ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 8-10
อีอูยอนหยิบแฟ้มที่เขียนชื่อคิมแฮชินไว้ขึ้นมา หลังจากเปิดดูรูปที่อยู่ในแฟ้มทีละใบ เขาก็หัวเราะเยาะออกมา
“นี่คือรูปที่จะเอาไปให้คิมแฮชินเหรอครับ”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้จะให้ทุกรูป…”
“เลือกรูปที่ดูดีที่สุดไว้เหรอครับ คิมแฮชินส่งคุณอินซอบมาเหรอ ส่งมาเพื่อแอบสืบข้อมูลของผมงั้นเหรอ”
“เปล่านะครับ! ไม่มีทางเป็นแบบนั้นเด็ดขาดเลยครับ”
“งั้นมันคืออะไรล่ะครับ หรือคุณมีอะไรกับคิมแฮชินก็เลยทำทุกอย่างตามที่เธอสั่ง?”
อินซอบไม่เชื่อหูตัวเอง ในยามนี้ที่คำพูดหยาบคายเหล่านั้นพรั่งพรูออกมาจากปากของอีอูยอนให้ความรู้สึกไกลตัวราวกับเป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์
“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้รู้จักคนคนนั้นดีด้วยซ้ำ…”
“โดนขู่เหรอครับ”
เมื่อแทงถูกจุดสำคัญ อินซอบก็สะดุ้งพลางเงยหน้าขึ้น มุมปากของอีอูยอนยกขึ้นอย่างพิกล เขาอมยิ้มราวกับจะส่งความโกรธของตัวเองไปที่คู่สนทนา และพูดต่ออย่างอ่อนโยน
“คุณคิดว่าจะเก็บเงียบไม่ยอมพูด เพราะผมไม่รู้ในสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นรู้เหรอครับ”
อีอูยอนเอื้อมมือออกไปเสยผมที่ยุ่งเหยิงของอินซอบขึ้น ผมสีดำสุขภาพดีเฉียดผ่านปลายนิ้วของอีกฝ่ายไป อินซอบปากสั่นจนฟันกระทบกัน ตอนนี้เองอินซอบถึงได้รู้ซึ้งไปทั้งร่างจึงคำพูดที่ว่าอีอูยอนเป็นคนไม่ดี
ดวงตาของอีอูยอนวาดโค้งอย่างสวยงามเหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น
“มะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ…”
“ช่วยชีวิตผมไว้ถึงสามครั้ง แล้วก็ขายผมให้กับผู้หญิงที่ไม่มีค่าอะไรเลยอย่างนั้นเหรอครับ”
“ไม่ใช่นะครับ คือผม…”
อินซอบล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับเสียงตบที่ดังขึ้น ผมของเขาถูกทึ้งก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าสิ่งที่ฟาดลงบนแก้มของเขาคือมืออันสวยงามของอีอูยอนเสียอีก
อีอูยอนนั่งยองๆ ลงตรงหน้าอินซอบ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้และเอ่ยถาม
“ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วคืออะไรล่ะครับ”
“ผม…ผม…”
“ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วมันคืออะไร มาถ่ายรูปคนอื่นแล้วเอาไปเก็บไว้เฉยๆ เหรอ คุณเป็นใครครับ ไหนลองบอกออกมาจากปากของคุณเองหน่อยสิครับว่าคุณเป็นใครกันแน่”
เขารู้สึกเหมือนผมถูกทึ้งอย่างแรง เจ็บ เขาเจ็บจนน้ำตาจะไหล แต่เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาตามใจชอบ เพราะกลัวอีอูยอนที่กำลังเค้นถามเหลือเกิน
อีอูยอนก้มลงมองอินซอบที่ตัวสั่นระริกและขยับปากพะงาบๆ ด้วยสายตาเย็นชา เขาคิดว่าถ้าตนได้ซ้อมอีกฝ่ายแรงๆ เหมือนที่ซ้อมคนชนชาติโชซอนพวกนั้นแล้วคงจะอารมณ์ดีขึ้น แต่อย่าว่าแต่จะทำแบบนั้นเลย ตอนนี้เขารู้สึกอารมณ์เสียมากกว่าตอนก่อนที่จะมาที่นี่เสียอีก อีอูยอนแผดเสียงใส่ชเวอินซอบที่ยังไม่สามารถพูดแก้ตัวอะไรได้
“ผมสั่งให้คุณพูดออกมา!”
