ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 4 ตอนที่ 10-4
ที่วุ่นวายต่างๆ จบลงแล้ว กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงจึงประกาศให้คนที่อยู่ในบริษัทรู้ว่าตนจะเลี้ยงชุดใหญ่ ถึงขนาดที่มีคนอดหารอยู่สองสามวันเพื่อรอคอยวันนี้มาด้วย เพราะงานเลี้ยงวันนี้จะจัดขึ้นที่ร้านขายเนื้อเกาหลีราคาแพง
ชเวอินซอบนั่งอยู่ท่ามกลางงานเลี้ยงที่เสียงดังโหวกเหวก เขาคิดว่าเขามาโดยเปล่าประโยชน์อย่างที่คิดไว้จริงๆ ก่อนจะกินแค่สลัดเงียบๆ
อึดอัดใจจัง…
อินซอบกัดตะเกียบไว้ในปาก และพึมพำอยู่ในใจ
เขามาเพราะหัวหน้าทีมชาสั่งให้มา แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่คุ้นกับบรรยากาศแบบนี้เลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกตะขิดตะขวงใจเกินกว่าจะมาเจอหน้าคนที่รู้จักหลังจากเกิดเรื่องแบบนั้นกับอีอูยอน
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ…
“คุณอูยอน ดูเหมือนช่วงนี้คุณจะว่างมากเหรอคะ”
“ครับ ผมไม่มีทำอะไรเลยครับ”
“คุณคังยองโมน่าจะต้องรีบหายเป็นปกติแล้วล่ะค่ะ”
“จะต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วสิครับ แต่อีกใจหนึ่งผมก็คิดว่าค่อยๆ หายก็ได้ครับ เพราะช่วงนี้ผมเพิ่งจะได้หายใจหายคอเอง”
พวกพนักงานหญิงในออฟฟิศหัวเราะชอบใจให้กับคำพูดล้อเล่นของอีอูยอน แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะเรียกดาราคนอื่นที่อยู่ในสังกัดมาที่งานเลี้ยงวันนี้ด้วย แต่ปกติแล้วอีอูยอนจะไม่ยอมมาในที่แบบนี้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะบอกเวลากับสถานที่ให้เขารู้ตามมารยาท แต่ก็ไม่มีใครคาดหวังว่าเขาจะมาจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมการผู้จัดการคิม หัวหน้าทีมชา และชเวอินซอบ
“หมอนั่นมาที่นี่ทำไม”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“นายบอกเวลากับสถานที่ให้เขารู้เหรอ”
“ก็เขายืนเหม่อลอยอยู่ข้างๆ ตอนที่ผมบอกคุณอินซอบ แล้วก็ถามว่านี่อะไร ผมก็เลยบอกว่าถ้านายมีเวลาก็มาสิ แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะมาจริงๆ…”
แม้จะบอกว่าตารางงานถูกเลื่อนออกไปเพราะคังยองโม และไม่มีตารางงานอะไรเป็นพิเศษ แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีอูยอนจะมาที่ร่วมงานเลี้ยงจริงๆ แม้ในบรรดาพนักงานหญิงของ JN เอนเตอร์เทนเมนต์มีคนที่หวังจะได้กินข้าวกับอีอูยอนอยู่พอสมควร แต่ไม่มีใครสมหวังเลยสักคน เนื่องจากอีอูยอนแบ่งการพบเป็นการส่วนตัวกับการพบอย่างเป็นทางการไว้อย่างชัดเจน จึงไม่มีเรื่องที่เขาจะเข้าร่วมงานเลี้ยงของบริษัทเกิดขึ้น แต่วันนี้อะไรบางอย่างกลับทำให้เขาเดินตามหลังอินซอบและปรากฎตัวขึ้นที่นี่ ดังเหตุนั้นกรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชาจึงนั่งลงขนาบข้างอีอูยอน