ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 1 ตอนที่ 2-12
“อ้าว? มาแล้วนี่”
กรรมการผู้จัดการคิมพูดเหมือนตกใจ ใบหน้าของเขาบอกว่าไม่นึกเลยว่าพอตนเรียกแล้วอีกฝ่ายจะมา
“งั้นผมไปดีไหมครับ”
อีอูยอนถอดแว่นกันแดดโยนลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงบนโซฟา
“ไม่ต้อง นายมาก็ดีแล้ว ฉันกำลังคิดว่าถ้านายไม่มา จะไปหาที่โรงแรมอยู่พอดี”
“ทำไมถึงต้องเข้ามาในห้องในโรงแรมของคนอื่นอย่างน่ารังเกียจแบบนั้นด้วยล่ะครับ ถ้าเกิดข่าวลือแปลกๆ ที่ขัดขวางเส้นทางการแต่งงานของผมจะทำยังไง”
“นายมีความคิดที่จะแต่งงานด้วยเหรอ”
“ผมคิดไว้เยอะเลยล่ะครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมถอนหายใจให้กับคำพูดที่มีความหมายลึกซึ้ง
“ว่าแต่นายดูนี่หน่อยสิ”
กรรรมการผู้จัดการคิมหยิบโทรศัพท์ออกมายื่นให้อีอูยอน
“อะไรเหรอครับ”
อีอูยอนก้มลงมองหน้าจอผ่านๆ เป็นแอคเคาท์ SNS ที่เต็มไปด้วยด้วยรูปภาพของผู้หญิงที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่หรูหรา
“เรียกผมมาที่นี่เพื่อที่จะให้ดูสิ่งนี้เหรอครับ”
“อ่านข้อความดูสิ ข้อความน่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมดันข้อความภาษาที่ถูกพิมพ์อยู่ในแอคเคาท์นั้นมาตรงหน้าของอีอูยอน
“การถ่ายแบบคราวนี้เป็นประสบการณ์ที่ชวนสยองมาก เขาหยาบคายกับฉันตั้งแต่ต้นจนจบ และยังไม่ให้เกียรติฉันด้วย จะให้ผมแปลให้เพิ่มไหมครับ”
“ใครเขาขอให้แปลกันล่ะ อ่านข้อความแล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าเรื่องอะไร”
ตอนนั้นเองอีอูยอนถึงได้ตรวจดูเจ้าแอคเคาท์ ไนม่า เคมป์แมน เธอคือนางแบบที่ถ่ายโฆษณานาฬิกาด้วยกันเมื่อไม่นานมานี้
“นี่มันนายชัดๆ ถ้าอัปรูปสถานที่ถ่ายทำโฆษณาวันนั้นพร้อมกับข้อความลอบโจมตีแบบนี้ ทำไมถึงจะไม่รู้ล่ะว่าเป็นนาย นอกเสียจากว่าเป็นคนที่โง่มากๆ เท่านั้นแหละ”
อีอูยอนยิ้มร่า
“นายทำอะไรล่ะ”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ เธอทำแบบนั้น เพราะผมไม่ได้ทำอะไรเลยยังไงล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมจ้องมองอีอูยอนด้วยสีหน้าข้องใจ อีอูยอนหยิบขวดน้ำแร่ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“พักนี้ผมเคยสร้างปัญหาเรื่องผู้หญิงเหรอครับ”
“…”
ไม่มี อีอูยอนกำลังใช้ชีวิตที่ไม่มีอะไรให้อายเลย อันที่จริงแม้แต่กรรมการผู้จัดการคิมเองยังไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะใช้ชีวิตรักที่ปกติได้นานขนาดนี้
