ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 4 ตอนพิเศษ 1
ตอนพิเศษ 1 < Revenge >
อินซอบได้เจอกับเรื่องแปลกประหลาด
สองวันก่อนเขาเจอกับเฟร็ดในระหว่างทางที่ไปซื้อส้มที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ในระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดว่าจะหันเท้ากลับไปดีไหมเพราะเกิดนึกถึงความทรงจำแย่ๆ ในอดีต เฟร็ดก็เห็นเขาเสียก่อน
ปฏิกิริยาที่เฟร็ดแสดงให้เห็นในเวลาต่อมาอยู่นอกเหนือจากที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายหน้าซีดเหมือนคนเห็นผี และเริ่มเดินไปยังทิศตรงกันข้ามอย่างกะทันหัน
มองผิดหรือเปล่านะ เขามองคนอื่นหรือเปล่านะ อินซอบเอียงคอด้วยความสงสัย และปล่อยเรื่องนั้นให้ผ่านไปเฉยๆ อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในความทรงจำที่ดีอยู่แล้ว เขาจึงคิดว่าจะไม่สนใจ
แต่ตอนที่เจอเมลินดาในขณะที่ไปโบสถ์กับพ่อตอนเช้าวันนี้ เขาก็คิดอย่างมั่นใจเลยว่ามันผิดปกติ ทันทีที่สบตากับอินซอบ เธอก็ตกใจเหมือนคนที่โดนไฟจี้ และลุกออกไปจากตรงนั้น
ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ
แม้จะรู้สึกคาใจ แต่ในเมื่อไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาก็คิดว่าจะปล่อยไปเฉยๆ แต่ตอนที่ซานดร้ากับเคลลี่ และเรเชลมาหาเขาที่บ้านก่อนหน้านี้ไม่นาน และบอกกับเขาว่าอยากจะขอโทษเจนนี่ และขอให้เขาช่วยบอกว่าสุสานอยู่ที่ไหน อินซอบก็ตระหนักได้ว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน
ในขณะที่ฟังคำอธิบายเกี่ยวกับสถานที่ตั้งของสุสาน พวกเธอไม่สบตาอินซอบเลย ทั้งยังมีสีหน้าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก พออินซอบพูดจบ เรเชลก็ศอกใส่สีข้างของซานดร้า จากนั้นคนทั้งสามคนก็ตะโกนออกมาพร้อมกันว่า ‘ยกโทษให้ด้วย’ ก่อนจะจากไป
แปลกจริงๆ ไม่ปกติจริงๆ ด้วย
อินซอบพึมพำในขณะที่เดินไปยังร้านอาหารที่นัดกินมื้อเย็นกับอีอูยอน
ต้องมีอะไรแน่ๆ เพราะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นถึงสามครั้งไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
พอมาถึงหน้าร้านอาหาร บริกรถามว่ามาเป็นกลุ่มหรือเปล่า อินซอบพูดชื่ออังกฤษของอีอูยอนออกไป บริกรจึงพาเขาไปที่ที่นั่งตรงระเบียง
ภาพของอีอูยอนที่มาถึงก่อนแล้วและกำลังอ่านหนังสืออยู่ดูดีราวกับเดินออกมาจากรูปภาพ ผมสีดำของอีกฝ่ายซึ่งสวมเสื้อเขิ้ตสีขาวดูเด่นเป็นพิเศษ ดวงตาที่หลุบมองด้านล่างน้อยๆ ดูราวกับมีความรู้สึกที่ล้ำลึกแฝงอยู่ พวกผู้หญิงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ส่งสายตาเปิดเผยหาเขา
“ขอโทษที่มาสายครับ”
พออินซอบพูดแบบนั้น อีอูยอนก็เงยหน้าขึ้นมายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่สวยงาม
“ผมเองก็เพิ่งมาถึงครับ”
อีอูยอนปิดหนังสือที่อ่านอยู่ลง อินซอบมองชื่อหนังสือก่อนจะเอ่ยถาม
