ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 1 ตอนที่ 2-7
“อ้อ นายนั่นเอง”
ฝ่ายนั้นจำอินซอบได้จึงทำทีเป็นรู้จักทันที อินซอบรีบโค้ง 90 องศาเพื่อทักทาย
“สวัสดีครับ”
“ดีกับผีน่ะสิ ว่าแต่นายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
คังยองโมนั่นเอง พวกเขาจะเชิญดาราที่ใกล้ชิดกับนักแสดงนำมาที่งานแถลงข่าวด้วย ใครกันนะที่สนิทสนมกับคนคนนี้ถึงขั้นเชิญมาที่งานแถลงข่าว อินซอบเหงื่อแตกอยู่ข้างใน และตอบกลับไปอย่างสุขุม
“ผมมาเพราะเป็นงานแถลงข่าวของคุณอีอูยอนครับ”
“เอ๋? แล้วชะชะช่าล่ะ?”
ชะชะช่าคือชื่อเล่นของหัวหน้าทีมชา
“หัวหน้าทีมชายังอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะอุบัติเหตุครับ ผมก็เลยมาแทนชั่วคราว”
“ให้ตาย ถ้าอยู่ข้างๆ อีอูยอนก็เกิดเรื่องได้ทั้งนั้นแหละ น่าขนลุกจริงๆ เลยว่าไหม ถ้านายไม่อยากโดนตามล่าก็รีบๆ ลาออกซะนะ”
“…งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
อินซอบก้มหัวให้อีกครั้ง เขาไม่อยากคุยกับคังยองโมนานๆ
“นี่ ว่าแต่อีอูยอนคบกับแชยอนซอจริงๆ เหรอ ไม่มีรูปที่สองคนนั้นถ่ายคู่กันสักใบเลยนะ แล้วมีข่าวลือเรื่องที่คบกันออกมาได้ยังไงล่ะ”
การยิ้มอย่างมีเลศนัยทำให้อินซอบรู้สึกหงุดหงิด
“ผมไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของนักแสดงครับ”
“ทำไมถึงไม่มีอะไรจะพูดล่ะ นายสนิทกับอีอูยอนนี่นา หมอนั่นเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวใหม่หมดขนาดนี้ก็เพราะนิสัยแย่น่ะสิ ชะชะช่าน่ะกลับมาทำอีกครั้ง เพราะกรรมการผู้จัดการคิมใช้ให้ทำ แต่นายไม่ใช่นี่นา”
แม้จะมีป้ายเตือนว่าห้ามสูบบุหรี่แปะอยู่ แต่คังยองโมก็มีทีท่าว่าไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
“นายได้จากบริษัทไปเท่าไหร่ล่ะ”
“ครับ?”
“ได้ไปเท่าไหร่ เขาให้เงินเยอะเลยเหรอ”
“ก็ได้พอสมควรครับ”
อินซอบรู้สึกงงกับการพูดเรื่องเงินที่โผล่มาอย่างไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
“พอสมควรน่ะ เท่าไหร่ล่ะ สองร้อย? สามร้อย?”
คังยองโมพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าอินซอบพลางเอ่ยถาม อินซอบไอโขลกๆ พร้อมกับเอามือมาอุดจมูกไว้
“นายเป็นผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่นี่ กล้าดียังไงมาปิดจมูกหา?”