“ผม…ผม…”
น้ำตาคลออยู่ในดวงตาของอินซอบก่อนจะไหลอาบแก้ม ทันทีที่น้ำตาโดนปาก ความเปียกชื้นนั้นก็ไหลเข้าไปในปากที่แห้งและแตก
อินซอบดิ้นไปมาเหมือนปลาที่โดนคนลากขึ้นมาทิ้งไว้บนบก เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย และนั่นก็ทำให้อีอูยอนหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีก
“ทำไมถึงไม่พูดล่ะครับ ไม่มีอะไรจะพูดเหรอ”
“…”
“ที่ผ่านมาคุณแกล้งทำตัวเป็นแฟนคลับ และแกล้งหลอกว่าชอบผมเพื่อที่จะเอารูปพวกนั้นไปขายให้พวกนักข่าวเหรอครับ”
“…คือผม…”
เขาไม่รู้เลยว่าควรจะต้องเล่าตั้งแต่ตรงไหน เราควรจะแก้ไขส่วนไหนในคำพูดของอีอูยอนดีล่ะแล้วเราจะต้องขอโทษที่ตรงไหน สมองที่หวาดกลัวของเขาไม่สามารถเรียบเรียงอะไรได้เลย
“งั้นไปหาตำรวจดีไหมครับ ถ้าเกิดคุณไม่มีอะไรจะพูด พาชเวอินซอบที่คุณยืมชื่อเขามาไปด้วย แล้วให้พูดพร้อมกัน ผมว่าน่าจะจัดการอะไรขึ้นมาได้บ้างนะครับ”
แม้น้ำเสียงจะฟังดูเป็นการเกลี่ยกล่อมที่นุ่มนวล แต่เนื้อความที่ซ่อนอยู่ข้างในกลับเป็นการข่มขู่ที่รุนแรง อินซอบกลัวจนหน้าซีด และส่ายหน้าไปมา เขาไม่อยากให้คนที่เขายืมชื่อมาต้องมาได้รับความเสียหายไปด้วยไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม
“ไม่ ไม่นะครับ ผมทำแบบนั้นคนเดียวครับ คนคนนั้น… คนคนนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย”
เมื่อเห็นชเวอินซอบปกป้องคนที่ให้ยืมชื่อสุดชีวิต อีอูยอนก็กลอกตามองบนอย่างแรงและเอ่ยถาม
“มีความสัมพันธ์อะไรกับคนคนนั้นเหรอครับ”
“เปล่าครับ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลยครับ คนคนนั้นเขาต้องการเงิน…ส่วนผม…”
‘ก็ต้องการชื่อชเวอินซอบครับ’ อินซอบตอบด้วยเสียงกลั้นสะอื้น
ชื่อชเวอินซอบเป็นชื่อจริงของเขา เขาจงใจเลือกคนที่มีชื่อเหมือนกัน เขาไปหานายหน้าที่จะช่วยประสานงานเรื่องนั้นได้ แต่กลับโดนโกง เจ้าของชื่อที่เขาได้ยืมหลังจากผ่านความยากลำบากทั้งหมดเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่กำลังดูแลแฟนสาวที่ป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หายอยู่ เขาสัญญาว่าจะใช้ชื่อเพื่อปลอมตัวเข้าไปทำงานเป็นเวลาสามเดือนด้วยเงื่อนไขที่ว่าจะไม่ทำให้เกิดปัญหาอะไร และนั่นคือเรื่องทั้งหมด อินซอบไม่อยากทำให้ชีวิตของคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยต้องมาวอดวายเพราะตัวเอง
“ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยจริงๆ ครับ ผม…ผมทำคนเดียว…”
“ทำอะไรคนเดียวครับ”
อีอูยอนถาม
ทำไม เพราะอะไรกันแน่
