ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 8-6
ตารางงานวันนี้ของอีอูยอนคือการตื่นในช่วงสายของวันและไปฟิตเนส จากนั้นก็ไปคุยกับผู้กำกับเกี่ยวกับเรื่องการถ่ายละครในช่วงเย็น จึงไม่มีตรงไหนเลยที่เขาจะต้องโผล่มาที่บริษัทในตอนเช้าตรู่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อวานเขากับนักแสดงหญิงคนนั้นก็…
“มาเร็วนะครับเนี่ย”
“…ครับ”
“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะครับ ดูเหมือนเมื่อคืนคุณจะไม่ได้นอนสักนิดเลย”
อินซอบครุ่นคิดจนถึงเช้าและลุกออกจากที่นอนเมื่อเห็นว่าหน้าต่างสว่างแล้ว
“มีช่วงเวลาที่ดีหรือเปล่าครับ”
อินซอบรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเหมือนล้อเล่นนั้นแล้ว และขณะที่เขากำลังจะตอบ ลิฟต์ก็ขึ้นมาถึงชั้นห้องทำงานพอดี อีอูยอนส่งสายตาบอกให้อินซอบออกไปก่อน พอเห็นพวกเขาเดินเข้ามาด้วยกัน พวกพนักงานที่เข้างานเร็วก็กล่าวทักทายคนทั้งคู่
“สวัสดีค่ะ วันนี้มีเรื่องอะไรกันเหรอคะ ทั้งสองคนถึงได้มากันหมดเลย”
“กรรมการผู้จัดการอยู่ไหมครับ”
อีอูยอนเอ่ยถาม
“ต้องรออีกประมาณสามสิบนาทีนะคะ เชิญเข้าไปรอด้านในเลยค่ะ”
อีอูยอนเบนสายตากลับมาที่อินซอบ
“แล้วคุณอินซอบมาทำอะไรเหรอครับ”
“มาพบกรรมการผู้จัดการครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ งั้นไปด้วยกันสิครับ”
ขณะที่เดินเข้าไปในห้องของกรรมการผู้จัดการ อินซอบก็คิดว่าความโชคดีและโชคร้ายในชีวิตของตนคงกำลังวิ่งใส่ประตูหมุนที่หมุนติ้วเปิดเข้า-ออกอย่างวุ่นวายแน่นอน
อีอูยอนนั่งลงบนโซฟาในห้องของกรรมการผู้จัดการก่อนจะวางซองเอกสารที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะ ชเวอินซอบถามอีกฝ่ายว่าจะรับเครื่องดื่มไหม
“ไม่ล่ะครับ ผมกินข้าวเช้ามาแล้ว”
“…ครับ”
แม้จะไม่ได้ถามว่าใครเป็นคนเตรียมให้ แต่เขาก็รู้ว่านักแสดงหญิงที่เกือบจะเปลือยในบ้านของอีอูยอนเมื่อวานขึ้นชื่อว่าทำอาหารเก่ง เธอถ่ายโฆษณาหลายตัวที่เกี่ยวกับอาหาร และเธอก็กำลังทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารด้วย
ชเวอินซอบยืนห่างจากโซฟา เขามองปฏิทินที่ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับรูปต่างๆ ที่แขวนอยู่ที่ผนัง และรอให้กรรมการผู้จัดการคิมเข้ามาไวๆ แต่อีอูยอนกลับลุกขึ้น และเดินเข้ามาด้านหลังของอินซอบ
“นี่เป็นรูปผมเองครับ รู้ไหมครับว่าถ่ายเมื่อไหร่”
อีอูยอนชี้ไปที่รูปที่ถ่ายไว้ตอนที่เขาถ่ายนิตยสาร อินซอบพยักหน้า
“รู้ครับ เป็นตอนที่คุณไปถ่ายนิตยสารเดี่ยวที่ไซปันกับบริษัท P…”
“แม่นจังเลยนะครับ งั้นรู้ไหมครับว่าภาพนี้ถ่ายเมื่อไหร่”
อีอูยอนชี้ไปที่รูปภาพขาวดำที่เขาสวมหมวกลงมาปิดหน้า และกำลังสูบบุหรี่อยู่ตรงถนนพลางเอ่ยถาม
“ตอนเข้าร่วมพิธีมอบรางวัลที่จัดขึ้นที่ปารีสเมื่อหนึ่งปีก่อนครับ ผมรู้มาว่ามันเป็นรูปที่ช่างภาพที่มีชื่อเสียงบังเอิญถ่ายไว้ และอัปโหลดลงในบล็อคของตัวเอง”
“ใช่แล้วครับ ถูกต้อง”
รอยยิ้มที่นุ่มนวลถูกวาดขึ้นบนริมฝีปากของอีอูยอน อินซอบกังวลอยู่กับลมหายใจของผู้ชายที่อยู่ด้านหลังจนไม่สามารถขยับตัวได้ เขาจึงทำได้เพียงมองรูปเท่านั้น
“ผมคิดว่าคงไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับผมดีเท่าคุณอินซอบอีกแล้วล่ะครับ”
“…ขอบคุณครับ”
ต้นคอขาวๆ ของอินซอบถูกย้อมด้วยความเขินอายทันที เขาภาวนาให้อีอูยอนที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่รู้ถึงเรื่องนั้น
“…!”