“ขอโทษครับ”
“แล้วนายเองก็เป็นเด็กน้อยที่ลำบาก เพราะมัวแต่หาเงินด้วย”
แม้การพูดจะดูเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่เขากลับทนฟังคำพูดนั้นไม่ได้ เพราะเขารู้จักคนที่ชื่อคังยองโมดี
“อย่ารับเงินเล็กๆ น้อยอยู่ที่นั่นเลย มาทำงานที่บริษัทของฉันดีกว่า ฉันจะบอกให้เขาให้เงินนายอย่างสมน้ำสมเนื้อเลยล่ะ”
“ผมขอรับแค่ความหวังดีไว้ก็แล้วกันนะครับ”
“อย่ารับไว้แค่ความหวังดีเลย ถ้าต้องการเงินก็พูดมาได้ทุกเมื่อเลยนะ นะ? ที่ผ่านมานายสนิทกับอีอูยอนนี่”
นี่เป็นการไกล่เกลี่ยอย่างเปิดเผยว่าให้เอาจุดอ่อนของอีอูยอนมา เขาไม่อยากตอบอะไร อินซอบก้มหัวและเดินผ่านคังยองโมไป
“แปลกๆ นะที่อีอูยอนออกไปเมื่อกี้ แต่นายกลับเข้ามาอยู่ที่นี่ได้สักพักหนึ่งแล้ว อ๋อ เขาล็อกประตูห้องน้ำแล้วจัดกับนายในนี้เหรอ”
อีกฝ่ายพูดล้อเล่นอย่างไม่คิดอะไร แต่ปัญหาก็คืออินซอบไม่สามารถตอบโต้เรื่องนั้นไปตามสมควรได้ พอเห็นว่าอินซอบหน้าซีดเผือด คังยองโมก็ร้องโอ๊ะก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น
“อะไรเนี่ย กินกันจริงๆ เหรอ แชยอนซอเป็นแค่เกราะกำบังเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ”
เขาไม่ควรตอบโต้ แม้เขาจะเสียใจที่ทำลงไป แต่มันก็เปล่าประโยชน์ คังยองโมทำหน้าตาที่บ่งบอกว่าเขาสนใจ และคว้าแขนของอินซอบไว้
“จะว่าไปแล้วอีอูยอนเข้าข้างนายแปลกๆ หรือเปล่า ฮ่าๆๆ น่าสนุกจัง ถ้าลองขุดคุ้ยดีๆ ก็น่าจะมีเรื่องราวอะไรออกมานะ”
“ผมไม่รู้นะครับว่าคุณพูดเรื่องอะไร สายแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ไม่รู้อินซอบไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้ปัดมือของคังยองโมออกไปอย่างเด็ดขาด แม้จะได้ยินเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์เสียจากทางด้านหลัง แต่อินซอบก็ไม่หันกลับไปมอง เขาเดินเข้าไปในอาคารที่จัดงานแถลงข่าวไปตามเดิม
ผู้กำกับและบรรดานักแสดงกำลังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานเรื่องนี้ตามลำดับ อินซอบจับจองที่นั่งตรงมุมห้อง เหงื่อของเขาไหล หัวใจก็เต้นตึกตัก ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก คังยองโมก็แค่พูดล้อเล่นเหมือนกับเมื่อก่อนนั่นแหละ แค่เมินไปก็พอ
เขานึกถึงคังยองโมที่เลือดไหล และล้มลงไปกองตรงด้านในสุดของซอยกับแววตาของอีอูยอนที่ก้มมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เขาจะทำให้เกิดเรื่องที่อาจทำให้ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันอีกครั้งไม่ได้ และแม้แต่ที่บริษัท หลังจากเกิดเรื่องนั้น เขาก็บอกว่าจะไม่แสดงร่วมกับคังยองโมอีกเป็นอันขาด ถ้าปล่อยให้เรื่องในวันนี้จบไปเงียบๆ ก็จะไม่มีเรื่องที่จะต้องเจอกันอีกครั้งแล้ว ในขณะที่สมองคิดแบบนั้น แต่อินซอบกลับรู้สึกไม่ดี ลางสังหรณ์ไม่ดีที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุว่าเขาจะเสียอีอูยอนที่เขาชอบไปไหลวนอยู่รอบตัวเขา ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน อินซอบกำเสื้อไว้และเงยหน้าขึ้นไปมองเวที พอแสดงความคิดเห็นจบแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะตอบคำถามรายบุคคล พอนางเอกของเรื่องตอบคำถามเสร็จ เธอก็ยื่นไมค์ให้อีอูยอน เสียงแฟลชของกล้องดังขึ้นไม่ขาดสาย แม้จะแสบตา แต่อีอูยอนกลับยืนต่อหน้าแสงแฟลชโดยไม่เสียสมาธิเลยสักนิด เขาเป็นนักแสดงโดยพรสวรรค์จริงๆ
“รบกวนถามแค่คำถามที่เกี่ยวกับภาพยนตร์นะคะ”
พิธีกรพูดตัดหน้าขึ้นมาก่อน
“ในภาพยนตร์เรื่องนี้คุณอูยอนรับบทคิมเซฮยอน ตัวเอกที่สูญเสียคนรักไปต่อหน้าต่อตา และยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อแก้แค้น เป็นยังไงบ้างเหรอคะ”
“ผมคิดเกี่ยวกับบทเยอะมากทุกครั้งที่ถ่ายภาพยนตร์เลยครับ แล้วผมก็คิดอยู่ตลอดเลยครับว่าถ้าผมเป็นคนคนนั้น ผมจะเป็นยังไง ด้วยความสำคัญแบบนั้น บทคราวนี้จึงยากเป็นพิเศษครับ ฉากที่มีความสุขมีแค่ราวๆ ห้านาทีเองครับ”
เสียงหัวเราะดังมาจากกลุ่มนักข่าว
“คำพูดนั้นน่ะ จะตีความว่าตอนนี้คุณอีอูยอนมีคนที่สำคัญอยู่แล้วได้หรือเปล่าคะ”
จะเป็นภาพยนตร์หรืออะไรก็เถอะ คำถามที่พวกนักข่าวทั้งหมดที่อยู่ที่นี่อยากถามมีอยู่อย่างเดียว
“คุณนักข่าวมีคนที่สำคัญแค่คนเดียวหรือเปล่าล่ะครับ ฮ่าๆ”
อีอูยอนหัวเราะอย่างนุ่มนวลพร้อมกับป้องกันตัวเองไปด้วย
“แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าจะได้ยินข่าวดีเร็วๆ นี้นะคะ เป็นยังไงบ้างคะ ช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้คนคนนั้นฟังหน่อยได้ไหมคะ”
“ฉันเข้าใจเรื่องที่ทุกคนสงสัยนะคะ แต่วันนี้เป็นวันแถลงข่าวภาพยนตร์ รบกวนถามเรื่องส่วนตัวในที่ที่จัดแยกไว้ให้นะคะ ขอบคุณค่ะ”
ผู้ประกาศที่กำลังทำหน้าที่เป็นพิธีกรสกัดคำถามไว้ได้อย่างเป็นมืออาชีพ อีอูยอนตอบว่า ‘ไม่เป็นไรครับ’ และยิ้มให้กับผู้ประกาศ
“มีผลงานที่ผมตกหลุมรักในขณะที่ถ่ายทำโดยไม่รู้ตัวอยู่นะครับ ถึงจะไม่รู้เหตุผล แต่พอได้ลองคิดดูอีกครั้งแล้ว ก็ได้รู้ว่านี่แหละผลงานที่เราตกหลุมรัก”
แม้จะอยู่ท่ามกลางเหล่าคนดัง แต่ก็นับว่าเขามีความเป็น ‘คนดัง’ จริงๆ แม้จะอยู่ท่ามกลางคนที่สวยหล่อ และคนที่มีทักษะและความสามารถมากมาย แต่ก็เป็นคนที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างชัดเจน
“สำหรับผมภาพยนตร์เรื่อง ‘คนรัก’ ในคราวนี้เป็นผลงานแบบนั้นครับ ผมชอบมาก และผมก็อยากให้คนคนนั้นชอบมากเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ”
