ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 8-5
“ทำไมนายถึงพูดแบบนั้นล่ะ”
“แล้วเธอจะอยู่ในความฝันไปถึงเมื่อไหร่ ช่วยมองดูความเป็นจริงด้วยเถอะ”
ทำมาเป็นพูดว่าทำเพื่อเจนนี่ แต่ที่ไหนได้ปีเตอร์กลับสาดคำพูดทั้งหมดแม้แต่คำที่ไม่เคยพูดไปจนถึงการพูดด้วยดีๆ ใส่เจนนี่ ตอนนี้เขาเกลียดและรู้สึกอับอายกับสถานการณ์ตรงนี้มาก เขาโมโหจนอยากที่จะหายไปจากตรงนี้
ปีเตอร์จับแขนของเจนนี่และพูดอย่างเด็ดขาด
“เห็นไหม การดูเหมือนคนโง่และน่าสงสารแบบนี้คือความเป็นจริงของพวกเรา พวกเราไม่มีทางเหมือนคนพวกนั้นได้หรอก”
ปีเตอร์พูดพร้อมมองไปที่บ้านหลังใหญ่ที่เปิดไฟสว่างไสว และมีเสียงเพลงกับเสียงหัวเราะดังออกมาไม่ขาดสาย
“ตั้งสติ แล้วตื่นจากฝันซะ”
“ฝันเหรอ”
“ใช่ ฝัน”
“ทำไมฉันถึงเหมือนกับคนพวกนั้นไม่ได้ล่ะ คนพวกนั้นมันทำไมเหรอ ถ้าฉันไปที่บ้านของคุณป้าสเปนเซอร์ ฉันเองก็มีบ้านแบบนั้นเหมือน…”
“คุณป้าสเปนเซอร์เหรอ”
เมื่อเห็นปีเตอร์เอ่ยถามพลางหัวเราะเยาะ สีหน้าของเจนนี่ก็ดูไม่พอใจอย่างรุนแรง
“คุณป้าสเปนเซอร์ทำไมเหรอ”
“คุณป้าสเปนเซอร์มีอยู่จริงเหรอ”
เจนนี่ตบหน้าของปีเตอร์ เลือดที่ไหลออกมาจากจมูกเลอะเปียกริมฝีปากของปีเตอร์ เขารู้สึกถึงรสชาติเค็มๆ ของเลือดที่ปลายลิ้น
“นายคิดว่าทุกอย่างที่ฉันพูดเป็นเรื่องโกหกเหรอ”
“…”
ปีเตอร์ไม่พูดอะไร แม้จะไม่ใช่เรื่องโกหกทั้งหมด แต่ในคำพูดของเธอก็มีการพูดเกินจริง และคำโกหกปนอยู่ประมาณหนึ่งเสมอ แม้เขาจะรู้ดีกว่านั่นเป็นพรสวรรค์เพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้เธอทนกับชีวิตที่ยากลำบากได้ แต่ปีเตอร์ก็ไม่ยอมยืนอยู่ข้างเจนนี่
“แล้วนายจะตามมาที่ปาร์ตี้นี้ทำไมล่ะ ถ้าไม่เชื่อคำพูดของฉันตั้งแต่แรก นายจะมาที่ปาร์ตี้นี้ทำไม…ฮ่าๆๆๆ”
เธอเสยผมที่เปียกพร้อมกับหัวเราะออกมา น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าที่เปื้อนเครื่องสำอาง
“นายตามมาเจอฟิลลิปเหรอ”
”ว่าไงนะ”
“นายเองก็ชอบฟิลลิปเหมือนกันใช่ไหม เพราะงั้นนายก็เลยแอบเขียนอย่างอื่นลงไปในจดหมายของฉันใช่หรือเปล่า นายทำแบบนั้นหรือเปล่า”
จิตใจของเจนนี่อ่อนแอ และยุ่งเหยิงถึงขนาดที่ว่าแค่เอามือไปแตะก็อาจจะแตกหักได้ สิ่งที่จะออกมาจากเด็กสาวที่เป็นแบบนั้นได้มีเพียงความโกรธ และสิ่งที่เขาทำได้มีเพียงการกล่าวโทษอีกฝ่ายเท่านั้น
