิ่งตรงประตูสั่นจนเกิดเสียงดัง ผู้ชายที่กดหมวกลงต่ำและสวมแว่นกันแดดมองไปรอบๆ ด้วยน้ำสายตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดก่อนจะขยับเท้าเมื่อเห็นอินซอบ
“นายบ้าไปแล้วเหรอ เสียสติไปแล้วหรือไงถึงได้สั่งให้ฉันไปไหนมาไหน”
คังยองโมทิ้งตัวลงนั่ง เขากดเสียงต่ำและข่มขู่อินซอบ สายตาของคนรอบข้างพุ่งมาทางนี้โดยอัตโนมัติ คังยองโมเองก็เป็นดาราเหมือนกัน แม้จะปิดบังใบหน้าด้วยหมวกและแว่นกันแดด แต่ก็มีรูปลักษณ์ที่ดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างอยู่ดี
“ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีหรอกครับ”
อินซอบตอบอย่างใจเย็น แต่ปลายนิ้วที่ประสานกันอยู่ใต้โต๊ะกลับสั่นระริก
“สามนาที”
คังยองโมยกนาฬิกาโรเล็กซ์สีทองอร่ามขึ้นมาดูพลางเอ่ยตอบ อินซอบพยักหน้า
“ไปสั่งกาแฟมาฉันแก้วหนึ่งสิ เอาอเมริกาโน่ร้อน”
“ถ้าสั่งกาแฟ เวลาจะเดินนะครับ”
คังยองโมถอดแว่นกันแดดออกด้วยสีหน้าที่พูดว่า ‘ไอ้เวรนี่’
ตอนที่อินซอบสืบหาเบอร์โทรศัพท์ของคังยองโมและโทรศัพท์ไปหานั้น ปฏิกิริยาแรกของคังยองโมคือตกใจ อินซอบไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรให้กับความน่าขำที่อีกฝ่ายถามว่ายังไม่ตายอีกเหรอ คังยองโมแหวว่าทำไมตนจะต้องออกไปที่นั่นด้วยในตอนที่อินซอบระบุเวลากับสถานที่นัดพบและขอให้ออกมา อินซอบบอกว่า “งั้นก็ตามใจครับ แล้วคุณจะเสียใจ” ก่อนวางสายไป
และตอนนี้
“มีความอดทนกว่าที่เห็นนะเนี่ย ฮ่าๆๆ จริงสิ ถ้าไม่มีความอดทน จะทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวอยู่ใต้ไอ้อีอูยอนนั่นเหรอ”
อินซอบไม่สนใจว่าคังยองโมจะพูดอะไร เขาหยิบจุดประสงค์ที่ทำให้เขาออกมาที่นี่ในวันนี้ออกมาจากกระเป๋า และวางลงบนโต๊ะ
“มันคืออะไร”
“USB ครับ”
ใบหน้าของคังยองโมสดใส
“ฮ่าๆๆ นายนี่ฉลาดกว่าที่เห็นนะ ถ้าทำแบบนี้ตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องหงุดหงิดกันทั้งสองฝ่ายแล้ว เยี่ยมมาก”
คังยองโมหัวเราะพร้อมกับเอื้อมมือออกมาฉวย USB ที่วางอยู่บนโต๊ะ เขามองไปรอบๆ ก่อนจะกระซิบด้วยเสียงเบาๆ กับอินซอบ
“เก็บกวาดหมดแล้วเหรอ ได้เช็กพวกคอมพิวเตอร์ของอีอูยอนหรือยัง แน่ใจใช่ไหม ไม่สิ ฉันจะตรวจสอบข้อมูลที่อยู่ข้างในก่อนแล้วจะติดต่อไป…”
อินซอบยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้โดยไม่พูดอะไร สีหน้าของคังยองโมที่เห็นคลิปที่กำลังเล่นอยู่ในหน้าจอเครียดขึ้นมาทันที
“นี่มันอะไร”
“คลิปที่อยู่ใน USB ครับ”
“แล้วทำไมถึง…! แม่งเอ๊ย ทำไมถึงเอาคลิปนี้มา”