พิธีรับศีลจุ่มจากแสงแฟลชเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีว่า ‘ว้าว’ จากพวกนักข่าว
ภาพของอีอูยอนที่เก็บผมทั้งหมดขึ้นด้วยเจลใส่ผมพร้อมกับชุดสูทสีเทาเข้มดูเป็นคนดังได้ด้วยตัวเอง ถึงขนาดที่ทำให้การมีตัวตนของนักแสดงคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างๆ เลือนราง
เขาสบตากับอีอูยอนบนเวที
พอได้รับบทของภาพยนตร์ที่ชื่อว่า ‘คนรัก’ อีอูยอนก็เอาบทมาให้อินซอบดูเป็นคนแรก ผู้กำกับเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ และบทของภาพยนตร์ก็เป็นผลงานของผู้กำกับด้วยเช่นกัน แม้จะไม่ใช่เหตุการณ์ที่พบเห็นได้ยาก แต่ในกรณีที่เป็นมือใหม่ ความเสี่ยงย่อมมีมากขึ้นเป็นสองเท่า นี่เป็นการรวมตัวที่บรรดานักลงทุนไม่ชอบ
ชเวอินซอบอ่านบทจนถึงเช้า และเสนอให้อีอูยอนแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างระมัดระวัง ‘ผมชอบมาก และผมก็อยากให้คุณอีอูยอนชอบมากเท่าที่จะเป็นไปได้เหมือนกันครับ’ อินซอบพูดแบบนั้นพร้อมกับยื่นบทให้
“ได้เชิญคนคนนั้นมาตอนงานเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ด้วยไหมคะ
“ครับ ถ้าเขามีเวลา”
อีอูยอนมองอินซอบในขณะที่ตอบ เขาคิดว่าตนควรจะหันหน้าหนี แต่อินซอบกลับไม่สามารถขยับได้
‘ถ้าหนังเรื่องนี้เจ๊ง คุณอินซอบจะต้องรับผิดชอบนะครับ คุณจะต้องรับผิดชอบด้วยการไปงานเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ด้วยกัน’
อีอูยอนในโทรศัพท์ที่โทรมาหาในตอนที่กำลังถ่ายภาพยนตร์พูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะบ่น
อินซอบกะพริบตาช้าๆ
ความรู้สึกหลากหลายปะปนกัน ความเจ็บเสียดที่หน้าอกรุนแรงขึ้น เขามีความสุขที่คนที่เปล่งประกายขนาดนั้นมาชอบตน และมันก็ดีจนเขาไม่อยากจะเชื่อ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็กลัวว่าเรื่องทุกอย่างนี้จะจบลงในตอนที่เขาลืมตาตื่น
และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ…
“…”
เขาสบตากับคังยองโมที่มองมาทางนี้จากที่ไกลๆ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือความจริงที่ว่าความสุขที่เขามีนี้ห้ามถูกใครจับได้เด็ดขาด เรื่องนั้นทำให้เขากลัว
เขานึกถึงใบหน้าของอีอูยอนที่ยิ้มในสภาพเลือดสาดกระจายบนผิวที่ขาวซีด และเขาก็คิดถึงเสียงของผู้ชายที่พูดว่าเรื่องส่วนใหญ่เป็นการทำผิดอย่างจงใจ
อินซอบเพิ่มแรงไปที่มือที่กำชายเสื้อไว้
เขาไม่อยากเสียอีอูยอนไป
***
“เลี้ยวซ้ายตรงด้านหน้าโน้นนะครับ”
“…”
“คุณอินซอบ เลี้ยวซ้าย”
พอได้ยินอีอูยอนเคาะพวงมาลัย อินซอบก็ตกใจและหักพวงมาลัยทันที แต่เขาก็พลาดจังหวะที่จะได้เข้าไป และต้องฟังเสียงแตรที่แหลมบาดหูพร้อมกับคำด่าจากคนขับรถคันหลัง