“คุณอ่านหนังสือของนักเขียนคนนี้เยอะมากเลยนะครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“มีเนื้อหาที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เข้าใจนิดหน่อยอยู่น่ะครับ พอได้มาอ่านดูอีกครั้ง ก็แปลกใหม่ดีเหมือนกัน”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
หนังสือที่อีอูยอนอ่านมีชื่อว่า ‘ทำไมผมถึงรักคุณ’ ของอาลัน เดอ บัททัน อินซอบนั่งลงพลางคิดว่าจะซื้อมาอ่านบ้างสักครั้ง
“ผมเลือกไวน์ไว้แล้วครับ แค่แก้วเดียวคงไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ”
“จะกินอะไรดีครับ”
“ผมเองก็ไม่ค่อยรู้น่ะครับ ถ้าคุณช่วยสั่งให้ผมจะขอบคุณมากเลย”
“ได้ครับ”
พออีอูยอนขยับนิ้วบริกรก็เดินเข้ามา และถามว่าจะเลือกเมนูอะไร อีอูยอนใช้นิ้วจิ้มไปที่เมนูเพื่อสั่งอาหาร ครั้นน้ำเสียงนุ่มนวลของเขาดังขึ้น พวกผู้หญิงที่แอบมองมาทางนี้ก็เพิ่มขึ้นทีละคนสองคน
“อาหารที่นี่ใช้ได้เลย เมื่อก่อนผมมาเป็นประจำเลยล่ะครับ”
“อย่างนั้นเองสินะครับ”
เห็นได้ชัดว่านี่ต้องเป็นที่ที่เขาพาผู้หญิงที่เคยเดทด้วยมาแน่นอน พอเห็นใบหน้าของอินซอบเศร้าลง อีอูยอนก็เอ่ยถามว่ามีอะไร
“ผมคิดว่านี่เป็นที่ที่คุณไม่ได้มากินคนเดียวน่ะครับ”
อีอูยอนร้องอ๋อ และตอนนั้นเองเขาก็พยักหน้า
“ขอโทษนะครับที่ผมรู้สึกช้า”
พออีอูยอนกล่าวขอโทษอย่างอ่อนโยน อินซอบก็เบาใจลงทันที
“คาดไม่ถึงเลยนะครับ ผมนึกว่าคุณอินซอบจะเป็นคนที่ไม่หึงซะอีก”
“…แล้วหึงไม่ได้เหรอครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างสุขใจ
“ได้สิครับ เต็มที่เลย แต่อย่าใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนนักเลยครับ ยังไงซะมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว”
สายน้ำของความข้องใจที่ติดอยู่ในใจของอินซอบมาตลอดทั้งวันได้ไหลลงมาอีกครั้ง เพราะคำพูดที่บอกว่า ‘เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว’ ของอีกฝ่าย
“คุณอีอูยอน ผมมีเรื่องจะถามครับ”
“อะไรเหรอครับ”
บริกรเดินเข้ามาอธิบายถึงไวน์ก่อนจะเริ่มรินไวน์ให้ อินซอบคิดว่าเขาจะพูดอย่างสบายๆ เพราะน่าจะไม่มีคนที่ฟังรู้เรื่องอยู่แล้ว และเริ่มพูด
“ก่อนหน้านี้ผมเจอเฟร็ดด้วยล่ะครับ”
“อ๋อ ไอ้หมูตอนนั่น”
อีอูยอนยิ้มอย่างสวยงาม…ที่พ่นคำด่าออกมาอย่างไม่ลังเล
ระหว่างที่นอนอ่านหนังสือด้วยกันบนเตียงก่อนหน้านี้ อีอูยอนก็โยนคำถามใส่เขาเต็มไปหมด
‘สมัยเรียนมีคนแกล้งคุณอินซอบหรือเปล่าครับ’
อินซอบตอบไปอย่างไม่คิดอะไรว่า ‘ก็มีอยู่บ้างครับ’ ถ้ารู้ว่าอีอูยอนจะถามเขาอย่างไม่ยอมแพ้จนถึงเช้าว่าคนคนนั้นเป็นใคร ชื่ออะไร เขาจะไม่ตอบอย่างนั้นไปเด็ดขาด …เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อินซอบจึงพูดชื่อของเฟร็ดออกมาในที่สุด หลังจากนั้นอีอูยอนก็มาที่บ้านของอินซอบ และค้นหนังสือรุ่นของเขาดูว่าเฟร็ดหน้าตาเป็นอย่างไร
“แล้วเขาว่าอะไรไหมครับ”
“…หนีไปเลยครับ หลังจากที่เห็นผม”