“นายแกล้งทำเป็นช่วยฉัน แต่ก็เป็นคนรักร่วมเพศลับหลังฉันสินะ ใช่แล้ว นายเองก็พอใจในตัวเฟร็ดที่เหมือนหมูนั่นสินะ เฟร็ดเองก็บอกว่าพอเห็นนายแล้ว เขาเกิดอารมณ์เหมือนกัน ฉันเคยได้ยินไอ้พวกชมรมฟุตบอลหัวเราะคิกคักกันด้วยว่าพอเห็นนายเดินกับฉันแล้ว ถ้าจะต้องทำกับใครสักคน พวกเขาก็อยากจะเสียบนาย ฮ่าๆๆ สมาคมชาวเกาหลีที่นายไป นายก็ตั้งใจไปเพื่อยั่วยวนเขาใช่ไหม แต่เพราะฟิลลิปไม่สนใจนาย นายก็เลยมาแก้แค้นฉันล่ะสิ ใช่ไหม”
ปีเตอร์พูดไม่ออก ปลายนิ้วของเขาสั่นเทา เขาชักไม่แน่ใจว่าคนที่กำลังสาดคำพูดว่าร้ายใส่ตนอย่างไม่ตั้งใจราวกับทำไปเพราะโมโหนั้นคือเพื่อนที่ตนรักจริงๆ หรือเปล่า
“ฉันจะไปบอกฟิลลิปดีไหมนะว่านายชอบเขา ว่าจดหมายนั่นนายเป็นคนเขียนทั้งหมด! และความจริงก็คือทุกอย่างเป็นเรื่องที่นายแต่งขึ้น!”
ปีเตอร์มองเจนนี่ที่อาละวาดพลางยกไม้ยกมือไปด้วย และตอบกลับไปเงียบๆ
“เจนนี่ หยุดเถอะ”
“ทำไม นายอายเหรอ งั้นฉันจะไปพูดแทนเอง”
ปีเตอร์รู้ว่าในสถานการณ์นี้เจนนี่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ แต่เขาไม่สามารถกอดและตบหลังปลอบเธอได้ ตอนนั้นเขาไม่อยากทำแบบนั้น และไม่มีเหตุผลที่จะทำแบบนั้นด้วย
ปีเตอร์เชื่อว่าพวกเขาต่างก็ได้รับบาดแผล และเหนื่อยเหมือนๆ กัน
เพราะปีเตอร์ก็เป็นเด็กอายุสิบแปดเหมือนกับเธอ
“ฉันไม่อยากพูดอะไรกับเธออีกแล้ว”
ปีเตอร์เดินจากมาโดยทิ้งเจนนี่ไว้ข้างหลัง และนั่นคือบทสนทนาสุดท้ายที่เขาได้คุยกับเจนนี่
***
พอลงจากรถเมล์และเดินผ่านซอยขึ้นเนินไปสักพักหนึ่งอินซอบก็เห็นบ้าน ตอนที่ซื้อบ้านตรงนี้ครั้งแรก อินซอบนอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะกังวลว่าเขาจะต้องขึ้นๆ ลงๆ เนิน เขาคิดอย่างจริงจังว่าในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ถ้าเขาเดินไปไม่ถึงบ้านและล้มลงจนโดนทับบู้บี้กลายเป็นซากศพอยู่ตรงนั้น มันคงจะสร้างความไม่รู้สึกไม่ดีให้กับผู้พบเห็น
ปัจจุบันอินซอบกำลังได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่าความจริงแล้วร่างกายของมนุษย์ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้แม้จะเดินขึ้นมาเกือบจะถึงยอดเนินแล้ว เขาก็ยังหายใจได้ แต่อาจจะเป็นเพราะเขาต้องระวังและค่อยๆ เดินเพื่อไม่ให้ต้นมิโมซ่าที่ชื่อว่าเคทที่อยู่ในอ้อมกอดได้รับความเครียด เท้าของเขาจึงหนักอึ้งแทน
เขาขึ้นมาถึงยอดเขาที่ไม่ใครอยู่ และรู้สึกอยากจะตะโกนลงไปซ้ำๆ ว่า ‘ฉันคือคนโง่ที่สุดในโลก’ สักหมื่นครั้ง
แล้วรูปร่างด้านข้างของใครสักคนก็เข้ามาในสายตาของเขาที่ค่อยๆ เดินขึ้นเนิน
“…”
นั่นเป็นใบหน้าที่เขาไม่รู้สึกยินดีที่ได้พบ อีกฝ่ายจำอินซอบได้ จึงยกมือขึ้นทักทายเขา
“ถือกระถางต้นไม้ไปไหนมาเหรอคะ คงจะไม่ได้ออกไปเพื่อย้ายต้นไม้ลงกระถางกลางดึกแบบนี้หรอกใช่ไหมคะ”