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
แม้จะตอบอย่างอ่อนโยน แต่อีอูยอนกลับอารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย แค่วันนี้วันเดียวอินซอบก็พลาดสัญญาณไฟจราจรไปสี่ครั้งแล้ว อีกฝ่ายเป็นแบบนี้ได้สองสามวันแล้ว ไม่ยอมสบตา และต่อให้ถามอะไร ก็ไม่ใส่ใจเหมือนกับฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ถ้าชวนให้ไปที่บ้านด้วยกัน อีกฝ่ายก็จะบอกว่ามีงาน และกลับไปอย่างรีบร้อนเป็นประจำ
แม้เขาจะถามว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า อารมณ์ไม่ดีเหรอ หรือถามว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็เหมือนเดิม
เปล่าครับ ผมไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องสนใจหรอกครับ
อีอูยอนกอดอกพลางหรี่ตา
วันนี้เป็นวันที่เขามีกินเลี้ยงกับกลุ่มนักแสดงของภาพยนตร์ แม้อินซอบจะไม่ดื่มเหล้าเพราะต้องขับรถ แต่อีอูยอนก็ชวนให้อีกฝ่ายเข้าไปด้วยกันอยู่ดี ด้วยความคิดที่ว่าอยากจะให้อีกฝ่ายอยู่ข้างๆ ด้วยเท่านั้น แต่คำตอบของอินซอบกลับเด็ดขาดจนเขางง
‘ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ตรงนั้นหรอกครับ’
ตอนแรกอีอูยอนคิดว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า เมื่อเขาถามว่าอีกฝ่ายจะไปอยู่ที่ไหน เจ้าตัวก็ตอบว่า ‘ผมจะรออยู่ที่รถครับ’ อีอูยอนมองอินซอบอยู่สักพัก อินซอบไม่พูดอะไรเลย และไม่มีท่าทีว่าจะลงจากรถด้วย อีอูยอนบอกว่า ‘เอาที่คุณสบายใจเลยครับ’ และลงจากรถไป
ดาวเด่นของงานเลี้ยงวันนี้คืออีอูยอนอย่างแน่นอน ทั้งสตาฟและพวกนักแสดงต่างยุ่งอยู่กับการเยินยออีอูยอน ทุกคนชมเขาจนน้ำลายแห้งว่า ‘คุณจะทั้งหล่อ ทั้งแสดงเก่ง และนิสัยก็ยังดีอีกด้วยได้ยังไง’
แม้อีอูยอนจะฟังพร้อมกับหัวเราะไปด้วย แต่มันกลับไม่เข้าหูเขาเลยแม้แต่คำเดียว สุดท้ายเขาก็ปล่อยผู้กำกับที่ร้องไห้ว่า ‘เป็นเพราะคุณอีอูยอน ผมถึงสามารถถ่ายหนังได้ตลอดรอดฝั่ง’ พร้อมกับเกาะเขาไว้ด้วยทิ้งไว้ และลุกออกไปกลางคัน อินซอบที่เขากังวลว่าจะร้องไห้อยู่หรือเปล่ากำลังฟังวิทยุอยู่ตามลำพังในรถ
‘จะให้พาไปที่ไหนดีครับ’
อินซอบปิดวิทยุก่อนจะเอ่ยถาม
อีอูยอนกรอกที่อยู่ของโรงแรมลงในระบบนำทาง เขาไม่อยากกลับไปที่บ้านที่มีพวกนักข่าวตั้งค่ายกันอยู่ จึงใช้การ์ดที่หยิบมาจากกระเป๋าสตางค์ของกรรมการผู้จัดการคิมจองห้องสวีทของโรงแรม ชเวอินซอบมองที่อยู่ และขับรถไปโดยไม่พูดอะไรเป็นพิเศษ
“ไม่ค่อยสบายเหรอครับ”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”
คำตอบแบบเดียวกันถูกตอบกลับมา
“แต่สีหน้าคุณดูไม่ดีเลยนะครับ”
“…คงจะเป็นแบบนั้นเพราะเมื่อคืนผมนอนดึกน่ะครับ”
“มัวทำอะไรอยู่เหรอครับถึงได้นอนดึก”
