ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 1 บทนำ 1
“ขอโทษครับ สักครู่นะครับ สักครู่นะครับ ขอผ่านไปหน่อยครับ”
ชายหนุ่มใบหน้าซีดเผือดขอความเห็นใจไปตลอดทางพร้อมกับเดินแหวกผู้คนไปด้วย ลิฟต์โดยสารที่ขึ้นมาจากชั้นใต้ดินเต็มก่อนที่จะมาถึงชั้นหนึ่งเสียอีก ชายหนุ่มจึงวิ่งขึ้นบันไดไป แม้จะเหนื่อยจนแทบขาดใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่หยุดพัก พอมาถึงที่ชั้นแปด โต๊ะของแผนกลงทะเบียนโผล่เข้ามาในสายตาของเขาขณะหันไปมองรอบๆ เขาวิ่งตรงเข้าไปอย่างเร่งรีบพลางหอบหายใจและอ้าปากพูดอย่างยากลำบาก
“คนไข้ชาฮยอนคยู…”
“ห้อง 401 อยู่ทางด้านในนั้นค่ะ”
พยาบาลตอบตามหน้าที่โดยไม่ละสายตาออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เลย ชายหนุ่มวิ่งไปตามทางนั้น ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมาแล้วมาที่โต๊ะลงทะเบียนอีกครั้ง
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มก้มหัวขอบคุณปลกๆ และวิ่งไปตามทางเดินอีกครั้ง หัวใจของเขาเหมือนจะระเบิด มันเต้นตึกตักจนน่ากลัวว่าจะหยุดเต้นไปแบบนี้เลยหรือเปล่า หลังจากตรวจสอบตัวเลขที่หน้าห้องพักผู้ป่วยแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถเปิดประตูได้
ไม่เป็นไร จะต้องไม่เป็นไร
นี่เป็นคำที่เขาคล้ายจะท่องมาตลอดทางที่วิ่งมาถึงที่นี่หลังจากได้ยินข่าวอุบัติเหตุ เขาจับลูกบิดประตูอย่างยากลำบากด้วยมือที่สั่นเทาและออกแรงบิด
“อ้อ! คุณอินซอบมาแล้วเหรอ”
เมื่อชายที่นอนอยู่บนเตียงเห็นเด็กหนุ่มจึงทักทายอย่างยินดี
“หัวหน้าทีมชาเป็นยังไงบ้าง…”
“ก็หักเป็นท่อนๆ เลยน่ะสิ”
หัวหน้าทีมชาฮยอนคยูยิ้มกว้างพลางชี้ไปที่ขาของตัวเอง
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
“เขาบอกว่าต้องผ่าตัดเอาเหล็กดามน่ะ แต่กระดูกมันหักเป็นสองท่อนอย่างเรียบร้อยเลย การดามเหล็กก็เลยง่าย เป็นไปได้ด้วยดีมากๆ เลยนะ ว่าไหม”
หัวหน้าทีมชายิ้มพรายพลางหันไปขอความเห็นจากกรรมการผู้จัดการคิมที่ยืนอยู่ข้างเตียง กรรมการผู้จัดการคิมที่กำลังทำหน้าบูดบึ้งอยู่นั้นขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
“นายควรพูดแบบนั้นตอนนี้เหรอ ให้ตายสิ”
กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงเสยผมหน้าม้าขึ้นไปอย่างแรงพร้อมกับถอนหายใจ การที่เขาผู้ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็มักจะแวะไปที่ร้านทำผมและไม่พลาดการตัดแต่งผมให้สวยงามอยู่เสมอนั้นใช้มือของตัวเองทำให้ผมยุ่งเหยิงเป็นเรื่องไม่ค่อยมีให้เห็น ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ใจของชเวอินซอบตกลงไปที่ตาตุ่ม
เขาได้รับข้อความจากกรรมการผู้จัดการคิมเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน
‘รถที่อีอูยอนนั่งเกิดอุบัติเหตุ ช่วยมาที่โรงพยาบาลหน่อย’