แขนของอีอูยอนโดนไหล่อินซอบ อีอูยอนที่ยืนเหมือนพิงตัวเข้ากับไหล่ของเขาพูดต่อด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณอินซอบเลยครับ ผมเสียดายมากจริงๆ”
“…”
“ฮ่าๆๆ งั้นเราก็เสมอกันไหมครับ เพราะความจริงคุณอินซอบก็ไม่รู้เรื่องที่สำคัญเหมือนกัน”
“…ครับ อะไร…”
ลมหายใจของอีอูยอนโดนปลายผมของเขา อินซอบคิดแค่ว่าเขาอยากจะหลุดจากท่าทางประหลาดๆ นี่ไวๆ เท่านั้น
“คุณอินซอบ”
“ครับ?”
“ก่อนหน้านี้คุณอินซอบเคยบอกว่าอยากรู้จุดอ่อนของผมใช่ไหมครับ”
อินซอบหันกลับไปมองด้วยใบหน้าที่เหมือนกับสัตว์กินพืชที่โดนนักล่ากัดคอ อีอูยอนก้มลงมองอินซอบพลางเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“ถ้าผมบอกเรื่องนั้นให้คุณรู้ คุณจะยอมเซ็นสัญญาไหมครับ”
“…”
อินซอบไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับข้อเสนอที่กะทันหัน และไม่น่าเชื่อ เขาจึงเงียบอยู่อย่างนั้น
“เพราะถ้านั่นเป็นสิ่งที่คุณอินซอบต้องการ ผมก็จะบอกให้รู้ แล้วคุณจะอยู่ข้างผมไปเรื่อยๆ ไหมครับ”
เขารู้สึกเหมือนกับถูกวางไว้บนแถบเมอบิอุส[1] มันไม่ใช่ทั้งการพูดไร้สาระ หรือการล่อลวงที่หอมหวาน อินซอบอยากรู้ว่าทำไมอีอูยอนถึงอยากเก็บเขาไว้ข้างตัว แต่เสียงที่บอกว่าห้ามถามเรื่องนั้นก็ดังขึ้นในหัวเหมือนเป็นสัญชาตญาณเตือน
“เรามาถอดกันทีละชิ้น แล้วก็เริ่มต้นกันใหม่ไงครับ”
“…”
ชวนถอดอะไรล่ะ นี่เป็นคำศัพท์ใหม่อีกแล้วเหรอ
ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องสนใจคำพูดของอีอูยอนหรอก เพราะยังไงเราก็จะไม่เซ็นสัญญาอยู่แล้ว
“ผมมีเรื่องจะบอกครับ”
อินซอบเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น ความจริงแล้วเขาวางแผนไว้ว่าวันนี้เขาจะมาบอกกรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาว่าเขาจะลาออก และจะบอกให้อีอูยอนรู้ผ่านทางโทรศัพท์ หรือข้อความ เพราะเขาไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเพื่อบอกด้วยตัวเอง แต่พอมาเจอกันที่บริษัทแบบนี้ ก็เหมือนว่าเขาจะต้องบอกด้วยตัวเองแล้ว
“อะไรเหรอครับ”