อีอูยอนยิ้มอย่างพึงพอใจพร้อมกับจิบไวน์เข้าไปอึกหนึ่ง อินซอบมั่นใจกับเรื่องนั้น และลองถามถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย
“เกิดอะไรขึ้นกับเมลินดาเหรอครับ แล้วซานดร้ากับเพื่อนๆ พวกนั้นมันอะไรกัน”
“นั่นสินะครับ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“…”
“คงมีส่วนใดส่วนหนึ่งได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงล่ะมั้งครับ หรือไม่ก็อาจจะอยากกลับใจกะทันหัน”
วันที่ไปที่สุสานของเจนนี่ด้วยกัน ทั้งสองก็ได้พูดคุยเรื่องต่างๆ และพูดถึงงานปาร์ตี้ในวันนั้นด้วย อีอูยอนร้องอืม และจมอยู่กับความคิด จากนั้นเขาก็พยักหน้าว่าเขาจำได้ลางๆ หลังจากนั้นเขาก็ถามซักไซ้ไม่หยุดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้นกับรายละเอียดที่เขียนในจดหมาย รวมไปถึงคนที่อยู่ที่นั่นด้วย หลังจากฟังคำอธิบายของอินซอบ อีอูยอนก็ฮึมฮัมในลำคอ และจมอยู่กับความคิดอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็บอกว่าเย็นนี้มีธุระ และรีบออกไป
“พวกซานดร้าน่ะใช่ แล้วทำไมเมลินดาถึงเป็นแบบนั้นด้วยล่ะครับ”
ครั้นได้ยินคำถามของอินซอบ อีอูยอนก็ค่อยๆ หลับตาลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“คุณอินซอบบอกว่าเขียนจดหมายด้วยภาษาเกาหลีใช่ไหมครับ”
“…ครับ”
“คนที่อ่านภาษาเกาหลีออกในบรรดาคนที่อยู่ในงานปาร์ตี้วันนั้นมีแค่ผมกับเมลินดาเท่านั้นครับ”
“…”
อินซอบไม่เคยสงสัยผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในตอนนั้นเขาคิดแค่ว่าเธอเหมาะสมกับฟิลลิป เพราะใจดีและอ่อนโยน
“ผมแค่พูดเฉยๆ นะครับ ไม่ได้จะบอกว่าเมลินดาหยิบจดหมายที่อยู่ในตู้เก็บของของผมออกมา และรวมกลุ่มกับพวกซานดร้าเพื่อก่อเรื่อง หรือบอกว่าพวกเขาเขียนจดหมายส่งไปเองนะ”
“…”
เข้าใจแล้ว…เป็นแบบนั้นนี่เอง
“อันที่จริงผมก็จำไม่ได้หรอกครับ คนที่เป็นเพื่อนของคุณน่ะ ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าทำตัวเย็นชาหรือเปล่า เพราะเธออยู่นอกสเปกของผม แต่สาบานได้ว่าผมไม่ได้เป็นอ่านจดหมายนั่นจริงๆ”
“เข้าใจแล้วครับ”
จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ปฏิกิริยาเกี่ยวกับจดหมายรักของอีอูยอนก็มีอยู่สามอย่าง
คือ ทิ้ง ฉีก เผา
“โล่งอกไปทีนะครับที่ตอนนี้คุณเชื่อ เอาล่ะครับ เราเลิกคุยเรื่องนั้นกันเถอะ ไวน์อร่อยถึงขนาดนี้แท้ๆ ทำไมเราถึงคุยเรื่องแบบนั้นในที่แบบนี้ล่ะครับ”
อีอูยอนยกแก้วไวน์ขึ้น อินซอบก็ยกแก้วที่วางอยู่หน้าตนเองขึ้นมาและชนแก้วกับอีกฝ่ายเบาๆ พอไวน์จิบหนึ่งไหลลงคอ ฤทธิ์ของเหล้าที่แสบร้อนก็กระจายไปทั่วร่าง อินซอบสะอึกเล็กน้อย และใช้มือปิดปาก อีอูยอนเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆ อยากจะบ้าตาย”
“…อย่าขำสิครับ”
“ผมอยากมีเพศสัมพันธ์กับคุณอินซอบเดี๋ยวนี้เลยครับ”
“…! พะ พูดอะไร…ในที่แบบนี้…”
“แล้วยังไงล่ะครับ ที่นี่ไม่น่าจะมีใครเข้าใจที่เราพูดนี่ครับ”