ชเวอินซอบโทรศัพท์หาอีอูยอนทันทีที่ได้รับข้อความ แต่โทรศัพท์ของอีอูยอนกลับปิดเครื่องด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขาจำไม่ได้แล้วว่าเขาโบกแท็กซี่มาด้วยสติแบบไหน แม้จะลองต่อสายหาอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง แต่โทรศัพท์ของอีอูยอนก็ยังปิดอยู่อย่างนั้น เคราะห์ซ้ำกรรมซัด โทรศัพท์มือถือของอินซอบเองก็แบตเตอร์รี่หมดและดับไปในแท็กซี่
แม้จะเห็นแล้วว่าหัวหน้าทีมชาดูปกติดีเมื่อเทียบกับการขาหัก แต่ชเวอินซอบก็ยังไม่คิดว่าโล่งอก แม้จะรู้สึกผิดอย่างมาก แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในหัวของเขาตลอดทางที่มาที่นี่ และตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นคนที่ว่านั่นเลย
“คะ คุณอีอูยอน…”
น้ำตาคลออยู่ในดวงตากลมโตของอินซอบ เขาพยายามจะไม่ร้องไห้ จึงกัดด้านในปากเอาไว้พร้อมกับถามออกไปอย่างยากลำบาก
“เอ่อ มัน…”
เขาได้ยินเสียงทุ้มต่ำและนุ่มนวลจากทางด้านหลังก่อนที่กรรมการผู้จัดการคิมจะพูดจบ
“มันเหรอครับกรรมการผู้จัดการ ผมเสียใจนะเนี่ยที่ได้ยินแบบนี้”
“มาแล้วเหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมเบ้ปากพลางตอบกลับ
ชเวอินซอบหันหลังกลับไปมองโดยที่ไม่สามารถกะพริบตาได้ พอสบตากัน อีอูยอนก็ฉีกยิ้มนุ่มนวลราวกับมีกลิ่นกาแฟที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวลอยออกมา แม้จะเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายปกติดี แต่ชเวอินซอบก็ยังมองฝ่ายนั้นอย่างเหม่อลอยอยู่สักพัก
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ คุณอินซอบ”
อีอูยอนเอ่ยทักทายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เพราะคุณไม่รับโทรศัพท์ ผมก็เลยเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น…”
อีอูยอนหยิบโทรศัพท์มือถือที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ออกมาจากกระเป๋าให้ดู
“ผมไม่ได้รับสายเพราะมีเรื่องที่ต้องจัดการนิดหน่อยน่ะครับ ขอโทษนะครับ”
“ตรวจร่างกายหรือยังครับ ไม่สิ ต้องตรวจนะ พวกอุบัติเหตุทางรถยนต์น่ะ ต่อให้ไม่เป็นไร แต่ก็มีกรณีที่บาดเจ็บขึ้นมาหลังจากนั้นวันสองวันเยอะเหมือนกันนะครับ รีบไปตรวจร่างกายเลยครับ ผมจะจัดการให้ทั้งหมดเลย”
อีอูยอนจงใจไม่ติดต่อชเวอินซอบ เพราะเขาไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเป็นกังวล เขาคิดว่านั่นเป็นวิธีที่คนปกติจะทำกัน แต่พอได้เห็นอินซอบที่พูดโดยไม่หายใจในสภาพที่มีน้ำตาคลอ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรกับความยินดีที่พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของโคลนสีดำนั้น
อีอูยอนกลั้นเสียงหัวเราะต่ำๆ เอาไว้ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ผมเพิ่งกลับมาจากการตรวจร่างกายครับ”
“ผลล่ะครับ…”
“ผลก็ปกติดีครับ ไม่มีแม้แต่รอยฟกช้ำเล็กๆ ด้วยซ้ำครับ”