และต้องเจอกับสายตาที่แสดงถึงความอิจฉาและความรักจากคนอื่นๆ อีอูยอนทำหน้าราวกับชินชาที่ความสนใจเทมาที่ตนเองแล้ว และโต้ตอบกับพนักงานหญิงทีละคนอย่างอ่อนหวาน แม้จะมีคนที่เบื่อกับการเห็นดาราอยู่บ้าง แต่คนอื่นๆ ก็ทำตาเป็นประกายพร้อมกับพูดคุยกับเขา เพราะไม่มีโอกาสที่จะได้เจออีอูยอนใกล้ๆ แบบนี้มานาน คนที่ดูเหมือนจะเศร้าเพียงคนเดียวในบรรดาคนเหล่านั้นก็คือชเวอินซอบ ผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนที่หยุดกินมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้วเท่านั้น
“กินเนื้อหน่อยสิคะคุณอินซอบ มาที่ร้านเนื้อย่างเกาหลีราคาแพงทั้งที ทำไมถึงกินแต่สลัดอย่างเดียวล่ะคะ”
“วันนี้กรรมการผู้จัดการคิมบอกว่าจะเลี้ยงเอง คุณก็กินไปโดยที่ไม่ต้องสนใจคนอื่นหรอกค่ะ”
“อ่า ครับ ขอบคุณครับ”
คนอื่นๆ เอาเนื้อมาวางตรงหน้าอินซอบในคราวเดียว ความจริงแล้วอินซอบไม่ชอบเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ท้องไส้ของเขาไม่ดีเหมือนกับช่วงนี้ แค่ได้กลิ่นเนื้อเพียงอย่างเดียวเขาก็รู้สึกคลื่นไส้แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คิดว่าจะต้องกินของที่คนอื่นให้มา อินซอบวางผักกาดหอมไว้บนผักกาดหอม และวางเนื้อที่ถูกห่อด้วยผักกาดหอมไว้บนนั้นหนึ่งชิ้น อินซอบเอาเนื้อห่อผักที่ถูกผักกาดหอมห่อไว้หลายๆ ชั้นเข้าปาก และเคี้ยวอย่างช้าๆ
“หา กินเนื้อแบบนั้นเหรอคะ เปอร์เซ็นต์ของเนื้อกับผักเนี่ยจะต้องเป็นผักหนึ่งต่อเนื้อ เนื้อ เนื้อไม่ใช่เหรอคะ”
พอพนักงานหญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเห็นภาพที่อินซอบห่อเนื้อ เธอก็เอ่ยถามอย่างตกใจ
“อย่างนั้นเหรอครับ ฮ่าๆๆ ผักต่อเนื้อ เนื้อ…เนื้อ”
อินซอบห่อตามที่เธอบอกก่อนจะถามว่า ‘แบบนี้เหรอครับ’ เขาเชื่อว่าการทำตามที่คนอื่นสั่งในงานเลี้ยงแบบเกาหลีเป็นวิธีการเพื่อปรับบรรยากาศ แค่คิดว่าจะต้องกินสิ่งนี้ให้หมดเขาก็รู้สึกคลื่นไส้แล้ว แต่อินซอบก็ช่วยอะไรไม่ได้ และห่อเนื้อกับผักเข้าด้วยกัน อีอูยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ มองภาพนั้นก่อนจะหัวเราะหึๆ และดึงข้อมือของอินซอบไว้
“จะกินยังไงเหรอครับ”
“…จะลองกินให้หมดทีเดียวน่ะครับ”
“คุณกินเนื้อไม่เก่งนี่ครับ เอามาให้ผมเถอะ”
อีอูยอนจับมือของอินซอบลากเข้ามาทั้งๆ แบบนั้น และเอาเนื้อห่อผักใส่ปากตัวเอง พนักงานหญิงที่นั่งอยู่รอบๆ ส่งเสียงกรีดร้องพร้อมกับแสดงอาการแตกตื่น
“ฉันเองก็อยากจะห่อเนื้อให้คุณอีอูยอนเหมือนกันค่ะ”
“ฉันเองก็อยากจะทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนด้วยเหมือนกันค่ะ”
“คุณอูยอนเนี่ยดีจังเลยนะครับ มีผู้จัดการส่วนตัวสำรองสวยๆ เยอะขนาดนี้เลย”
“ฉันเองก็อยากจะเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวเหมือนกัน ผู้จัดการส่วนตัวของฉันน่ะเหมือนหมีขนาดนั้น แล้วก็เอาแต่กินอย่างเดียว”