อีอูยอนถาม ขณะที่อินซอบกำลังจะตอบ ประตูของห้องกรรมการผู้จัดการก็เปิดออก และกรรมการผู้จัดการคิมก็เข้ามาข้างในพร้อมกับส่งเสียงดัง
“โอ๊ย! จริงๆ เล้ย! ฉันจะไม่ปล่อยเอาไว้แล้วนะ นังคิมแฮชินนี่มันบ้าหรือเปล่า หงุดหงิดจริงๆ เลยให้ตาย อะไรเนี่ย อีอูยอน ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ นายมาเพราะเห็นข่าวในอินเทอร์เน็ตเหรอ”
“ข่าวในอินเทอร์เน็ตเหรอครับ”
“ยัยนักข่าวคิมแฮชินบอกว่าจะเปิดเผยร่องรอยของนายหลังจากที่เลิกงานเลี้ยงวันนั้น แล้วก็อัปหน้าจอ CCTV ตรงซอยใกล้ๆ กับที่เกิดเหตุลงทวิตเตอร์ของตัวเอง”
“แล้วยังไงเหรอครับ”
อีอูยอนถามกลับด้วยน้ำเสียงเหนือกว่า
“เธอบอกว่าเธอถ่ายฉากที่ผมฟาดรุ่นพี่คังยองโมตรงนั้นไว้เหรอครับ”
“…แน่นอนว่าไม่ใช่อย่างนั้น แต่การลงข้อความในลักษณะที่ชี้ว่ามันแปลกที่นายวนเวียนอยู่แถวๆ นั้นน่ะ ก็คือการทำให้กลายเป็นข่าวไงล่ะ”
“งั้นฟ้องเลยครับ”
อีอูยอนยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับไป กรรมการผู้จัดการคิมถามว่ามันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับอีอูยอน มันไม่ใช่ปัญหาที่จะจบลงได้ด้วยการบอกว่าจะฟ้องนักข่าว สิ่งที่ต้องกังวลคือปัญหาหลังการฟ้องต่างหาก เพราะปกติแล้วการฟ้องร้องมักจะจบลงด้วยโทษปรับเงิน ถ้านักข่าวนิสัยไม่ดีอย่างคิมแฮชินโดนฟ้อง เธอจะต้องเขียนข่าวที่ไม่ดี และทำลายภาพลักษณ์ของดาราที่เกี่ยวข้องอย่างไม่ยอมแพ้แน่นอน
“ว่าแต่เช้านี้ทั้งสองคนมาที่นี่ทำไมล่ะ”
“ผมมีเรื่องจะบอกกรรมการผู้จัดการครับ”
“…ผมก็มีเรื่องจะบอกเหมือนกันครับ”
“ทั้งคู่เลยเหรอ อะไรล่ะ คงไม่ได้จะบอกว่าพวกนายกำลังคบกันอยู่หรอกนะใช่ไหม งั้นฆ่าฉันเลยดีกว่า”
มีเพียงอีอูยอนเท่านั้นที่หัวเราะเสียงดังให้กับการล้อเล่นที่กรรมการผู้จัดการคิมโยนมา
“ฮ่าๆๆๆ นี่ผมบ้าไปแล้วเหรอครับ”
“…”
ยิ่งเสียงหัวเราะของอีอูยอนดังขึ้นเท่าไร หน้าของอินซอบก็ค่อยๆ หมองลง
“ถ้าผมพูดแบบนั้น ผมจะเรียกกรรมการผู้จัดการว่าพ่อเลยครับ”
“ไม่มีทางซะล่ะ ฉันไม่เคยมีลูกอย่างนาย ไม่อยากมีด้วย ไม่สิ เดี๋ยวนะ นี่เราอายุห่างกันเท่าไร ถึงจะมาเรียกฉันว่าพ่อ!”