แม้รอบๆ จะมีแค่ชาวตะวันตกผมทองทั้งหมด แต่ก็อาจจะมีคนเข้าใจภาษาเกาหลีอยู่บ้างก็ได้ อินซอบถลึงตาและกำชับว่าอย่าพูดแบบนั้น
“ขอร้องล่ะครับ ได้โปรด”
อินซอบบิดไปบิดมา เพราะไม่สบายใจทุกครั้งที่อีอูยอนพูดถ้อยคำที่ลามกออกมาด้วยใบหน้าที่สัมผัสได้ถึงความหล่อเหลาและน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ผมถึงจงใจพูดคำว่าเพศสัมพันธ์ไงล่ะครับ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่เข้าใจ”
“แต่ผมเข้าใจนี่ครับ”
“คุณอินซอบก็ต้องเข้าใจสิครับ เพราะคุณต้องรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่”
“…”
อีอูยอนถือแก้วไวน์ และมองอินซอบด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความต้องการ
“วันนี้…ไม่ได้ครับ”
อินซอบพูด วันนี้หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จแล้ว เขาต้องกลับบ้านทันทีเพราะคุณยายจะมาที่บ้าน และเขาก็บอกเรื่องนี้กับอีอูยอนไปแล้ว
“รู้ครับ เพราะรู้ไงครับ ผมเลยชวนให้มาเจอกันข้างนอก”
ที่ที่อีอูยอนพักอยู่ตอนนี้คือบ้านที่อยู่ห่างจากบ้านของพ่อแม่ที่เขาเคยใช้จัดปาร์ตี้เมื่อก่อน เดิมทีมันเป็นบ้านที่ใช้เป็นเหมือนบ้านพักสำหรับแขกที่เอาไว้ใช้อำนวยความสะดวกแก่แขกที่มาบ้านเลวินอยู่แล้ว เย็นวันนั้นที่อินซอบพูดเหมือนจะบอกให้รู้ว่าเขาลำบากใจกับการเข้าๆ ออกๆ โรงแรม อีอูยอนก็ไปที่บ้านของพ่อแม่ และเอากุญแจบ้านหลังนี้มา หลังจากนั้นเขาก็พักอยู่ที่นั่นเรื่อยมา
“ทางเกาหลี…ไม่ติดต่อมาบ้างเหรอครับ”
“ไม่มีเลยครับ ไม่มีโทรศัพท์สักสายเลย ดูเหมือนความนิยมของผมจะตกลงจริงๆ ผมควรทำยังไงต่อไปดีล่ะครับ”
อินซอบรู้ว่าคำพูดนั้นเป็นคำโกหกที่ไม่น่าเชื่อ ก่อนหน้านั้นสองวันกรรมการผู้จัดการคิมเมาเหล้า และโทรศัพท์มาร้องไห้คร่ำครวญใส่เขาอยู่สักพัก อินซอบคิดว่าอีกฝ่ายจะเหนื่อยขนาดไหนนะ ถึงได้ดื่มเหล้าจนขาดสติถึงขนาดที่โทรศัพท์ทางไกลมาหาเขาเกินหนึ่งชั่วโมง และอินซอบก็ไม่กล้าวางสายก่อน
“ผมลองเข้าวงการฮอลลีวูดดูดีไหมครับ ภาษาอังกฤษก็ได้ แล้วถ้าใส่หน้ากากไว้ประมาณนี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ผมว่าน่าจะพอหาเลี้ยงตัวเองได้นะครับ เพราะทักษะทางการแสดงของผมก็ไม่ได้แย่”
อินซอบถอนหายใจกับคำพูดที่เหมือนจะล้อเล่นของอีอูยอน
“ทำไมล่ะครับ ที่ผมพูดเมื่อกี้มันห่วยเหรอครับ”
“…ตอนนี้คุณต้องกลับไปได้แล้วนะครับ”
ผ่านมาสิบวันแล้วตั้งแต่ที่อีอูยอนหนีบเคทข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่อเมริกา อินซอบรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะเขารู้ดีกว่าใครว่าตารางงานของอีกฝ่ายกำลังดำเนินไปอย่างไร
อีอูยอนยกแก้วไวน์ขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเองก็รู้เหมือนกันว่าจะต้องกลับไป อินซอบมองอีอูยอนพลางเอ่ย
“ต้องกลับไปนะครับ ผมคิดว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คุณอีอูยอนควรจะอยู่ ผม…ชอบคุณอีอูยอนในฐานะนักแสดงครับ”