นักแสดงคนอื่นๆ ที่มาร่วมงานเลี้ยงเหมือนกันเอ่ยแซวอีอูยอน อีอูยอนยิ้มอย่างเป็นนัยๆ พลางเอ่ยตอบ
“ผู้จัดการส่วนตัวของผมคือคุณอินซอบนี่ครับ ผมไม่ต้องการผู้จัดการส่วนตัวคนอื่นหรอก”
พวกพนักงานหญิงส่งสายตาอิจฉาให้อินซอบ พวกเธอพูดคุยกันว่าแม้จะเป็นผู้ชายก็คงจะดีมากๆ เพราะจะได้อยู่ข้างๆ อีอูยอนตลอดทั้งวัน เหตุผลของพวกเธอก็คือแม้จะยุ่งมากๆ แต่จะดีแค่ไหนนะที่ได้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของคนที่นิสัยดี และมีบุคลิกภาพที่ดีอย่างอีอูยอน บางคนก็บอกว่าถ้ามอบตำแหน่งนี้ให้จะยอมทำงานโดยไม่รับค่าตอบแทน
พูดได้ดี หัวหน้าทีมชาดื่มเหล้าพลางมองคนที่พูดโดยไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของอีอูยอนก่อนจะเดาะลิ้น
“งั้นคุณอินซอบจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนไปเรื่อยๆ ไหมคะ เห็นบอกว่าจะไปเตรียมตัวสอบเป็นข้าราชการก็เลยจะเลิกไม่ใช่เหรอคะ”
อีดายอง น้องเล็กของทีมประชาสัมพันธ์ที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานเอ่ยถาม
“ครับ ผมต้องทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นน่ะครับ”
“ต่อให้ทำงานเป็นข้าราชการก็น่าจะทำได้ดีนะคะ ในออฟฟิศเขาพูดกันหนาหูจะตายไปว่าคุณอินซอบทั้งทำงานเก่ง และละเอียดรอบคอบ”
“ขอบคุณครับ”
“อายุเท่าไรเหรอคะ ดูเหมือนคุณจะอายุเท่าๆ กันกับฉันเลยนะ”
อินซอบลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะบอกอายุตามเอกสารออกไปว่า ‘ยี่สิบหก’ อีอูยอนกำลังดื่มเหล้าโดยไม่พูดอะไรอยู่ข้างๆ
“ยี่สิบหกเหรอ อายุมากกว่าฉันสองปีเลยนะคะ”
“อ๋อ ครับ…”
อินซอบคำนวณอายุอีกฝ่ายอยู่คนเดียวว่า ‘งั้นก็อายุยี่สิบสี่สินะ’ พอเขาเหม่อลอยโดยไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย คนรอบตัวก็จิ้มสีข้างของอินซอบก่อนจะเอ่ย
“ตอนแบบนั้นก็ต้องบอกว่างั้นพูดอย่างสบายๆ เถอะสิคะ เช่น ลองเรียกว่าพี่สิ อะไรแบบนั้นน่ะ”
“ครับ? ระ เรียกว่าพี่เหรอ…”
“โอ๊ย จะเรียกว่าพี่ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกได้ยังไงล่ะคะ ว่าอย่างนั้นไหมคะ พี่อินซอบ”
พออีดายองตีหน้าซื่อเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ คนที่อยู่รอบๆ ก็หัวเราะออกมา อินซอบรู้สึกผิดและสับสนกับการที่หญิงสาวที่ความจริงแล้วอายุเท่ากันเรียกเขาว่าพี่จนเหงื่อไหล
“ผมคิดว่าคำว่าพี่เนี่ยแปลกจริงๆ นะครับ”
จู่ๆ อีอูยอนก็เปิดปากพูด แม้จะเป็นเสียงที่เบาและต่ำ แต่ก็มีพลังพอที่จะดึงดูดความสนใจจากวงเหล้าที่เสียงดังได้ในคราวเดียว
“สิ่งที่ผมตกใจตอนมาที่เกาหลีครั้งแรกก็คือการที่คนอื่นๆ เรียกผมว่าพี่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นน่ะครับ”
“ฮ่าๆๆ นั่นสินะคะ เพราะพวกผู้หญิงก็เรียกคุณว่าพี่หมด”
“รู้สึกเหมือนจู่ๆ ก็มีน้องสาวจำนวนมากเลยล่ะครับ”