“เห็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมกำลังมีความรักที่บริสุทธิ์อยู่นะครับ”
“ไอ้บริสุทธิ์มันก็ดี แต่คนอย่างนายน่ะ”
“คนอย่างผมมันทำไมครับ”
อีอูยอนดื่มน้ำแร่เข้าไปอึกหนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
“…เป็นคนชั่วไงล่ะ”
เขาอยากจะตอบว่าเป็นไอ้คนที่ไม่มีความเป็นคน แต่เขาก็เลือกที่จะใช้คำที่ทำให้เบาลง
“แม้แต่คนชั่วก็มีความบริสุทธิ์ที่หาได้ยากนะครับ”
“แล้วเราจะทำยังไงกันล่ะไอ้คนชั่วที่มีความบริสุทธิ์ที่หาได้ยาก คนอื่นๆ เขาก็พูดกันไปทั่วแล้วว่าเป็นนายไม่ใช่เหรอ”
“ก็ปล่อยให้พูดไปสิครับ”
“มีเรื่องอะไรกันแน่ ถ้ามีข่าวออกฉันจะได้ตอบโต้ได้ถูกไง”
“ผมตัดความสัมพันธ์ไปน่ะครับ”
“…ตัดด้วยคำพูดที่ดีและสุภาพใช่ไหม”
“เปล่า”
อีอูยอนยิ้มตาหยีพลางเอ่ยตอบ กรรมการผู้จัดการคิมทนไม่ไหวและระเบิดความโกรธออกมา
“แกอยู่ในวงการนี้มาแค่วันสองวันเหรอ ต่อให้เป็นคนต่างชาติยังไงก็มีคนเห็น มีคนได้ยินนะ!”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ เพราะไม่มีใครได้ยิน”
“แล้วนายจะทำยังไง เจ้าตัวเขาอัปข้อความลงใน SNS ขนาดนี้!”
“แล้วกรรมการผู้จัดการทำธุรกิจอยู่ในวงการนี้มาแค่วันสองวันเหรอครับ นางแบบที่ถ่ายแบบด้วยแสดงออกว่าสนใจในตัวผม และผมก็ปฏิเสธไปอย่างสุภาพ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะเสียใจมาก เราเสียใจที่เกิดเรื่องแบบนี้ ตอบโต้ไปแบบนี้ก็ได้ครับ ส่วนที่เหลือคนเขาก็เอาไปเขียนนิยายกันเองอยู่แล้ว จะเป็นปัญหาอะไรล่ะครับ”
“แต่นายไม่ได้ปฏิเสธอย่างสุภาพนี่!”
อีอูยอนถามกลับอย่างหน้าด้าน
“มีหลักฐานเหรอครับ”
“…ไม่มีเหรอ?”
“แล้วมีเหรอครับ? ถ้ามีก็น่าจะปล่อยมาตั้งแต่แรกแล้วสิ ตอนที่คุยโทรศัพท์กันที่นั่นน่าจะเป็นตอนเช้ามืด ถ้าอัดเสียงไว้ได้ด้วยสติแบบนั้น ผมก็นับถือเลยครับ”
น้ำเสียงสดใสจนรู้สึกเกลียด กรรมการผู้จัดการคิมบรรเทาข้างในที่เดือดพล่านด้วยน้ำเย็นก่อนจะจ้องอีอูยอนเขม็ง
“ผมไม่มีเวลาไปสร้างปัญหาหรอกครับ แค่ชเวอินซอบคนเดียวก็เหนื่อยแล้ว”
“เหนื่อยงั้นเหรอ นายเนี่ยนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะบอกว่าไม่อยากจะเชื่อ
อีอูยอนไขว่ห้าง เขาฝังตัวลงกับโซฟาก่อนจะพยักหน้า เขาผ่อนคลายอย่างแท้จริง
“ไม่ใช่อินซอบเหรอที่เหนื่อย”
“ไม่มีทางหรอกครับ ผมทำดีกับเขาตั้งเยอะ”
เพราะแบบนั้นถึงเหนื่อยไงล่ะ ไอ้บ้าเอ๊ย
กรรมการผู้จัดการคิมกลืนคำที่อยากพูดลงไป
“แล้วจะพูดเรื่องที่เกี่ยวกับคุณอินซอบตอนไหนเหรอครับ”
“ฮ่าๆ เรื่องนั้นน่ะ…”