เขาดูผลงานที่อีกฝ่ายแสดงทั้งหมดเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับอีอูยอน ชเวอินซอบชอบอีอูยอนที่กำลังทำงานในฐานะนักแสดง แม้เขาจะบอกกับตัวเองว่านี่เป็นการศึกษาค้นคว้า แต่ก็มีบ้างที่เขามองอีอูยอนในจออย่างตกตะลึง เขาไม่สามารถพูดได้ว่าความจริงแล้วเขายังกลับไปดูภาพยนตร์นอกกระแสที่อีอูยอนแสดงเป็นบางครั้ง
“ถ้าผมไปจะกลับมาหาลำบากนะครับ”
อีอูยอนพึมพำด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย อินซอบพยักหน้าเงียบๆ เพราะเขาเองก็รู้ ตอนนั้นเองบริกรก็เอาอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
คนทั้งคู่เริ่มทานอาหารกันเงียบๆ พวกเขาทำแค่แลกเปลี่ยนบทสนทนาที่ไม่ค่อยน่าพอใจกันอยู่ไม่กี่คำเท่านั้น หลังจากคิดเงินเสร็จแล้ว อีอูยอนก็เอ่ยถามว่า ‘เดินไปกันไหมครับ’ ขณะที่ออกมาจากร้านอาหาร
ทั้งสองคนเดินโดยไม่พูดอะไรอยู่สักพัก สายลมนุ่มนวลเสียจนรู้สึกหอมหวาน
อีอูยอนยิ้มและเอ่ยขึ้น
“กรรมการผู้จัดการคิมจองตั๋วเครื่องบินแล้วส่งอีเมลมาให้ทุกเช้าเลยครับ”
“…”
“วันนี้ผมได้รับมาประมาณห้าใบแล้ว”
นี่ไม่ใช่การกระทำที่ขาดสติในขณะที่ดื่มเหล้าแน่ๆ
“ผมจะกลับโซลพรุ่งนี้เช้าครับ”
“…”
พอคำว่าจะกลับหลุดออกมาจากปากของอีอูยอน อินซอบก็นึกเสียดายและเสียใจมากๆ ทั้งๆ ที่ตนเองบังคับให้เจ้าตัวไปเอง
“อย่าไปส่งนะครับ เพราะผมจะจากไปไม่ได้”
“…”
“ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ คราวหน้าผมจะทำให้ขาข้างซ้ายหักครับ”
อีอูยอนชี้ขาตัวเองพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“อย่าพูดแบบนั้นนะครับ คราวหน้าผมจะไปเองครับ”
พออินซอบพูดแบบนั้น อีอูยอนก็หยุดเดิน ความวุ่นวายใจอยู่ในดวงตาของเขาที่หันกลับมา
“ถ้าคุณอินซอบมาเกาหลี ผมคงปล่อยคุณไปไม่ได้แน่ครับ”
“…”
“แม้กระทั่งตอนนี้ผมก็อยากจะพาคุณกลับไปด้วย ผมอดทนจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้วครับ”
อินซอบสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และรวบรวมความกล้าก่อนจะพูด
“ผมก็จะเป็นบ้าแล้วเหมือนกันครับ…เพราะผมอยากตามไปด้วย”
“…”
“ผมอยากตามกลับไปครับ ผมอยากจะทิ้งทุกอย่างไว้ แล้วไปกับคุณ แต่ถึงอย่างนั้นเพราะมีสิ่งที่สำคัญสำหรับผม…คุณอีอูยอนเองก็สำคัญ…แต่ช่วยรอผมนะครับ”
อินซอบก้มหน้าลง
ช่วงเวลาสิบวันที่ได้ใช้ด้วยกันนั้น ในแต่ละวันเป็นเหมือนความฝันสำหรับเขา พวกเขากินข้าวด้วยกัน อ่านหนังสือบนเตียง ฟังเพลง เดินเล่น แบ่งปันความรัก หลับไปทั้งๆ ที่ยังนอนกอดกัน มองหน้ากันละกันในตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมา และจูบกันโดยไม่มีใครอยากผละไปก่อน แม้จะรู้ว่าต้องมีวันที่จบลง แต่เขาก็ยังหวังว่ามันจะไม่จบลง
“ผมจะโทรหาครับ จะส่งข้อความ ส่งอีเมล…แล้วก็ส่งจดหมายหาด้วย ผมจะทำแบบนั้น แต่ถ้าวันที่ผมทนไม่ไหวเพราะคิดถึงเข้าไปถึงกระดูกดำมาถึง ถึงตอนนั้นผมจะเก็บข้าวเก็บของแล้วไปหาคุณครับ”