อีอูยอนยิ้มพลางเอ่ยตอบ อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับน้องสาวแท้ๆ อยู่แล้ว การมีน้องสาวจำนวนมากเพิ่มขึ้นที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“คุณบอกว่าเป็นน้องสาวได้ยังไงล่ะคะ คนพวกนั้นน่าจะมีเจตนาแฝงกับคุณอูยอนแท้ๆ”
“นั่นสิครับ แต่ถ้าเรียกว่าพี่บ่อยๆ ผมก็นับเป็นน้องสาวอยู่แล้วนะครับ”
“งั้นจะเรียกว่าอะไรดีล่ะ ถึงจะคิดเหมือนว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง”
หัวหน้าทีมประชาสัมพันธ์ที่มีอายุมากที่สุดในบรรดาผู้หญิงในออฟฟิศยื่นแก้วเหล้าให้อีอูยอนพลางเอ่ยถาม
“ผมไม่เคยลองคิดแบบนั้นเลยครับ อืม ก็ไม่รู้สิครับ”
อีอูยอนขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยท่าทางที่เหมือนกับกำลังครุ่นคิดก่อนจะจมลงไปในความคิดนั้น พวกพนักงานหญิงที่ได้มองการเคลื่อนไหวของอีอูยอนใกล้ๆ เหลือบมองท่าทางกลุ้มใจของเขาด้วยความรู้สึกที่ว่าทำไมถึงโชคดีอย่างนี้นะ
เขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะต้องเรียกว่าอะไรถึงจะคิดว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเลยสักครั้ง ถ้าสวยและมีช่องทางสำหรับสอดใส่ก็เป็นผู้หญิงแล้ว แต่ช่วงนี้…
อีอูยอนเหลือบมองอินซอบที่เขาผักกาดหอมวางบนผักกาดหอมก่อนจะวางเนื้อชิ้นหนึ่งลงไป และกำลังคิดกว่าจะวางผักกาดเพิ่มขึ้นอีกชิ้นดีไหม
อีกฝ่ายไม่ได้มีใบหน้าที่สวยงาม และเป็นผู้ชาย แต่บางครั้งเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็น ‘ผู้หญิง’ เขาคิดแบบนั้น เพราะอีกฝ่ายมีช่องทางให้สอดใส่หรือเปล่านะ ไม่สิ เขาไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก เพราะถ้าเป็นช่องทางแล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครก็ต้องมีสักคนละหนึ่งช่องอยู่แล้ว
อีอูยอนมองอินซอบที่มาจนถึงที่นี่เพื่อกินผักกาดหอมก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อสบตากันชเวอินซอบก็ก็ทำหน้าตกใจและหันหน้าหนีไป เป็นสีหน้าที่เหมือนกับเด็กผู้หญิงมัธยมปลายที่เจอกับคนโรคจิตที่ถนน หลังจากวันนั้นที่เขาส่งแบคฮีจินกลับไปและกอดชเวอินอินซอบ แค่สบตากันอีกฝ่ายก็แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าลำบากใจและรู้สึกไม่สบายใจ
เราสั่งไม่ให้แสดงออก แต่กลับทำท่าทางแบบนั้นเนี่ยนะ
อีอูยอนคิดว่ากลับบ้านไปวันนั้นจะต้องเตือนอีกฝ่ายอย่างเข้มงวดก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นมา
“อ่า พวกนั้นมาอีกแล้ว”
คิมเซจุนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ หันไปมองด้านหลัง เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะบ่นงึมงำ เขาทำกิจกรรมในฐานะนายแบบที่ญี่ปุ่น ปัจจุบันเขาเป็นทั้งนักแสดงและนายแบบ และเขาก็มีแฟนคลับที่ตามเหมือนเป็นสตอล์กเกอร์อยู่เป็นจำนวนมาก วันนี้ก็มีแฟนคลับที่รู้และมาหาเขาได้อย่างไรก็ไม่รู้ถือกล้องถ่ายรูปและจับจองพื้นที่อยู่ด้านนอกของร้าน