แม้จะพูดเหมือนกับล้อเล่น แต่แววตาที่น่าหวาดกลัวกลับปรากฏขึ้นในดวงตาของอีอูยอน เขาไม่มีทางพอใจกับการนอนดึกของอินซอบ ทั้งที่เมื่อวานเจ้าตัวบอกว่ามีงานและรีบกลับบ้าน
“ผมคุยโทรศัพท์กับครอบครัวน่ะครับ…ขอโทษด้วยนะครับ”
“มีอะไรให้ต้องขอโทษกันล่ะครับ คุณคุยโทรศัพท์ได้นี่”
“แต่ยังไงผมก็ต้องขอโทษที่ทำให้คุณต้องมาใส่ใจโดยไม่จำเป็นน่ะครับ”
อินซอบยิ้มเจื่อน
เป็นคำพูดที่ฟังดูขีดเส้นกั้นชอบกล
อีอูยอนเอียงคอพลางเอนตัวพิงกับเบาะรถ การคำนวณการตอบโต้ของคนเป็นเรื่องง่ายๆ ถ้าคิดราคาที่พอดี เขาก็จะได้การกระทำที่อยู่ในหมวดหมู่ที่คิดไว้กลับมา ตั้งแต่ตอนที่เขาได้รู้วิธีนี้ เขาก็ไม่รู้สึกถึงความยากในเรื่องมนุษยสัมพันธ์เลย แม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งหมดจะหยุดอยู่แค่ความสัมพันธ์ที่ผิวเผิน แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาเลย เพราะสิ่งนั้นอยู่ในระดับที่ตัวเขาเองต้องการอยู่แล้ว
แต่ชเวอินซอบกลับต่างออกไป
อีอูยอนใช้นิ้วเคาะตัวรถ
นี่เป็นความสัมพันธ์ที่ถูกต้องที่เขามีเป็นครั้งแรก และมันก็ยากมากสำหรับอีอูยอน เขารู้ว่าความจริงแล้วอินซอบอารมณ์ไม่ดี แต่การที่เขาไม่รู้เหตุผลมันทำให้เขาเป็นบ้า
วันที่มีงานเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ อีอูยอนโทรศัพท์ไปที่เบอร์ที่เขาเห็นในกระดาษและท่องจำไว้ทันทีที่ออกมาจากห้องน้ำ เขาไม่เชื่อคำพูดของอินซอบที่บอกว่าไม่มีอะไรอยู่แล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่อินซอบซ่อนกระดาษนั้นต่อหน้าเขา ครั้งแรกเขาทำเป็นมองไม่เห็น แต่ครั้งที่สองเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเชื่อ
หลังจากที่เสียงสัญญาณดังอยู่สองงสามครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดอย่างเหนื่อยอ่อนว่า ‘Hello’ แม้เขาจะคิดไว้แล้วในตอนที่เห็นเบอร์โทรศัพท์ก็ตาม ว่าเหมือนจะเป็นนางแบบที่ถ่ายโฆษณาด้วยกันตอนนั้น พอเขากล่าวขอโทษที่ทำให้ตื่น เพราะความต่างของเวลา เธอก็หัวเราะออกมา
[ฉันรออยู่ตลอดเลยค่ะ ฉันอยากให้คุณขอโทษเรื่องนั้นมากกว่า]
หญิงสาวบ่นด้วยเสียงออดอ้อน ทำตัวไร้สาระอยู่สินะ อีอูยอนแค่อยากจะตรวจสอบความจริงว่าอินซอบไม่ได้เล่นตุกติกอะไรเท่านั้น ในระหว่างที่เขากำลังจะวางสาย คำพูดที่เจือเสียงหัวเราะของหญิงสาวก็ยั่วยุเขา
[ดูเหมือนไอ้โง่นั่นจะยื่นกระดาษโน้ตให้แล้วสินะคะ]
อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ ว่า ‘เหอะ’ อีอูยอนเริ่มพูดอย่างนุ่มนวลว่า ‘ผมควรจะทำยังไงดีล่ะครับ’ หญิงสาวตอบว่า ‘ลองพูดมาสิคะ’ และแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังที่อยู่ข้างใน
“พอดีว่าฉันดันเป็นไอ้เหี้ยที่เกิดอารมณ์กับไอ้โง่นั่นมากกว่าคนอย่างเธอน่ะสิ”