หัวหน้าทีมชายันตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงพลางพูดว่า ‘ไอ้คนดวงซวยเอ๊ย’ พร้อมกับเดาะลิ้นเบาๆ ให้กับคำตอบของอีอูยอน
“ดวงซวยอะไรกันล่ะครับ คนขับรถต้องมาขาหักเพราะล้อรถหลุดไปล้อหนึ่ง แต่ผมไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่ปลายเล็บ นี่มันโชคดีมากๆ ว่าไหมครับ”
หัวหน้าทีมชาจับต้นคอก่อนจะนอนลงบนเตียงตามเดิม
“เบาๆ หน่อย แปดสัปดาห์เชียวนะกว่าหัวหน้าทีมชาจะหายเป็นปกติน่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมทนดูไม่ได้จึงตำหนิอีอูยอน
“ฮ่าๆๆ แน่นอนสิครับ ผมเกือบตายเพราะความไม่ระมัดระวังขณะขับรถของหัวหน้าทีมชานะครับ ผมก็ต้องเบาๆ กับเขาอยู่แล้ว”
“นี่ พูดตรงๆ นะ ที่เป็นแบบนั้นไม่ใช่ว่าฉันประมาทนะ แต่จู่ๆ ก็มีอะไรไม่รู้สีดำโผล่ออกมาต่างหาก”
หัวหน้าทีมชาหักพวงมาลัยอย่างกะทันหัน เนื่องจากมีวัตถุสีดำโผล่ออกมาตรงหน้ารถในขณะที่เขาเลี้ยวโค้ง
“ฉันตกใจมากเลย คิดว่าเป็นลูกหมาน่ะสิ”
การทำสัตว์ตายบนถนนเป็นเรื่องที่หัวหน้าทีมชาผู้รักสัตว์อยากจะเลี่ยงโดยเด็ดขาด
“แล้วลูกหมาเป็นยังไงบ้างครับ บาดเจ็บหรือเปล่า”
ชเวอินซอบเอ่ยถามอย่างตกใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะมันไม่มีหมาให้บาดเจ็บตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“ครับ?”
“มันเป็นถุงพลาสติกสีดำน่ะครับ ไหนๆ หัวหน้าทีมก็เข้าโรงพยาบาลแล้ว ลองตรวจสายตาดูสักรอบสิครับ ถ้าดูจากการที่คุณแยกไม่ออกระหว่างหมากับถุงพลาสติกแล้ว ถือว่าน่าเป็นห่วงมากเลยนะครับ”
หัวหน้าทีมชาอดกลั้นความอยากจะตะโกนออกมาว่า ‘หมาที่เกือบจะบาดเจ็บน่ะไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่มีอยู่หนึ่งตัวในห้องพักผู้ป่วยนี้ต่างหาก’
“ยังไงก็เถอะ โชคดีมากเลยนะครับที่ไม่ใช่ลูกหมา”
พอเห็นชเวอินซอบถอนหายใจอย่างโล่งอก อีอูยอนก็เอียงคอ
“ถ้าเป็นคุณอินซอบจะทำยังไงเหรอครับ”
“ครับ? หมายถึงอะไรเหรอครับ”
“ถ้าเกิดเหตุการณ์นั้น คุณจะหักพวงมาลัยหรือเปล่าครับ เงื่อนไขคือถ้าเป็นหมาจริงๆ”
“แน่นอนว่า..”
ตายิ้มของอีอูยอนเป็นของชั้นยอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องเจอกับตายิ้มที่ยิ้มในขณะที่ตั้งใจมองคู่สนทนาแล้วล่ะก็ ไม่มีทางจะหนีออกไปได้เลย ถึงขนาดที่มีข่าวลือออกมาว่าแม้แต่ดาราสาวระดับแนวหน้าคนหนึ่งยังลืมบทและโดนสั่งคัทอยู่หลายรอบ ถ้าอีอูยอนทำตายิ้มพร้อมกับต่อบทไปด้วย
“ลองบอกมาสิครับ ว่าเป็นผมหรือหมา”
อีอูยอนจ้องตาพร้อมกับถามอย่างไม่ยอมแพ้ในขณะที่ทำตายิ้มไปด้วย ชเวอินซอบไม่กล้าที่จะตอบว่าตนเลือกที่จะชนหมาต่อให้เป็นการแสร้งตอบก็ตาม และเขาก็ทำตัวไม่ถูก
รอยยิ้มที่ประดับอยู่ที่ปากของอีอูยอนค่อยๆ กว้างขึ้นเรื่อยๆ
“ผมไม่บาดเจ็บเพราะโชคดี แต่ก็อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นก็ได้นะครับ”
“ครับ ผมคิดว่าโชคดีจริงๆ”
“แต่เราก็ไม่ได้มีดวงเสมอไปนี่ครับ เพราะฉะนั้นคุณจะทำยังไงครับ”