อีอูยอนยิ้มอย่างขมขื่นเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ ไม่มีทางที่กรรมการผู้จัดการคิมจะเรียกตัวเขาเข้ามาอย่างเร่งด่วนด้วยเรื่องของอินซอบ แต่เพราะความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น เขาจึงขับรถด้วยความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในกรุงโซล
“กรรมการผู้จัดการครับ นี่มันทำกันเกินไปหรือเปล่าครับ ผมทิ้งคุณอินซอบไว้ที่ห้องคนเดียว เพราะกรรมการผู้จัดการเลยนะ”
“หมอนั่นเป็นเด็กหรือไง อยู่คนเดียวบ้างจะเป็นไรไปล่ะ”
“ผมถอดเสื้อผ้าเขาเกลี้ยงเลยครับ”
สีหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
“ทำไมถึงถอดเสื้อผ้าเขาล่ะ…”
“ก็เขาบอกว่าจะกลับบ้านอยู่เรื่อยเลยนี่ครับ ถ้ามัดไว้ก็น่าจะดีกว่านี้ แต่เขาจะเจ็บ”
น้ำเสียงเหมือนกับแสดงให้เห็นถึงความใจกว้างที่ยอดเยี่ยม
“ทำไมถึงรังแกคนอื่นเขาขนาดนั้น”
“พอได้กินหลังจากที่รังแกแล้วมันอร่อยนี่ครับ”
“…”
กรรมการผู้จัดการคิมมองอีอูยอนเหมือนตกตะลึง แม้อีอูยอนจะรีบพูดต่อทันทีว่าล้อเล่น แต่เขาก็หัวเราะไม่ออก
“ฉันไม่ได้อยากจะพูดถึงขนาดนี้หรอกนะ…”
“งั้นก็ไม่ต้องพูดสิครับ”
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับพูดตัดบทอย่างเด็ดขาด
“ไม่ ฉันต้องพูด นายช่วยเลิกแกล้งอินซอบทีเถอะ”
อีอูยอนเลิกคิ้วเหมือนกับจะบอกว่าเหลวไหล
“ฉันบอกให้นายเลิกรังแกเขา ช่วงนี้หน้าของหมอนั่นซูบลงไปเยอะเลย สีหน้าก็ไม่ดีด้วย”
“พูดได้ดีสำหรับคนที่สั่งให้คนที่หน้าซูบลงไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวนะครับ”
“นายไม่ได้พูดอะไรเลยหรือไง อินซอบที่น่าสงสารติดกับของคนแบบนั้นไปได้ยังไงนะ”
“ติดกับอะไรกันล่ะครับ คุณอินซอบเขาชอบผมแล้วก็เดินตามเข้ามาเองต่างหาก”
เป็นความจริงที่แย้งไม่ได้
กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชามักจะเห็นใจอินซอบด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มีเสมอ
ทำไมเด็กที่นิสัยดี จริงใจ และมีมารยาทขนาดนั้นถึงได้ถูกจูงจมูกและต้องเอาชีวิตทั้งชีวิตมาผูกติดกับอีอูยอนด้วยนะ แล้วถ้าอีอูยอนเกิดเบื่อขึ้นมา อินซอบจะเป็นยังไง จะเป็นยังไงได้ล่ะ ก็ต้องได้เกิดใหม่อยู่แล้วสิ แต่เขาจะไม่เจ็บปวดใช่ไหม ว่าแต่เขาจะอยู่ข้างๆ อีอูยอนไปตลอดชีวิตเหรอ ต้องแช่งแล้วล่ะ
ในตอนที่ดื่มเหล้าด้วยกัน ทั้งสองคนมักจะห่วงอินซอบอยู่เสมอ
ไอ้หมอนี่มันมีอะไรดีกันแน่ กรรมการผู้จัดการคิมหรี่ตาและไล่มองอีอูยอนตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เดี๋ยวผมจะต้องไปแล้วครับ ผมบอกเขาว่าจะมาแป๊บเดียว”