นี่เป็นคำถามที่โผล่ขึ้นมาในใจของเขามากที่สุดตั้งแต่ได้พบกับมนุษย์ที่ชื่อชเวอินซอบ ตอนที่ได้รู้ความจริงว่าตนไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ได้ อีอูยอนยังไม่ถามด้วยซ้ำว่าทำไม เพราะส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องที่ต่อให้เขาได้ฟังเหตุผลก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
แต่การกระทำของชเวอินซอบกลับทำให้เขาเกิดคำถามว่าทำไมในใจ ทุกครั้งที่ไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย เขาจะเกิดความสงสัยพอๆ กับที่เกิดความรำคาญ
“ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะครับ”
อีอูยอนถามขณะที่ยังคงกำเส้นผมของอินซอบไว้เหมือนกำลังตักเตือนเด็กที่ทำผิด เมื่อเห็นอินซอบหน้าซีดตัวสั่น และไม่ตอบอะไรทั้งนั้น อีอูยอนก็ถามอีกครั้ง
“ผมสงสัยว่าทำไมคุณถึงทำแบบนั้นน่ะครับ สงสัยจริงๆ”
“…”
“ถ้าคุณไม่ตอบ ผมจะเรียกคุณชเวอินซอบคนนั้นมาถามนะครับ คนเราจะให้คนที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยยืมชื่อตัวเองเฉยๆ งั้นเหรอครับ”
อีอูยอนว่าพลางลุกขึ้น อินซอบรีบจับชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้อย่างสุดชีวิตทันที
“อย่านะครับ ผมจะบอกเองครับ ผม ผม จะบอกคุณอีอูยอนทั้งหมดเลย…”
“โอเคครับ พูดมาสิ ผมจะได้พอใจ”
อีอูยอนใช้นิ้วเช็ดแก้มของอินซอบที่กำลังน้ำตาหยดแหมะๆ พลางเรียกร้องคำตอบจากอีกฝ่าย
“เพื่อนของผม…ชอบคุณ…เจนนี่ เพื่อนของผมตะ ตายแล้วครับ ผมไม่เชื่อคำพูดของเพื่อน…ฮึก เพราะผมไม่เชื่อ…ตอนที่เพื่อนตาย ผมก็ไม่ได้อยู่ด้วย…ผมได้รับจดหมายหลังจากที่เพื่อนตายครับ เธอบอกว่าเป็นเพราะคุณ คุณทำให้เพื่อนของผมเจอกับความยากลำบาก…เธอบอกว่าถ้าเธอไม่…ไม่ฆ่าตัวตายอย่างนั้น ผมก็จะไม่เชื่อเธอไปตลอด… เพราะผมน่ะ ผม… ผมทำให้เพื่อนตาย…”
อินซอบพูดสิ่งที่ดูไม่สมเหตุสมผลวกไปวนมาในขณะเดียวกันนั้นร่างกายก็สั่นเหมือนสุนัขที่ตกน้ำ
“เพราะเพื่อน คุณจะบอกว่าที่กำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นเพราะคำพูดของเพื่อนอย่างเดียวเหรอครับ”
“…”
อินซอบพยักหน้าอย่างต่อเนื่องพลางกะพริบตาอยู่หลายครั้ง น้ำตาที่เกาะอยู่ตามขนตาทำให้เขามองไม่เห็นข้างหน้า
“มาเกาหลีเพราะเพื่อนเหรอครับ”
“…ครับ”
“เพราะงั้นก็เลยรวบรวมข้อมูลของผม สะกดรอยตามผมเพื่อถ่ายรูป และทำแม้กระทั่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผม…แถมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตผมเอาไว้ด้วยเหรอครับ”
“…ครับ”
แม้ทุกอย่างจะไม่ได้เป็นเพราะเจนนี่ แต่อินซอบก็ตอบไปอย่างนั้น อีอูยอนเงียบไปครู่หนึ่งพลางจ้องมองเขาอย่างพินิจพิจารณา ในตอนนั้นเองอีกฝ่ายก็ระเบิดหัวเราะไม่หยุด
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ ให้ตาย”