ตอนนั้นเขาจากมาด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งหรือเปล่า เพราะฉะนั้นด้วยความรู้สึกผิดต่อครอบครัว อินซอบจึงไม่สามารถตามอีอูยอนกลับไปเกาหลีตอนนี้ได้
“เพราะฉะนั้น…ช่วยรอผมนะครับ”
อินซอบพูดความรู้สึกที่แท้จริงที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจออกมา เขาก้มหน้ามองปลายเท้าของอีกฝ่ายจึงไม่รู้ว่าอีอูยอนกำลังทำสีหน้าแบบไหน
“คุณอินซอบ”
อีอูยอนเรียกเขา
เป็นน้ำเสียงที่แม้จะอ่อนโยนและสุภาพ แต่ก็เศร้าสร้อย
“ผมจะรอนะครับ”
อีอูยอนพูด ความกังวานในน้ำเสียงของเจ้าตัวทำให้เกิดความสั่นไหวที่กว้างใหญ่ขึ้นในใจของอินซอบ จิตใจของเขาสั่นไหว และน้ำตาของเขาก็เอ่อขึ้นมากับคำที่บอกว่าจะรอ
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ผมก็จะรอครับ”
อีอูยอนกอดอินซอบไว้แน่น เขาจูบกระหม่อมของอินซอบก่อนจะกระซิบว่า ‘อย่าให้ผมรอนานนะครับ’
พอเห็นว่าอินซอบพยักหน้า อีอูยอนก็ปล่อยอินซอบออกจากอ้อมกอด ลมในฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นทำให้ผมของคนทั้งคู่ยุ่งเหยิง อีอูยอนใช้มือลูบผมของอินซอบ
เขาน้ำตอคลอให้กับความคิดที่ว่าหลังจากพรุ่งนี้เขาจะไม่ได้สัมผัสมือที่อบอุ่นนั้นไปอีกพักใหญ่ อินซอบกะพริบตาและกลั้นน้ำตาเอาไว้
อีอูยอนยื่นมือออกมา
“จับมือไหมครับ”
อินซอบก้มลงมองมือของชายหนุ่มที่งดงามและยื่นมือของตนออกไปจับอีกฝ่าย อีอูยอนดึงมือนั้นมายัดลงไปในกระเป๋าของตนพร้อมกับยิ้ม อีอูยอนใช้นิ้วลูบฝ่ามือของอินซอบอยู่ในกระเป๋า จากนั้นอินซอบก็หัวเราะออกมาด้วยความจั๊กจี้
อีอูยอนที่เห็นภาพนั้นยิ้มตาหยี
“คุณบอกว่ามาหาผมเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนใช่ไหมครับ”
“…”
“คุณทำได้ดีเลยนะครับ การแก้แค้นน่ะ เพราะต่อให้คุณอินซอบยิ้มให้ ผมก็ยังรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าอยู่ดี การแก้แค้นนั้นยอดเยี่ยมมากเลยนะครับ”
เสียงหัวเราะของอีอูยอนสัมผัสกับสายลม และกระจายไปในอากาศ ทั้งสองคนเดินไปตามทางยามค่ำคืนและไม่ได้พูดอะไรกันเลย พวกเขารู้ว่าไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไรกันอีกแล้ว
ขณะที่ร่ำลากันที่หน้าบ้าน พวกเขาไม่ได้จูบหรือกอดกัน พวกเขาเพียงแต่จับมือกันไว้และเพิ่มแรงลงไปในมือที่กำลังจับกัน ตอนที่ไออุ่นของมือนั้นผละออกไป อินซอบก็มองอีอูยอนด้วยสายตาที่เหมือนจะร้องไห้ พอสบตากัน อีอูยอนชะงักมือ เขาเอื้อมมือมาและลดมือลงพลางกำหมัดแน่น
อีอูยอนบอกว่า ‘ผมจะรอนะครับ’ และหันหลังเดินจากไป เขาไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายลับตาไป อินซอบก็ยังคงยืนเหม่อกลั้นเสียงร้องไห้อยู่ตรงนั้น
ณ ปลายทางของระยะเวลาสิบวันที่เหมือนฝัน อินซอบยืนอยู่บนทางที่อีกฝ่ายจากไปโดยไม่ไปไหน
ลมทำให้กลีบดอกไม้ที่เกาะอยู่บนต้นไม้สั่นไหว และพัดมันไปตามถนนในยามค่ำคืน
จากนั้นการรอคอยของใครบางคนก็ได้เริ่มต้นขึ้นในคืนที่ยาวนาน