คังยองโมรู้สึกถึงสายตาที่อยู่รอบๆ จึงลดเสียงลง แม้ระยะห่างระหว่างโต๊ะจะกว้างพอที่จะไม่ได้ยินบทสนทนา แต่ก็ยังเป็นคาเฟ่ที่อยู่ติดกับถนนใหญ่ในคังนัม ไม่ว่าคังยองโมจะเหยียดหยามคนอื่นอย่างไร เขาก็ไม่สามารถไม่สนใจสายตาของคนอื่นได้
ในโทรศัพท์ของอินซอบมีคลิปที่คังยองโมต่อยอินซอบจนกระทั่งเขาล้มลงไป และค้นกระเป๋าก่อนจะโยนโทรศัพท์มือถือของอินซอบทิ้งไปอยู่ อินซอบหยุดคลิปและมองคังยองโมตรงๆ
“ถ้าไม่ฟังคำขอร้องของผม ผมจะอัปโหลดคลิปนี้ลงอินเทอร์เน็ตครับ”
ในตอนที่ออกจากโรงพยาบาลและกำลังจะขึ้นบ้าน อินซอบก็นึกขึ้นมาได้ว่าขวดยาตกอยู่ในที่จอดรถ และลงไปที่ลานจอดรถอีกครั้ง เขาเจอขวดยาที่ตกอยู่ตรงมุมของที่จอดรถ และหยิบยาที่ตกอยู่บนพื้นใส่ลงไปในขวด เพราะคิดว่าถ้าแมวข้างถนนมากินจะเป็นเรื่องใหญ่
พอเก็บยาจนหมดและลุกขึ้นมา อินซอบก็เหลือบเห็นแสงสีแดงที่กะพริบมาจากกระจกหน้ารถยนต์สีกรมที่มีฝุ่นเกาะจนขาว ถ้าอินซอบจำไม่ผิด รถคันนั้นจอดอยู่ตรงนั้นอยู่ก่อนแล้ว เขาตรวจสอบว่าเจ้าของรถเป็นใคร และเข้าไปหาพร้อมกับโสมแดงจำนวนสามชุด หลังจากนั้นเรื่องก็สำเร็จไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
“กะ แกหมายความว่ายังไง”
“ถ้าจะให้แจ้งให้ทราบก็คือถ้าเมื่อวานผมไม่โชคดีถูกพาไปส่งที่โรงพยาบาลทันที ก็จะเป็นอันตรายครับ ผมจะเขียนสถานการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียดในตอนที่อัปโหลดคลิปด้วย”
คังยองโมแสร้งหัวเราะ
“แกกล้าขู่ฉันเหรอ ถ้าแกขู่ฉัน นั่นก็เป็นความผิดนะ กล้าเรียนมาแต่พฤติกรรมแย่ๆ มาได้ยังไง”
“ผมไม่สนหรอกครับ”
อินซอบพูดต่ออย่างใจเย็น
“ผมจะรับโทษในส่วนที่ผมทำผิดเองครับ แต่คุณนักแสดงคังยองโมจะต้องจ่ายเงินชดเชยครับ”
เขาต้องโดนโทษอาญาอยู่แล้ว เพราะใช้ความรุนแรงจนคนอื่นได้รับบาดเจ็บ แต่เงินชดเชยที่ชเวอินซอบพูดถึงไม่ใช่เรื่องนั้น และคังยองโมก็รู้ความจริงนั้นดีกว่าใคร
แม้ฉากที่ทะเลาะกันจะไม่ชัดเจนและปล่อยผ่านไปได้ แต่ผู้คนจะไม่ปล่อยฉากที่เขาหยิบมือถือของคนที่ทรุดลงไปขึ้นมาและปาออกไปไปเฉยๆ เด็ดขาด
“ผมจะไปทันทีที่ได้คำตอบ ถ้าเลยเวลานัดไปแล้ว ผมจะขอให้เพื่อนอัปโหลดคลิปนี้ให้ครับ”
“แก…”
สันกรามของคังยองโมสั่นระริก
“สิ่งที่ผมต้องการง่ายมากครับ คืออย่าโผล่มาอีก และก็ห้ามสั่งให้พวกนักข่าวคอยตามผมด้วย ถ้าทำอย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องห่วงเรื่องข้อมูลที่อยู่ใน USB อันอื่นเลยครับ ผมสัญญา”
เขาไม่ได้โกหก เพราะไม่มีอะไรอยู่ใน USB ที่คังยองโมกังวลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เรื่องคราวนี้จะต้องจบที่นี่
อินซอบใช้โทรศัพท์ดูเวลา
“เหลือหนึ่งนาทีแล้วครับ”