“…”
“ฮ่าๆๆๆๆ แม่งเอ๊ย จะให้ผมเชื่อคำพูดพวกนั้นเหรอครับ”
ขาของอ่างล้างจานหักและล้มลงมาเสียงดังด้วยหมัดที่อีอูยอนแกว่งออกไป อินซอบหน้าซีดด้วยความกลัว เขาหายใจหอบขณะเดียวกันก็ใช้มือทั้งสองข้างกุมศีรษะเอาไว้
อีอูยอนใช้มือจับคางของอินซอบ และบังคับให้เงยหน้าขึ้นสบตา
“คุณอินซอบ ถ้ามีสมองล่ะก็ ต่อให้ต้องโกหก ก็น่าจะโกหกให้มันดีๆ หน่อยสิ”
“ผะ ผมพูดจริงนะครับ”
“ผมไม่พอใจกับคำโกหกที่เหมือนกับนิยายชั้นต่ำไร้สาระแบบนั้นหรอกนะครับ หืม? คุณบอกว่าไล่ตามผมจากอเมริกามาถึงนี่เพราะชอบผมจะยังดีซะกว่า เพราะอย่างนั้นคุณก็เลยแอบสะกดรอยตามผม รวบรวมข้อมูลของผม แล้วก็มาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมด้วย ให้ตายเถอะ คุณอินซอบบอกว่าไล่ตามผมมาจนถึงที่นี่เพราะอยากโดนไอ้นั่นของผมยัดไม่ดีกว่าเหรอครับ”
“ไม่นะครับ ไม่ใช่นะครับ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ จริงๆ แล้วผม…ทำแบบนั้น…เพราะเกลียดคุณอีอูยอน…ผมต้องเกลียด…”
แม้จะต้องเกลียด แต่เขาก็เกลียดไม่ลง เมื่อเจอจุดอ่อนของอีกฝ่ายแล้ว เขาควรจะเปิดโปงโดยไม่หันหลังกลับไปมอง แต่เขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เขาควรจะเชื่อเจนนี่…แต่เขาก็ทำอย่างนั้นไม่ได้เช่นกัน ที่เกาหลีอินซอบทำอะไรไม่สำเร็จเลยสักอย่าง และกำลังจะกลับไปที่อเมริกา
อีอูยอนลุกขึ้นก่อนจะใช้เท้าเตะเคาน์เตอร์อ่างล้างจาน แผ่นไม้หนาแตกออกด้วยการเตะเพียงไม่กี่ครั้ง อินซอบรู้สึกกลัวอีอูยอน กลัวมากเสียจนต่อให้เขาคิดที่จะห้ามอีกฝ่าย คิดที่จะหนีไป หรือคิดที่จะทำอะไรก็ตาม เขาก็ทำไม่ได้ อีอูยอนหยุดเตะแล้วหันมามองอินซอบ
นั่นไม่ใช่ทั้งสีหน้าโกรธ หรือรำคาญ แต่เป็นสีหน้าเรียบเฉยที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งนั้น สีหน้าที่ว่างเปล่าเหมือนกระดาษเปล่าให้ความรู้สึกน่าขนลุก
อีอูยอนก้มลงมองอินซอบก่อนจะกางมือออก
“ผมจะนับถึงห้านะครับ”
“…”
“ในระหว่างที่ผมนับ ช่วยบอกเหตุผลที่น่าจะทำให้ผมพอใจมาด้วยครับ ไม่อย่างนั้นทั้งไอ้คนที่ให้คุณยืมชื่อ เพื่อนที่ตายไปแล้ว หรือใครก็ช่าง ผมจะไปลากตัวมาและทำให้พวกเขาพูดเหตุผลที่คุณทำเรื่องเหี้ยๆ แบบนี้ออกมาเอง พูดให้ดีนะครับ”
“…ผม…”
“ห้า”
“เพื่อนของผมชอบฟิลลิป เพื่อนคนนั้นชื่อว่าเจนนี่ เธอมีผมสีทอง และอวบนิดหน่อย…”
“สี่”
“เราไปงานปาร์ตี้ด้วยกันเพราะได้รับบัตรเชิญ แต่พอไปถึงมันกลับไม่ใช่แบบนั้น คนอื่นๆ สาดของสกปรกใส่เจนนี่…”
“สาม”
“ผมบอกว่าเจนนี่ตายไปแล้วยังไงล่ะครับ เพื่อนของผมบอกว่าคุณ…คุณโกหกเพื่อนของผม เธอถึงตาย คุณต้องเชื่อผมนะครับ…”
“สอง”
“จริงๆ นะครับ ผมพูดจริงๆ นะ ผมไม่ได้โกหกนะครับ”
“หนึ่ง”