“เรื่องนั้นน่ะ…”
ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความลำบากใจ และสีหน้าก็เหมือนจะร้องไห้ อีอูยอนมองภาพนั้นโดยไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง
…ทำไมถึงโดนไอ้คนพรรค์นั้นหลอกได้นะ
หัวหน้าทีมชากับกรรมการผู้จัดการคิมแลกเปลี่ยนสายตากันด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“อะแฮ่ม อินซอบ จะดื่มอะไรไหม เอาเครื่องดื่มหรือเปล่า”
กรรมการผู้จัดการคิมเปิดประตูตู้เย็นพร้อมกับเอ่ยถามเพื่อช่วยชีวิตอินซอบ
“ไม่เป็นไรครับ”
พอหัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยน อินซอบก็รีบหันหน้าไปตอบ
“ไม่เป็นไรอะไรล่ะ หน้านายมีแต่เหงื่อ”
“นั่นน่ะสิครับคุณอินซอบ ทำไมเหงื่อถึงออกขนาดนี้ล่ะครับ”
อีอูยอนจับคอของอินซอบพลางถาม
“เพราะวิ่งขึ้นบันไดมา…”
“ผมบอกว่าอย่าหักโหมไงครับ”
อีอูยอนขมวดคิ้ววูบหนึ่ง แม้จะดูเหมือนคนปกติ แต่อินซอบก็มีร่างกายที่หักโหมเกินไปไม่ได้
“แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ทำไมถึงไม่ขึ้นลิฟต์ล่ะครับ”
“ไม่มีเวลารอน่ะครับ”
“ห่วงผมมากเลยเหรอครับ”
“ครับ แน่นอน…”
ขณะที่กำลังจะตอบ ชเวอินซอบก็เหลือบไปเห็นกรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชาเสียก่อนจึงปิดปากอย่างรวดเร็ว
“พูดมาสิครับ ว่าห่วงมากแค่ไหน”
นิ้วเย็นๆ สัมผัสที่ต้นคอ อินซอบห่อไหล่พร้อมกับตอบไปด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ว่า ‘เป็นห่วงมากครับ’ รอยยิ้มฉายขึ้นมาในดวงตาของอีอูยอนที่ก้มลงมองต้นคอที่แดงซ่านของอินซอบ
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”
“โล่งอกไปทีนะครับ”
“แต่ผมก็อยากให้คุณเป็นห่วงผมมากกว่าหมาที่ไม่มีอยู่จริงนะครับ”
ใบหน้าของอินซอบค่อยๆ แดงขึ้นในทุกๆ คำที่อีอูยอนพูดออกมา
“พอแล้วน่า อินซอบจะร้องไห้แล้ว”
กรรมการผู้จัดการคิมนิ่วหน้าพลางเอ่ยปรามการทารุณของอีอูยอน ตอนนั้นเองอีอูยอนถึงได้หันหน้าไป
“งั้นจะทำยังไงล่ะครับ”
“ทำอะไรเรื่องอะไร”
“เรื่องผู้จัดการส่วนตัวไงครับ”
หลังจากที่อินซอบลาออก หัวหน้าทีมชาก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนเรื่อยมา เป็นการเจรจาที่เกิดขึ้นจริงหลังจากจบข้อเสนอพิเศษที่เรียกว่าการเพิ่มรายได้ต่อปีมากกว่า 500 เปอร์เซ็นต์ แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะแบ่งส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทให้ทุกครั้งที่หัวหน้าทีมชาจะยื่นจดหมายลาออก แต่ก็ยังเป็นจำนวนที่ไม่น่าพอใจอยู่ดี ดังนั้นหัวหน้าทีมชาจึงกอดจดหมายลาออกไว้แนบอกอยู่เสมอ
“พรุ่งนี้ผมก็มีตารางงานนะครับ ต้องหาผู้จัดการส่วนตัวแล้วล่ะ”
“อยากจะทำลายชีวิตคนดีๆ ที่ไหน…เฮือก”
หัวหน้าทีมชาพูดพึมพำความในใจออกมาก่อนจะรีบหุบปาก อีอูยอนยิ้มจนตาหยีพลางปรายตามองหัวหน้าทีมชา และร้อง ‘อืม’ ก่อนจะเงียบไป
“ทำไม! อะไร! มีอะไร!”