***
อินซอบกดกริ่งก่อนจะกลั้นหายใจ แม้จะสามารถกดรหัสผ่านและเข้าไปได้โดยไม่มีปัญหา เพราะรู้รหัสผ่านอยู่แล้ว แต่เขากลับไม่เคยเข้าไปแบบนั้นเลยสักครั้ง
พอไม่มีเสียงตอบรับกลับมา อินซอบก็กดกริ่งอีกครั้ง ตอนที่ส่งข้อความมาบอกว่าจะไปหาที่บ้าน อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาสั้นๆ ว่ารู้แล้ว จึงไม่น่าจะปล่อยบ้านให้ว่างและออกไปไหน
ผ่านไปไม่นานอินซอบก็ได้ยินเสียงคนจากด้านใน และประตูก็ถูกเปิด เขามองเห็นใบหน้าเรียบเฉยของอีอูยอนผ่านช่องประตูที่เปิดออก
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
แม้จะไม่ได้คาดหวังถึงการต้อนรับที่ดีเลิศ แต่ท่าทีที่เหมือนปฏิบัติต่อคนไม่รู้จักกันก็ทำให้อินซอบเสียกำลังใจ
“ขอโทษที่มาหาดึกๆ ครับ แต่ผมมาหาเพราะมีเรื่องจะพูดด้วย”
เขาคิดว่าจะโทรศัพท์มาหาดีไหม แต่ก็จงใจมาหาเพราะอยากเห็นหน้า
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
อีอูยอนยืนเอียงพิงกำแพงและยังคงไม่เปิดประตูให้
“เอ่อ คือว่า คือผมอยากจะขอโทษที่เมื่อวานโทรศัพท์มาหากลางดึกน่ะครับ…”
อินซอบไม่มีความสามารถในการพูดต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะถ้าต้องยืนต่อหน้าคนจำนวนมาก ภายในหัวของเขาจะขาวโพลนและเหงื่อไหล ตอนนี้มีแค่อีอูยอนเท่านั้นที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับรู้สึกเหมือนยืนอยู่หน้าคนนับร้อย
“แล้วอะไรอีกครับ
อีอูยอนเร่งให้พูดต่อ
“…เข้าไปคุยข้างในไม่ได้เหรอครับ”
ตอนนั้นเองอีอูยอนถึงได้ยอมเปิดประตูให้ เพราะคำขอร้องที่อินซอบเอ่ยอย่างยากลำบาก อินซอบเข้าไปในบ้านก่อนจะเอามือไปข้างหลังและถูมือที่ชื้นเหงื่อเข้าด้วยกัน แม้จะเป็นประตูบ้านที่เดินเข้ามาหลายครั้ง แต่กลับรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
อีอูยอนเดินไปทางห้องนั่งเล่น พออินซอบลังเลและยืนอยู่กับที่ เขาก็หันมาเหลือบมอง
“ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะครับ”
“ขออนุญาตครับ”
อินซอบพึมพำเบาๆ ก่อนจะถอดรองเท้าออกและวางให้เป็นระเบียบ ทันทีที่เดินไปที่ห้องนั่ง กลิ่นบุหรี่ก็ตลบอบอวล เขาเห็นก้นบุหรี่จำนวนหลายอันอยู่ในที่เขี่ยบุหรี่ที่วางไว้บนโต๊ะ
“กลับมาสูบอีกครั้งเหรอครับ”
“ครับ”
อีอูยอนตอบกลับมานิ่งๆ ราวกับไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร อินซอบลังเลก่อนจะนั่งลงตรงริมโซฟา อีอูยอนจุดบุหรี่ และเสียงไส้กรองบุหรี่ที่ถูกเผาไหม้ก็ดังขึ้นในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงบ
“คุณบอกว่ามีเรื่องที่จะพูดนี่ครับ”
“อ๋อ ครับ”