พอเห็นกรรมการผู้จัดการคิมเกรี้ยวกราด อีอูยอนก็เสยผมที่ไม่เป็นทรงขึ้นไปก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“เลดี้เฟิร์ส งั้นให้คุณอินซอบพูดก่อนเลยครับ”
อีอูยอนหันหน้าไปทางอินซอบ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยการหยอกเย้ายังคงอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย อินซอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะได้แขวนนวมสักที อินซอบกำมือแน่นเพื่อไม่ให้มันสั่น และเปิดปากพูด
“ตั้งแต่วันนี้ไปผมจะลาออกครับ”
สิ้นเสียงของอินซอบ รอยยิ้มของอีอูยอนก็หายไปทันที
***
ขณะที่จัดพวกเสื้อผ้าหลังจากกลับมาถึงบ้าน อินซอบก็ยิ้มอย่างห่อเหี่ยว
ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ
ตอนที่เขาพูดความเห็นเรื่องที่เขาจะลาออกที่ห้องทำงาน กรรมการผู้จัดการคิมเด้งตัวขึ้นมาอย่างที่เขาคิดในตอนแรก แต่พอเห็นถึงความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวของอินซอบแล้ว อีกฝ่ายก็รับจดหมายลาออกไปด้วยสีหน้าที่ปฏิเสธไม่ได้
อีอูยอนมองอินซอบโดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง และจมอยู่กับความคิดของตัวเองพลางขมวดคิ้วเล็กๆ เขาไม่อาจมองเห็นได้เลยว่าอีกฝ่ายซึ่งใช้มือเท้าคางและก้มหน้าอยู่นั้นกำลังทำสีหน้าแบบไหน
หลังจากนั้นอีอูยอนก็ยื่นมือให้อินซอบ
‘ที่ผ่านมาคุณทำงานหนักมากเลยครับ ขอบคุณนะครับ’
อินซอบลังเลก่อนจะจับมือกับอีอูยอน ตอนที่มือใหญ่และหนากุมมือของตนไว้ น้ำตาของเขาก็เอ่อขึ้นมา มือคู่นั้นที่เขาเคยจับตอนที่เริ่มงานครั้งแรก ทันทีที่ไออุ่นที่เคยกุมมือของเขาหายไป อินซอบก็รู้ได้โดยอัตโนมัติ นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ สินะ คงจะไม่มีวันที่เราจะได้จับมือคู่นี้อีกแล้วสินะ
หัวหน้าทีมชาที่วิ่งมาหาหลังจากที่ได้รับการติดต่อก็ทำเพียงตบบ่าอินซอบด้วยสีหน้าแปลกๆ และไม่พูดอะไรเลย แม้อินซอบจะบอกว่าเขาจะทำงานจนถึงสัปดาห์นี้ แต่อีอูยอนกลับส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด
อินซอบรู้สึกถึงเส้นแบ่งที่ชัดเจนในคำพูดของอีกฝ่ายที่บอกว่า ‘ผมไม่สามารถรบกวนคนที่ออกไปแล้วได้อีกหรอกครับ’ หลังจากตระหนักได้ว่าไม่มีเหตุผลที่ตัวเองจะต้องอยู่ที่นี่ต่อ อินซอบก็บอกลาทุกคน และออกจากห้องทำงานไป
แม้หัวหน้าทีมชาจะบอกว่าจะไปส่งจนถึงชั้นล่าง แต่อินซอบก็ปฏิเสธด้วยความสุภาพอย่างเต็มที่ อีอูยอนเพียงแค่ฉีกยิ้มอย่างที่ใครหลายคนชอบ และโบกมือให้จากในห้องของกรรมการผู้จัดการเท่านั้น
“จบแล้ว…”
มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะมากจริงๆ
เขานึกถึงคนที่ทำให้เขาพยายามเพื่อมาถึงตรงนี้ นี่เป็นเส้นทางที่เขาใช้การไถ่บาปให้เจนนี่ผลักดันตัวเองเข้ามา แม้ผลลัพธ์จะเป็นการคว้าน้ำเหลว แต่พอเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำยังไงกับมันดี สุดท้ายอินซอบจึงตัดสินใจด้วยการกอดมันกลับไปที่อเมริกาด้วย
เพราะตอนนี้เขายังตัดสินใจไม่ได้ จึงไม่มีอะไรที่ต่างออกไป ทันทีที่เขาตัดสินใจอย่างนั้นในตอนเช้ามืดของเมื่อวาน ความคิดที่พันกันยุ่งเหยิงเหมือนด้ายก็ถูกจัดการให้เป็นระเบียบ
แต่เขาจะไม่ส่งให้นักข่าวคิมแฮชินทั้งหมด แค่รูปถ่ายสองสามใบที่ดูใช้ได้มากที่สุดในบรรดาข้อมูลเรื่องความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ซับซ้อนของอีอูยอนที่เขารวบรวมไว้ก็น่าจะเพียงพอ
แค่นั้นก็ได้ใช่ไหม
อินซอบมองไปรอบๆ ห้องบนชั้นดาดฟ้าที่ตัวเองผูกพันอีกรอบขณะจัดเสื้อผ้าที่จะทิ้งกับเสื้อผ้าที่จะเอากลับไปด้วย
***
“…ยอน คุณอีอูยอน!”
“อ่า ครับ”
“คุณอูยอนฟังอยู่หรือเปล่า ผมถามว่าได้ลองคิดหรือยังครับว่าวิธีไหนดีที่สุด”
“ไม่รู้สิครับ ผมยังต้องคิดอีกสักหน่อย ไว้ผมจะลองปรึกษากับกรรมการผู้จัดการดูนะครับ”
“ได้เลยครับ งั้นวันนี้ก็คุยกันเท่านี้แหละ เพราะดูเหมือนใจของคุณอูยอนจะไปอยู่ที่อื่นแล้ว”
อีอูยอนยิ้มอย่างอายๆ ก่อนจะลุกขึ้น
พอเห็นว่าหัวหน้าทีมชาลุกขึ้นจากที่ไกลๆ โปรดิวเซอร์ก็ร้องเอ๋พร้อมเอียงคอด้วยความสงสัย
“ว่าแต่ผู้จัดการส่วนตัวคนนั้นไปไหนเหรอ ผู้จัดการส่วนตัวที่ตาโต และดูงงๆ แต่ทำงานดีน่ะ”
“เขาลาออกไปแล้วครับ”
“งั้นเหรอ น่าเสียดายนะ เป็นเด็กที่ทำงานดี แล้วก็ดูซื่อสัตย์แท้ๆ ขอเบอร์ติดต่อหน่อยสิ ผมจะบอกให้เขามาลองทำงานที่บริษัทของผมซะหน่อย”
“เขาคงไม่คิดอย่างนั้นหรอกครับ”
“เขาอาจจะคิดก็ได้ ทำไมล่ะ เจ็บใจจนไม่อยากจะให้เขาไปอยู่ที่อื่น เพราะเขาลาออกอย่างกะทันหันเหรอ”
“ฮ่าๆๆๆ ไม่มีทางหรอกครับ”
อีอูยอนหัวเราะอย่างร่าเริงก่อนจะบอกลาผู้กำกับคิม ทันทีที่อินซอบอกว่าจะลาออก หัวหน้าทีมชาก็ทำหน้าเหมือนคนแก่ที่แบกความตายไว้บนหลัง และยอมทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอน
การที่มีคนออกไปหนึ่งคนไม่ได้ทำให้บริษัทเปลี่ยนไปมาก เพราะถึงแม้จะไม่ใช่หัวหน้าทีมชา แต่ก็น่าจะมีคนคอยขับรถรับส่งเขาชั่วคราวอยู่สักระยะหนึ่งอยู่แล้ว
ตอนที่ชเวอินซอบบอกว่าจะลาออกจากงานอย่างกะทันหัน แม้กรรมการผู้จัดการคิม หรือหัวหน้าทีมชาจะตกใจ แต่สีหน้าของพวกเขาก็บอกว่า ‘สิ่งที่จะเกิดได้เกิดขึ้นแล้วสินะ’ พวกเขาเชื่อ และรู้ได้โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าอินซอบลาออกเพราะอีอูยอนแอบทำเรื่องอะไรบางอย่างลับหลัง
คนที่งุนงงที่สุดในที่นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอีอูยอนเอง
เขารู้สึกเหมือนจู่ๆ นกกระจอกที่เขากำไว้ในมือก็กัดหลังมือเขา และบินหนีขึ้นไปบนต้นไม้
[1] แถบเมอบิอุส หรือแถบโมเบียส คือพื้นผิวชนิดหนึ่ง ซึ่งมีด้านเพียงด้านเดียวและมีขอบเพียงข้างเดียว สิ่งที่น่าสนใจทางคณิตศาสตร์ก็คือ ไม่ว่าเราจะเลือกสองจุดใดๆ บนแถบ เราสามารถที่จะลากเส้นเชื่อมต่อสองจุดนั้นได้โดยที่ไม่ต้องยกปากกาหรือว่าลากเส้นผ่านขอบ