“พวกนั้นรู้ได้ยังไงเหรอครับ คงไม่ใช่ว่ามีใครในบริษัทของเรารับเงินจากพวกนั้นมาแล้วขายข้อมูลให้หรอกนะครับ”
พอคิมเซจุนบ่นพึมพำด้วยเสียงแข็งทื่อ อีอูยอนก็พูดสนับสนุนด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า ‘นั่นสินะครับ’
อินซอบที่กำลังกินเนื้อห่อผักอยู่คนเดียวรู้สึกถูกกระทบโดยไม่จำเป็น และห่อไหล่ลง
“เคยได้ยินว่าใครสักคนที่เป็นนักร้องสมัยก่อนเคยเล่าว่าพอกลับบ้านไป สตอล์กเกอร์ก็ดูทีวีพร้อมกันกินข้าวไปด้วยแล้วบอกว่า ‘กลับมาแล้วเหรอคะ’ ผมขนลุกเลยล่ะครับ ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเขาย้ายบ้านไปกี่ครั้งกันแน่ เพราะคนเสียสติที่ได้กุญแจประตูหน้าบ้านไปและเข้ามาหาอยู่เรื่อยๆ”
“เห็นคนพวกนั้นแล้วฉันประหลาดใจชะมัดเลย ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนแท้ๆ แต่มีเงินมาจากไหนถึงได้มาคอยตามถึงขนาดนั้น”
“ถ้าเป็นนักเรียนก็โชคดีไปนะครับ มีคุณป้าคนหนึ่งตามผมหนักมากมาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วล่ะครับ น่ากลัวจริงๆ ก่อนหน้านี้คุณป้าคนนั้นก็ไปพ่นคำด่าพร้อมกับพุ่งเข้าใส่นักแสดงหญิงที่มีข่าวกับผมที่ล็อบบี้ของสถานีโทรทัศน์ด้วยครับ เธอเอาอาหารที่ตัวเองทำมาให้บ่อยๆ ด้วยครับ แต่ผมคิดว่าจะไม่กินโดยเด็ดขาด”
เรื่องเล่าของสตอล์กเกอร์ที่ไม่สามารถฟังได้โดยไม่มีน้ำตาหลุดออกมาจากดาราที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“แล้วรุ่นพี่ล่ะครับเป็นยังไงบ้าง มีสตอล์กเกอร์ที่คอยตามอยู่พอสมควรเลยใช่ไหมครับ”
หนึ่งในนั้นโยนคำถามใส่อีอูยอน
“ก็มีอยู่บ้างครับ”
“…”
ความคิดที่จะกินเนื้อห่อผักของอินซอบซึ่งเป็นหนึ่งในสตอล์กเกอร์หายไป เขาวางผักกาดลงบนชามของตัวเองเงียบๆ
“เพราะคุณอูยอนดังมาก คนที่ตามก็น่าจะเยอะนะครับ ใช่ไหมครับ”
“ไม่เยอะขนาดนั้นหรอกครับ ผมค่อนข้างเงียบน่ะครับ”
อีอูยอนไม่ไปถ่ายวาไรตี้โชว์หรือทอล์กโชว์ แม้แต่การให้สัมภาษณ์เอง ทั้งหมดก็เป็นไปเพื่อการโปรโมทละครหรือภาพยนตร์ในรายการบันเทิงเท่านั้น ถึงจะมีคนใส่ร้ายอีอูยอนว่านั่นเป็นกลยุทธระดับสูงเหมือนกัน แต่อีอูยอนก็ไม่สนใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรดาราก็เป็นอาชีพที่ขายภาพลักษณ์เพื่อหาเงินกินอยู่แล้ว เขาจึงคิดว่าแค่ทำให้ถูกปากของตัวเองก็พอ เนื่องจากอุปนิสัยในการทำกิจกรรมของเขาที่เป็นแบบนั้น แฟนคลับที่เอาแต่ใจจึงมีไม่มากขนาดนั้นเมื่อเทียบกับการยอมรับ
“แต่ก็มีคนที่พิเศษอยู่นะครับ”
“คนแบบไหนเหรอครับ”
“ได้ยินว่าเป็นคนที่ลำบากบินมาจากอเมริกาเพราะผมน่ะครับ”
“หา? จริงเหรอ ทำไมล่ะ ฉันไม่ชอบเลย”
“ตามมาที่เกาหลีเพื่อเจอคุณอีอูยอนเหรอคะ ถ้าทุ่มเทขนาดนั้นก็คงจะทำอะไรก็ได้แหละ แล้วคุณอูยอนรู้ได้ยังไงเหรอคะ”
“ผมว่าเขาสะดุดตาน่ะครับ”
“…”