อีอูยอนก้มลงมองนาฬิกาข้อมือพลางพึมพำ
มันเป็นนาฬิกาของแบรนด์ที่เขาเพิ่งจะถ่ายโฆษณาไปไม่นานนี้ แม้จะถ่ายโฆษณา แต่แบรนด์ที่ได้ชื่อว่าไม่ค่อยจะเป็นสปอนเซอร์ให้ใครเท่าไรก็ส่งของขวัญให้เขาเป็นกรณีพิเศษ โดยบอกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นเพื่อเจาะกลุ่มคนหนุ่มสาวจากแบรนด์นาฬิกาที่ขึ้นชื่อว่าแพงและหรูหราที่สุดในโลกทางแบรนด์สนใจตลาดเอเชีย และเขาก็สามารถเข้าใจถึงเหตุผลที่เลือกอีอูยอนเป็นนายแบบได้ทันที นาฬิกาที่มองเห็นผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาวดูลำลองในขณะเดียวกันก็ดูหรูหราด้วย เป็นความงดงามที่สมบูรณ์แบบ
…เหมือนจะพอรู้แล้วล่ะว่ามีอะไรดี กรรมการผู้จัดการคิมที่รู้สึกเศร้าสร้อยรีบเบนสายตาหนี
“ได้ รีบไปเถอะ”
กรรมการผู้จัดการคิมโบกมือเหมือนไล่ผีร้าย เขามองโทรศัพท์เพราะเสียงแจ้งเตือนข้อความ และเลิกคิ้ว
“นี่ นานๆ ทีไปกินข้าวกันสักมื้อไหม แถมนี้มีร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใช้ได้อยู่นะ”
อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ
“คุณอินซอบบอกว่าอะไรเหรอครับ”
“อะไรนะ? ปะ เปล่านี่”
กรรมการผู้จัดการคิมซ่อนโทรศัพท์ไว้สุดชีวิต แต่กลับถูกอีอูยอนแย่งไปได้ในทันที อีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้เลย ทั้งกำลังหรือความยาวของแขน อีอูยอนแย่งโทรศัพท์มาได้ เขาเลื่อนหน้าจอและอ่านข้อความที่คุยกัน ข้อความที่เข้ามาเมื่อกี้เป็นชเวอินซอบอย่างที่คิด บอกว่าขอให้รั้งเขาไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมง
“มีห้องแชทสามคนที่ไม่มีผมงั้นเหรอครับ”
อีอูยอนเลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม
“อย่าอ่านนะ นายไม่รู้จักความเป็นส่วนตัวหรือไง”
กรรมการผู้จัดการคิมรีบแย่งโทรศัพท์คืนมาจากอีอูยอน
“ทำไมถึงต้องขอให้รั้งผมไว้ด้วยล่ะครับ”
“เขาบอกว่าจะไปที่ไหนสักพักน่ะ”
“ที่ไหนเหรอครับ”
“ฉันไม่รู้ ถามเขาเองสิ! อย่ามาถามซอกแซกนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมแหว อีอูยอนหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า และต่อสายหาอินซอบ แม้เสียงสัญญาณโทรศัพท์จะดังอยู่หลายครั้ง แต่อีกฝ่ายกลับไม่รับ
“ทำไม? ไม่รับเหรอ”
“ใช่ครับ”
“ก็รังแกเขาไว้มาก เขาก็เลยเลี่ยงโทรศัพท์นายไงล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมเดาะลิ้นอย่างยินดีเหมือนกับจะทำให้ได้ยิน
“ครับ ผมรังแกเขาเมื่อคืน”