“…”
“ฉันโทรศัพท์หาคุณแล้ว แต่คุณไม่ยอมรับสายน่ะค่ะ”
“เครื่องผมดับ เพราะแบตหมดน่ะครับ”
อินซอบกลัวว่าอีอูยอนจะติดต่อกลับมา เขาเลยปิดเครื่องตั้งแต่ตอนที่ลงลิฟต์ที่อพาร์ทเมนต์ของอีกฝ่ายแล้ว
“ฉันรออยู่นะคะ”
เมื่อคิดถึงเหตุผลที่นักข่าวคิมแฮชินมาหาเขาจนถึงที่นี่ อินซอบก็ทำหน้าเครียดโดยอัตโนมัติ
“จำเป็นต้องทำหน้าไม่ชอบใจถึงขนาดนั้นด้วยเหรอคะ ฉันแค่ชวนให้เรามาช่วยเหลือซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง”
“ผมไม่มีเรื่องให้ต้องรับความช่วยเหลือจากคุณนักข่าวคิมหรอกครับ”
“จริงเหรอคะ ไม่มีจริงๆ เหรอ ถ้าลองคิดดีๆ ก็เหมือนจะมีนะคะ งั้นให้ฉันไปบอกสิ่งที่ฉันรู้กับคุณอีอูยอน หรือว่ากรรมการผู้จัดการคิมตอนนี้ดีไหมคะ”
“ทำอย่างที่คุณอยากทำเถอะครับ”
อินซอบเดินผ่านเธอไป ยิ่งเธอเป็นแบบนี้ด้วยแล้ว เขาจะแสดงจุดอ่อนให้เธอเห็นไม่ได้เด็ดขาด เพราะวินาทีที่เขาเปิดเผยช่องโหว่ เขาจะถูกจับกินทันที
“ได้ค่ะ ว่าแต่คุณชเวอินซอบที่อยู่ตรงนี้หน้าไม่เหมือนกับคุณชเวอินซอบที่ฉันรู้จักเลยนะคะ ที่ผ่านมาเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าน้า”
“…!”
“ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านนี้น่ะค่ะ การใช้โทรศัพท์มือถือปลอมกับการหนีไปอเมริกาอย่างกะทันหันมันไม่แปลกไปหน่อยเหรอคะ สัญชาตญาณนักข่าวของฉันพลุ่งพล่านอย่างรุนแรงเลยล่ะค่ะ ช่วงนี้ฉันเองก็ยุ่งและเหนื่อยมาก เพราะมัวแต่ตามสืบเรื่องนี้อยู่ งั้นเบอร์โทรศัพท์มือถือของคุณอีอูยอนคืออะไรน้า…”
นักข่าวคิมแฮชินพึมพำเหมือนพูดคนเดียว และหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
“ฮัลโหล นักข่าวคิมแฮชินค่ะ”
ภายในสมองของอินซอบขาวโพลน แม้ตัวเขาเองจะไม่สนใจ แต่มันอาจจะเกิดความเสียหายขึ้นกับคนที่เขายืมชื่อมาก็ได้ อินซอบเอื้อมมือออกไปแย่งโทรศัพท์จากมือของอีกฝ่าย พอมองหน้าจอโทรศัพท์ก็พบว่ามันไม่ได้โทรออกหาใครทั้งนั้น
…โดนหลอกสินะ
“ฉันไม่ได้จะขอร้องเรื่องยากๆ หรอกค่ะ”
“…”
“แค่คุณให้สัมภาษณ์ง่ายๆ กับฉันก่อนที่จะเขียนจดหมายลาออกก็พอแล้ว ฉันจะถามคำถามแค่ไม่กี่ข้อเท่านั้น”
“แค่ให้สัมภาษณ์ก็พอเหรอครับ”
นักข่าวคิมแฮชินหยิบเครื่องอัดเสียงออกมาจากกระเป๋า เธอยื่นมันมาตรงหน้าของอินซอบ พออินซอบก้มลงมองสิ่งนั้นด้วยสีหน้าลำบากใจ เธอก็ยักไหล่