อินซอบพยักหน้าก่อนจะไอเบาๆ อีอูยอนย่นหน้าผาก เขาดับบุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่ก่อนจะลุกไปเปิดหน้าต่าง
“ไม่เป็นไรครับ สูบต่อเถอะ”
“พูดเรื่องที่อยากพูดมาสิครับ”
อีอูยอนนั่งลงบนโซฟาอีกครั้งและย้อนตอบ แปลก อีกฝ่ายทำตัวไม่สนิทสนมราวกับตนเพิ่งจะเคยมาเป็นครั้งแรก อินซอบค่อยๆ ห่อไหล่เข้ามา เพราะไม่รู้เหตุผลนั้น
“ผมจะมาขอบคุณที่อ่านหนังสือให้ฟังน่ะครับ คุณน่าจะเหนื่อย เพราะอ่านจนจบเลย ขอโทษด้วยนะครับ”
แม้จะเป็นเรื่องสั้นที่สั้นแค่ไหน แต่การอ่านออกเสียงก็ต่างกับการอ่านคนเดียว ถ้ามีปริมาณขนาดนั้น ก็คงใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่ออีอูยอนอ่านออกเสียงประโยคต่างๆ ช้ากว่าปกติในตอนที่อ่านให้ตนฟัง
“ผมไม่ได้อ่านจนจบหรอกครับ ยังเหลืออีกสามหน้า”
ความทรงจำของอินซอบมีถึงแค่บทนำเท่านั้น ดูเหมือนอีอูยอนจะอ่านหนังสือให้ฟังต่อไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นอย่างที่เขาคิด
“ยังไงก็ขอบคุณนะครับ แล้วตอนนี้คุณไม่ต้องสนใจเรื่องของคุณคังยองโมแล้วก็ได้นะครับ ผมได้รับการติดต่อมาว่าหลังจากนี้จะไม่มีเรื่องให้คุณทั้งสองต้องเจอกันอีกเด็ดขาด เพราะหากทั้งสองฝ่ายปะทะกัน คงจะไม่ดี ”
“ผมไม่เคยสนใจไอ้หมอนั่นตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ”
“…ครับ”
อินซอบไม่กล้าแม้แต่จะพูดว่า ‘แต่ผมสนใจมากครับ’
“แล้วเรื่องอื่นล่ะครับ”
“ครับ?”
“ไม่มีเรื่องอื่นจะพูดแล้วเหรอครับ”
อีอูยอนไล่สายตามองอินซอบอย่างไม่ยอมแพ้ เขารู้สึกเหมือนถูกซักไซ้ความผิด อินซอบรู้สึกขายขี้หน้าในตัวเองอย่างมากที่มาเพื่อแบ่งปันความยินดีที่ข่มขู่คนสำเร็จเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาจึงได้แต่ก้มหน้าและตอบกลับไปว่าไม่มี
“ถ้าไม่มีเรื่องจะพูด ก็น่าจะซื้อเค้กมาด้วยสิ”
คำพูดที่อีอูยอนพูดคนเดียวทำให้อินซอบรู้ตัวว่าตัวเองทำตัวไร้มารยาท
“ขอโทษครับ ผมมามือเปล่า เพราะไม่มีเวลา จะให้ผมไปซื้อเค้กรสอะไรมาให้ดีครับ”
อีอูยอนก้มลงมองอินซอบด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนเกินบรรยายอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ
“ผลตรวจล่ะ”
อีอูยอนจ้องอินซอบตรงๆ ในขณะที่เอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรผิดปกติเป็นพิเศษครับ”
แม้จะหมอจะสั่งให้พักเรื่องเรียน หรือเรื่องงานไปสักระยะหนึ่ง แต่ยังไงเขาก็ทำงานถึงแค่เดือนนี้อยู่แล้ว
“อย่างนั้นสินะครับ”
อีอูยอนยืดตัวขึ้นจากโซฟา และประกบปากลงมาบนริมฝีปากของอินซอบก่อนที่จะทันได้ถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น