อีอูยอนนั่งเอียงๆ ที่โซฟาและยิ้ม เขาเขย่าขวดน้ำแร่ไปมาก่อนจะพูดต่อ
“ก็อย่างที่กรรมการผู้จัดการรู้ว่าคุณอินซอบน่ารักมาก เพราะฉะนั้นถึงผมจะพยายามทำให้พอดีๆ แล้ว แต่มันก็…”
“พอแล้ว หยุด ฉันไม่อยากฟัง”
นี่ไม่ใช่การอวดคนรักทั่วๆ ไปของคนโง่ สีหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมที่นึกถึงฝันร้ายที่รีสอร์ตบนเกาะเชจูซีดเผือด
“ตอบไปว่าเข้าใจแล้ว และถามว่าเขาจะไปไหนให้หน่อยครับ อย่ากระโตกกระตากนะครับ กรรมการผู้จัดการน่ะเก่งทุกอย่างเลย แต่การแสดงกลับประหลาดมาก เพราะแบบนั้นก็เลยโดนตัดออกจากละครน่ะสิ”
อีอูยอนยิ้มในขณะที่วุ่นวายกับอดีตของกรรมการผู้จัดการคิมที่พยายามจะเปลี่ยนอาชีพจากนายแบบมาเป็นนักแสดง แต่ล้มเหลว
กรรมการผู้จัดการคิมปากสั่นพลางส่งข้อความหาอินซอบ ผ่านไปไม่นานข้อความตอบกลับก็ถูกส่งมา
“เขาบอกว่าจะไปเยี่ยมหัวหน้าทีมชา?”
กรรมการผู้จัดการคิมมองข้อความก่อนจะเลิกคิ้ว อีอูยอนร้องอืมก่อนจะจมอยู่กับความคิด
“ก็ไม่แย่นะครับ”
“อะไรไม่แย่”
อีอูยอนเองก็รู้ว่าอินซอบคิดถึงหัวหน้าทีมชา ดูเหมือนว่าจะมีส่วนที่เข้าใจกันดีกับหัวหน้าทีมชาที่เริ่มงานจากการเป็นผู้จัดการส่วนตัวมาเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะไม่พอใจก็ตาม
“ก็สองสามวันมานี้คุณอินซอบแปลกๆ ไปน่ะครับ ถ้ามีเรื่องที่กังวลอยู่ เขาก็คงจะไปปรึกษาหัวหน้าทีมชาแหละครับ เดี๋ยวผมไปถามหัวหน้าทีมชาเอาก็ได้”
แม้เขาจะขู่อีกฝ่ายว่าห้ามขยับไปไหนก่อนจะออกมา แต่ถ้าอีกฝ่ายแอบหนีออกไปหาหัวหน้าทีมชา ก็คงจะกำลังกลุ้มใจอย่างมากอยู่แน่ๆ
“นายไม่รู้จักความหมายของคำว่าปรึกษาเหรอ พื้นฐานของการปรึกษาคือการรักษาความลับนะ และต่อให้นายไปถาม หัวหน้าทีมชาคงจะบอกนายอยู่หรอก เรื่องอื่นฉันไม่รู้นะ แต่ไอ้เจ้าฮยอนคยูน่ะเป็นคนที่ไว้ใจได้ที่หนึ่งเลย”
กรรมการผู้จัดการคิมชมหัวหน้าทีมชาพลางทำหน้าอิ่มอกอิ่มใจ
“พูดจบหรือยังครับ”
อีอูยอนหยิบแว่นกันแดดขึ้นมา
“จะไปจริงๆ เหรอ”
“งั้นผมไปหลอกๆ ดีไหมครับ”
“อีอูยอน นายได้ฟังที่ฉันพูดเมื่อกี้ไหม ฉันบอกให้เลิกแกล้งอินซอบและทำดีกับเขา”
“ผมก็จะไปทำดีกับเขาไงครับ”
แม้จะตอบกลับมาอย่างไม่ต่างอะไรจากปกติ แต่อีอูยอนเกือบจะเป็นบ้าเพราะอยากเจออินซอบแล้ว ถึงขนาดที่เขาคิดว่าถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาจะมัดแขนขาอีกฝ่ายไว้ตอนนอน
“นายรู้สึกเปล่าว่าบางครั้งตัวเองก็น่ากลัว”
“บางครั้งเหรอครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมถอนหายใจ
“อย่าทำตัวเหมือนสามีที่เป็นโรคหวาดระแวงว่าภรรยาจะนอกใจไปหน่อยเลย คนเราก็ต้องการช่องว่างที่จะหายใจได้ในความสัมพันธ์ระหว่างกันนะ”
“นี่เป็นคำเตือนที่กลั่นออกมาจากประสบการณ์หรือเปล่าครับ”
“ใช่”
“ว่าแล้ว ว่าจะต้องเป็นประสบการณ์ที่ผ่านการแต่งงานมาสามครั้ง และหย่าอีกสามครั้งแน่ๆ”
“…ฉันต่อยนายได้ไหม”
กรรมการผู้จัดการคิมกำหมัด
“ไม่ได้อยู่แล้วสิครับ ก็คุณบอกว่าใบหน้าคือชีวิตของนักแสดงนี่ครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมจ้องใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตก่อนจะคลายความโกรธลง เขาพยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด และพูดต่ออย่างช้าๆ
“ถึงอินซอบจะบอกว่าชอบนายจนมาที่เกาหลี แต่ก็อย่าไปคิดว่านั่นเป็นเรื่องธรรมดามากๆ นะ นั่นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ นายเองก็ใช้ชีวิตแยกจากครอบครัว เพราะฉะนั้นนายก็น่าจะ…ไม่มีทางรู้หรอก”
กรรมการผู้จัดการคิมรีบเปลี่ยนคำพูด
“แม้นายจะคิดว่าเป็นแบบนั้น แต่อินซอบน่ะต่างออกไปนะ”
“เพราะไม่เหมือนกันไงครับ ผมถึงพยายามจะเห็นใจเขาให้มากขึ้น”
กรรมการผู้จัดการคิมเอากำปั้นทุบอกตัวเอง
“นายเห็นใจได้สองครั้งก็จะจับเขาไว้อีก แล้วถ้านายทำดีกับเขาจริง อินซอบเขาจะ…เฮ้อ นี่อินซอบสั่งไม่ให้บอกนะ”
“อะไรเหรอครับ”
คนที่พูดแบบนั้นน่ะ ความจริงแล้วไม่เคยเป็นคนที่รักษาความลับได้หรอก อีอูยอนเร่งเหมือนกับรำคาญกรรมการผู้จัดการคิมที่มักจะเสริมสิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาทุกครั้งจนน่ารำคาญ
“ฉันได้ยินอินซอบคุยโทรศัพท์ตอนที่ออกไปสูบบุหรี่ที่บันไดหนีไฟน่ะ ถึงฉันจะประหลาดใจทุกครั้งที่ได้ยิน แต่ภาษาอังกฤษของเด็กนั่นดีมากเลยนะ”
“ก็เขาเป็นคนอเมริกันนี่ครับ”
“จริงด้วย ฉันลืมอยู่เรื่อยเลย ยังไงก็เถอะเหมือนเขาจะคุยกับแม่น่ะ แล้วหลังจากวางสายเขาก็ร้องไห้”
กรรมการผู้จัดการคิมตื่นตระหนกไม่น้อยตอนที่สบตากับอินซอบที่สะอึกสะอื้น อินซอบรีบลุกขึ้นทักทายกรรมการผู้จัดการคิมที่ลนลานไม่รู้ว่าจะต้องปลอบอีกฝ่ายว่าอะไรดี กรรมการผู้จัดการคิมรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้ อินซอบส่ายหน้าก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดหน้า แต่ทันทีที่เช็ด น้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง
‘อย่าบอกคุณอีอูยอนนะครับ ผมขอร้องล่ะ’
กรรมการผู้จัดการคิมพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว เพราะใบหน้าที่น่าสงสารนั่น
“ถ้านายทำดีกับเขา อินซอบจะร้องไห้เหรอ”