หัวหน้าทีมชาสัมผัสได้ถึงลางร้ายตามสัญชาตญาณจึงแผดเสียงออกมา
“กำลังคิดว่าจะทำได้ไหมน่ะครับ”
“ทำอะไรได้!”
“ก็ใช้เท้าขวาเหยียบเบรกกับคันเร่งใช่ไหมล่ะครับ ผมเลยคิดว่าก็ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ได้เลยซะหน่อย”
“…”
หัวหน้าทีมชาหน้าซีด ขาที่หักคือขาข้างซ้าย นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายกำลังสั่งให้เขาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวด้วยขาที่หัก
“อย่านะ ฮยอนคยูได้ตายแน่”
กรรมการผู้จัดการคิมเข้าข้างเพื่อนตัวเอง
“ฮ่าๆๆๆ ล้อเล่นครับ”
เสียงหัวเราะของอีอูยอนทำให้บรรยากาศในห้องพักผู้ป่วยสั่นสะเทือนเบาๆ แต่คนทั้งสามคนที่อยู่ในห้องคิดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
…นั่นพูดจริงสินะ
“ว่าแต่จะทำยังไงกันดีล่ะครับ”
“ก็อย่างที่นายพูด นี่ไม่ใช่งานที่จะให้ใครทำก็ได้”
กรรมการผู้จัดการคิมทำเสียงเจ็บปวด
“กรรมการผู้จัดการคิมก็ทำเองสิครับ”
หัวหน้าทีมชานั่งพิงหมอนขณะที่โจมตีกรรมการผู้จัดการคิมอย่างแรง
“จะบ้าเหรอ ฉันเนี่ยนะ ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงจะไปเป็น…ฮ่าๆ ช่างเถอะ ฉันเป็นกรรมการผู้จัดการนะ จะให้ไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวได้ยังไงล่ะ จะได้มีข่าวลือแปลกๆ ออกไปน่ะสิ”
“ก็ดูจะเป็นอย่างนั้นนะครับ”
หัวหน้าทีมชาเห็นด้วยด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดี
“ใช่เลยล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“เลือกใครก็ได้มาเถอะครับ ใช้งานแค่สิบห้าวันแล้วค่อยไล่ออกก็ได้”
อีอูยอนพ่นคำพูดที่สวนทางกับวิถีของมนุษย์และกฎหมายแรงงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สิบห้าวัน? ใครบอกว่าสิบห้าวันล่ะ ฉันต้องพักฟื้นแปดสัปดาห์นะ เท่ากับว่าต้องใช้เวลาแปดสัปดาห์เต็มถึงจะหาย”
หัวหน้าทีมชาชี้ไปที่เท้าข้างขวาที่หักของตนพร้อมกับตะโกนอย่างมั่นใจ ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้รู้เหตุผลที่หัวหน้าทีมชาร่าเริงถึงขนาดนี้ แม้ว่าจะขาหัก
“…เข้าสัปดาห์ที่สามก็น่าจะสามารถขับรถได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมถอนคำพูดที่ตัวเองเพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่นี้อย่างระมัดระวัง
“ฮยอนคยูตายแน่ครับ”
หัวหน้าทีมชาตอบอย่างเด็ดขาด
“แค่นั้นไม่ตายหรอก”
พอเห็นหัวหน้าทีมชาแกว่งหมัด กรรมการผู้จัดการคิมก็หลบได้อย่างสบายๆ พร้อมหัวเราะคิกคัก ชเวอินซอบมองคนทั้งคู่ด้วยสีหน้าอิจฉาจากใจจริง
“โอ๊ย จะทำยังไงดีล่ะ จู่ๆ จะไปหาคนมาจากไหน เดี๋ยวไอ้เจ้าอีอูยอนก็จะยุ่งสุดๆ แล้ว เพราะภาพยนตร์กำลังจะเปิดตัว แล้วจะได้สอนงานกันตอนไหนล่ะ ผู้จัดการส่วนตัวที่มีประสบการณ์ ไม่พูดมาก และมีความสามารถในการไม่กวนอารมณ์คนแบบนั้นจะตกมาจากไหนกัน”
พอกรรมการผู้จัดการคิมคร่ำครวญจบ ชเวอินซอบก็พูดอย่างระมัดระวัง
“ให้…ให้ผมทำได้ไหมครับ”