“ฉันไม่ได้จะใช้ไฟล์นี้หรอกค่ะ ฉันทำแบบนั้น เพราะไม่มั่นใจในตัวเองเฉยๆ ว่าจะจำทุกอย่างได้โดยไม่มีอะไรผิดไปสักคำ ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณช่วยเล่าเรื่องวันนั้นให้รู้หน่อยสิคะ ตามที่ฉันได้ยินมา เห็นว่าวันนั้นคุณคังยองโมทะเลาะกับคุณอินซอบนิดหน่อย จริงหรือเปล่าคะ”
“…”
“วันนั้นคุณชเวอินซอบไม่ได้พาคุณอีอูยอนกลับไปส่งที่บ้านใช่ไหมคะ วันนั้นคุณกลับบ้านไปหลังจากมีเรื่องกับคุณคังยองโมหรือเปล่าคะ แล้วคุณอีอูยอนรู้ความจริงนี้ไหมคะ”
“วันนั้นผมกลับบ้านเพราะเหนื่อยครับ แค่นั้นจริงๆ”
เมื่อไม่ได้คำตอบที่ตัวเองต้องการจากอินซอบ นักข่าวคิมแฮชินก็เดาะลิ้นด้วยสีหน้ายุ่งยาก เธอปิดเครื่องอัดเสียง และเก็บมันลงกระเป๋าอีกครั้ง
“วันนี้คงจะไม่ได้ ไว้คุยกันใหม่คราวหน้านะคะ ถึงวันนั้นคุณก็ช่วยมาพร้อมกับหัวข้อข่าวดีๆ สักอันด้วยล่ะ”
นี่คือการข่มขู่
เธอเริ่มจากเรื่องง่ายๆ ในตอนแรก และสุดท้ายก็เพิ่มเงื่อนไขอื่นๆ ทีละข้อสองข้อ ชเวอินซอบรู้ว่ามนุษย์ที่ชื่อคิมแฮชินจะไม่ปล่อยเขาไปจนกว่าเธอจะได้ในสิ่งที่ต้องการ
“ผมไม่รู้หรอกครับว่าหัวข้อข่าวคืออะไร ผมไม่ใช่นักข่าว”
“ลองคิดดีๆ สิคะ ฉันจะให้เวลาคุณถึงวันมะเรื่องนี้ แล้วตอนนี้คุณชเวอินซอบตัวจริงอยู่ที่ไหนเหรอคะ โอ๊ะ เรื่องนี้ก็เป็นความลับด้วยสินะ งั้นไว้ฉันจะติดต่อไปนะคะ”
หญิงสาวตบบ่าอินซอบก่อนจะเดินลงเนินไป
เส้นทางง่ายๆ ถูกเปิดออกแล้ว ถ้าเขาอยากจะดึงอีอูยอนลงมาจากตรงนั้น เขาก็แค่ยื่นรูปพวกนั้นให้นักข่าวคิมแฮชินก็จบ เพราะเธอกัดอีอูยอนโดยไม่เลือกวิธีอยู่แล้ว
เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการหาคนที่เหมาะสมที่จะส่งรูปให้ ถ้าหากเป็นคนที่มีความสนิทสนมและร่วมมือกับดารา หรือต้นสังกัด ก็มีความเป็นไปได้ที่ทางดารา หรือต้นสังกัดจะติดต่อมาเพื่อทำให้หลักฐานหายไปก่อนที่เรื่องนั้นจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง หากเป็นคนที่โลภมาก พวกเขาก็จะอาจจะเรียกร้องเงินจากดารา และปล่อยข้อมูลเหล่านั้นไป ดังนั้นพอชเวอินซอบจัดการหนังสือพิมพ์และนักข่าวที่มีน้ำใจกับอีอูยอน หรือต้นสังกัดแล้ว เขาจึงมีเชลยอยู่ เขาค้นหาข้อมูลของนักข่าวทีละคน และลองอ่านข้อมูลเหล่านั้นก่อนจะแยกหมวดหมู่ไว้
นักข่าวคิมแฮชินเป็นประเภทที่โดดเด่นมาก เธอเดิมพันชีวิตไว้กับสกู๊ปพิเศษ เธอเป็นคนเด็ดเดี่ยวถึงขนาดที่ว่าถ้าได้ลองกัดดาราคนไหนสักครั้งแล้วล่ะก็ เธอจะไม่ปล่อยไปอย่างเด็ดขาด
คนที่เหมาะที่สุดที่จะยื่นรูปที่ถ่ายวันนั้นให้เดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าอินซอบด้วยตัวเอง ถ้าเป็นเธอล่ะก็ เพื่อชื่อเสียงในฐานะนักข่าวของตัวเองแล้ว ต่อให้เธอแอบอ้างว่าตัวเองเป็นคนถ่ายรูปเองก็ไม่นับว่าเกินไป
เขามีปัจจัยทุกอย่างครบหมดแล้ว และตอนนี้ก็เหลือแค่การตัดสินใจของเขาเท่านั้น
ชเวอินซอบยืนอยู่ตรงนั้น และมองภาพของความโชคดีที่เป็นลางร้ายหายไปทางด้านล่างของเนิน
***
ชเวอินซอบยืนเช็กตัวเองอยู่หน้ากระจกก่อนออกจากบ้าน เขาจะไม่คิดถึงมันอีกแล้ว เพราะมันเป็นการตัดสินใจที่เขาทำลงไปหลังจากที่ครุ่นคิดมาทั้งคืน
“ดีล่ะ”
อินซอบจัดปกเสื้อเชิ้ตที่ไม่เรียบร้อยให้เข้าที่ก่อนจะออกจากประตูบ้าน ขณะที่เดินไปที่บริษัท อินซอบค่อยๆ มองไปรอบๆ เพราะคิดว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้เดินบนทางเส้นนี้
เขาสามารถอ้อยอิ่งได้ เพราะวันนี้อีอูยอนไม่มีตารางงานตอนเช้า
อินซอบคิดว่าเขาจะไปที่บริษัท และบอกว่าเขาจะลาออกวันนี้ ถ้าถูกถามถึงเหตุผล เขาก็จะตอบให้มีความเป็นไปได้ที่สุด
‘พ่อกับแม่บอกให้ผมไปสอบเป็นข้าราชการครับ แล้วผมก็ตัดสินใจแล้วว่าผมเหมาะกับความถนัดด้านนั้นมากกว่าครับ’ แล้วถ้าถูกห้ามอีกครั้งล่ะ เขาก็จะตอบไปว่า ‘ผมต้องกลับบ้านเกิดทันทีเพราะช่วงนี้พ่อของผมสุขภาพไม่ดี’
แล้วถ้าโดนห้ามอีกครั้ง
ถึงตอนนั้นเราก็จะอ้างถึงนิ้วที่บาดเจ็บน่ะสิ
อินซอบมองนิ้วที่มีผ้าพันแผลพันอยู่พลางหวังว่าเขาจะไม่ต้องไปจนถึงตรงนี้ เขารู้ดีว่าทุกครั้งที่กรรมการผู้จัดการคิม หรือหัวหน้าทีมชาห้าม เขาจะต้องใจอ่อน เพราะทั้งสองคนเป็นคนที่ดีกับเขามาก และด้วยเหตุผลนั้น เขาถึงซื้อตั๋วเครื่องบินเป็นสัปดาห์หน้าทันที ถ้าทั้งสองคนบอกให้เขาลองคิดในขณะที่ทำงานต่อไปอีกสักหน่อย เขาคงไม่มีความกล้าที่จะตัดขาดอย่างเด็ดขาด
แต่เรื่องที่โชคดีก็คือต่อให้เขาลาออกไปตอนนี้ ก็ไม่มีใครจะคิดว่ามันแปลก เพราะผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนถูกเปลี่ยนทุกๆ สามเดือนอยู่แล้ว
ระหว่างที่เขาจัดการความคิดนั่นนี่อยู่นั้น เขาก็มาถึงหน้าบริษัท อินซอบทักทาย รปภ. ของตึกที่ตอนนี้คุ้นหน้าเขาแล้วก่อนจะขึ้นลิฟต์ไป ขณะที่เขากำลังจะกดเลขชั้นของห้องทำงาน ก็มีมือใหญ่ๆ สอดเข้ามาระหว่างช่องประตูของลิฟต์เพื่อกั้นไม่ให้ลิฟต์ปิด พอประตูลิฟต์เปิดออก อีอูยอนก็เดินเข้ามา
“…”
แม้ชเวอินซอบจะรู้ว่าตนกำลังทำสีหน้าไม่พอใจ แต่วินาทีนั้นเขาไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาอย่างอื่นได้จริงๆ
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
แม้ไม่อาจมองเห็นได้ว่าดวงตาของอีกฝ่ายยิ้มอยู่หรือเปล่า เพราะสวมแว่นกันแดดเอาไว้ แต่น้ำเสียงที่พูดอย่างนั้นก็อ่อนโยนกว่าเมื่อวานประมาณหนึ่ง