อีอูยอนยิ้มในขณะที่หลุบตามองต่ำ
“จริงๆ นะครับ ผมทำดีกับคุณอินซอบจริงๆ นะ”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ ทำแบบนั้นแล้วถ้าอินซอบหนีกลับไปที่อเมริกาจะทำยังไงล่ะ”
นั่นเป็นสถานการณ์ที่อีอูยอนไม่รู้สึกยินดีเป็นที่สุด
พอลองคิดดูแล้ว เมื่อไม่นานมานี้อีกฝ่ายก็ติดต่อกับครอบครัวที่อยู่ที่อเมริกาเป็นประจำ ตอนนี้เหมือนเขาจะเข้าใจจิตใจของช่างตัดฟืนที่ซ่อนเสื้อผ้าที่ทำให้บินได้ของเทพธิดาพอสมควร แต่ปัญหาก็คือตัวเขาเองไม่มีเสื้อผ้าที่ว่านั่น
“นั่นสินะครับ”
อีอูยอนใช้ฝ่ามือกุมหน้าของตัวเองและถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้ากลุ้มใจ
กรรมการผู้จัดการคิมกะพริบตาปริบๆ และกลั้นการหัวเราะอย่างขมขื่นไว้ การได้เห็นใบหน้าของมนุษย์ที่ชื่ออีอูยอน ไม่ใช่นักแสดงอีอูยอนเป็นเรื่องหายาก แม้จะเป็นคนที่เหมือนจะมีงูใหญ่อายุนับพันปีขดอยู่ในใจ[1] แต่การสิ้นไร้ไม้ตอกต่อหน้าคนที่ชอบก็ดูน่ารัก
“ทำให้เขาไม่มีพาสปอร์ตจะดีกว่าไหมครับ”
อีอูยอนเงยหน้าขึ้นมาถาม
“…”
กรรมการผู้จัดการคิมอยากจะย้อนกลับไปเมื่อห้าวินาทีก่อน และตีตัวเองที่คิดว่าอีอูยอนน่ารัก
“แค่มีบัตรประชาชนก็ทำพาสปอร์ตได้แล้ว”
ต่อให้ไม่ถามก็รู้ว่าจะทำให้พาสปอร์ตของใครหาย
“ก็ทำให้ไม่มีบัตรประชาชนด้วยสิครับ ต่อให้คุณอินซอบมาขอให้เขียนรับรองให้ก็ห้ามเขียนให้แม้แต่นิดเดียวนะครับ”
ดวงตาของอีอูยอนที่พูดแบบนั้นเป็นประกาย
กรรมการผู้จัดการคิมคร่ำครวญโดยไม่มีใครได้ยิน และดื่มน้ำเย็นเข้าไปติดต่อกัน อีอูยอนลุกขึ้นและเอนไหล่ไปด้านหลัง
“ว่าแต่กรรมการผู้จัดการครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมที่คิดว่าไอ้นี่มันช่างยืดยาวจริงๆ ตอบกลับอย่างเย็นชาว่า ‘มีอะไร’
อีอูยอนหยิบกุญแจรถที่เป็นของรักของหวงของกรรมการผู้จัดการคิมออกมาจากกระเป๋า และวางลงบนโต๊ะ
“ลองขายชื่อคุณอินซอบเพื่อเรียกตัวผมอีกครั้งสิครับ”
“…”
“แล้วมาดูกันว่าจะเป็นยังไง”
นิ้วที่สวยงามและเรียวยาวของอีอูยอนเคาะกุญแจรถสองครั้ง เป็นการกระทำที่น่าขนลุกมากกว่าคำขู่ที่ยืดยาวใดๆ กรรมการผู้จัดการคิมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว พอได้รับคำตอบแล้ว อีอูยอนก็ยิ้มเหมือนกับเทวดาราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน และเอ่ยถาม
“โรงพยาบาลที่หัวหน้าทีมชาเข้าพักรักษาตัวคือที่ไหนนะครับ”
[1] คนที่เหมือนมีงูใหญ่อายุนับพันปีขดอยู่ในใจ หมายถึงคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมจัด