ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 7-6
หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในบริษัทที่ยังไม่ถึงเวลาเปิดทำการและเปิดไฟได้ไม่นาน กรรมการผู้จัดการคิมก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เมื่อเห็นกรรมการผู้จัดการคิมที่มักจะใส่ใจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่เสมอโผล่มาในสภาพสวมชุดออกกำลังกายและสวมหมวกปิดหน้า หัวหน้าทีมชาก็เข้าใจถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“อินซอบรออยู่ตรงนี้แป๊บหนึ่งนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมพูดกับอินซอบก่อนจะเดินข้ามทางเดินเข้าห้องตัวเองไป ตามด้วยหัวหน้าทีมชากับอีอูยอน
กรรมการผู้จัดการคิมหมุนตัวกลับมาทันทีที่แน่ใจแล้วว่าประตูห้องกรรมการผู้จัดการถูกปิดลงแล้ว
“อีอูยอน นายใช่ไหม”
“พูดถึงเรื่องอะไรอยู่เหรอครับ”
อีอูยอนนั่งลงบนโซฟาด้วยสีหน้าเป็นเชิงถามว่า ‘คุณหมายความว่าไง’
“ถ้าไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใครได้อีก ทำไมจู่ๆ คังยองโมถึงถูกโจมตีจากทางด้านหลังล่ะ”
“ไม่รู้สิครับ เขาอาจจะถูกโจรทำร้ายก็ได้นี่ครับ”
อีอูยอนตอบราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญ นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาปกติที่ควรจะแสดงออกมาเมื่อได้ยินว่าเพื่อนนักแสดงที่ถ่ายละครด้วยกันถูกทำร้าย และกำลังนอนอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก ต่อให้เป็นแค่คำพูดที่ไร้ความรู้สึกร่วม แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงความห่วงใยต่อคังยองโมออกมาจากปากเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“โจรจะบ้าถึงขนาดทำร้ายดาราตรงใจกลางเมืองเลยเหรอ”
“ก็อาจจะเป็นโจรที่บ้าก็ได้นะครับ”
อีอูยอนแสยะยิ้ม
“คังยองโมทำให้นายหัวร้อนหรือเปล่า”
กรรมการผู้จัดการคิมถามอย่างตรงไปตรงมา
“รุ่นพี่คังยองโมก็มีฝีมือในการทำให้คนหัวร้อนอยู่แล้วนี่ครับ”
“นั่นก็ใช่… งั้นเหรอ นายทำแบบนั้นเพราะหมอนั่นแย่งเอาศักดิ์ศรีของนายไปใช่ไหม ฉันก็บอกนายแล้วว่านายอาจจะรู้สึกไม่ชอบคังยองโมนิดหน่อย ใช่ไหม”
กรรมการผู้จัดการคิมทำเป็นเกลี้ยกล่อมอีอูยอนก่อนที่เรื่องราวจะใหญ่โตขึ้นพลางคิดในใจว่าเขาจะต้องจัดการให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
“ระหว่างที่แสดงเขามีน้ำลายกระเด็นเยอะมากเลยนะครับ แล้วก็เหมือนจะมีกลิ่นปากนิดหน่อยด้วย นิสัยก็ไม่ดี ชอบทำเหมือนตัวเองเก่งซะเหลือเกิน แถมยังห่วยแตกด้วย”
เมื่อเห็นอีอูยอนใช้นิ้วนับข้อเสียของคังยองโมให้ดูทีละนิ้วสองนิ้ว กรรมการผู้จัดการคิมก็พยายามตอบรับคำพูดของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อะ โอเค ฉันเข้าใจแล้ว เรื่องที่คังยองโมนิสัยไม่ดีฉันเองก็รู้เหมือนกัน เพราะแบบนั้นพวกนายก็เลยทะเลาะกันจนกลายเป็นแบบนี้ เพราะนายเกิดของขึ้นขึ้นมาเหรอ ว่าไง?”
“ทะเลาะอะไรล่ะครับ”
อีอูยอนเหลือบตามองไปด้านบนพลางตอบ
“มีคนบอกว่าผมทะเลาะกับรุ่นพี่คังยองโมเหรอครับ ใครกันครับ เมื่อวานบรรยากาศดีออก ถ้าต้องการคนยืนยันเรื่องนั้นล่ะก็ ผมสามารถพาทุกคนที่มารวมตัวกันเมื่อวานมาได้นะครับ”
“แล้วทำไมคังยองโมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ!”
“ช่วยเงียบลงหน่อยได้ไหมครับ เดี๋ยวใครก็มาได้ยินเข้าหรอก”
หัวหน้าทีมชาทำมือสั่งให้กรรมการผู้จัดการคิมเบาเสียงลง กรรมการผู้จัดการคิมใช้กำปั้นทุบอกก่อนจะหยิบน้ำจากตู้เย็นออกมาดื่ม
“เฮ้อ…เรามาเริ่มใหม่อีกครั้งเถอะ”
กรรมการผู้จัดการคิมเอามือเท้าโต๊ะและพยายามทำใจให้สงบ
“งั้นไม่ใช่นายเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิครับ”
“แล้วทำไมถึงไม่ใช่ล่ะ”
“กรรมการผู้จัดการครับ ผมเป็นคนของบริษัทนี้นะ ทำไมไม่เชื่อที่คนอื่นเขาพูดบ้างเลยล่ะ”
พอได้ยินอีอูยอนพูดราวกับไม่ได้รับความยุติธรรม ทั้งกรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชาก็กัดริมฝีปากแน่น ถ้าเป็นนาย นายจะเชื่อเหรอ!
“เรามาพูดอย่างตรงไปตรงมากันเถอะ ใช่นายหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ครับ”
“งั้นใครล่ะ”
“ไม่รู้สิครับ โจรมั้ง ช่วงนี้มีโจรที่จ้องจะปล้นคนเมาเยอะจะตายไป เมื่อวานรุ่นพี่เขาดื่มมากเกินไปนิดหน่อยน่ะครับ เขาไม่มีสติถึงขนาดยืนตรงๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนที่เขาบอกว่าจะกลับบ้านเอง แล้วให้ผู้จัดการส่วนตัวกลับบ้านไปก่อน ผมคงอยู่เป็นเพื่อนเขาไปแล้ว”
“นายรักและเคารพรุ่นพี่ขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่…”
“ก็ตั้งแต่เมื่อวานน่ะสิครับ”
เป็นคำตอบที่น่าขนลุกมาก กรรมการผู้จัดการคิมใช้นิ้วกดขมับพลางส่ายหน้า
“ไม่ใช่จริงๆ ใช่ไหม ถ้ามีข่าวไร้สาระหลุดออกไปแม้แต่นิดเดียว นายได้จบเห่จริงๆ แน่ ถึงการทะเลาะชกต่อยกันระหว่างผู้ชายจะสามารถปกปิดได้ แต่การฟาดคนอย่างแรงจากทางด้านหลังไม่สามารถปกปิดได้หรอกนะ ไม่ใช่นายจริงๆ ใช่ไหม”
หัวหน้าทีมชาถามซ้ำเหมือนพยายามขอคำยืนยัน
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงครับ”
“…เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว ถ้ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแม้แต่เรื่องเดียว ไม่ใช่นายคนเดียวที่จะซวยนะ ฉันก็จะตายเหมือนกัน”
กรรมการผู้จัดการคิมพูดด้วยสีหน้าซีดเผือดและเคร่งเครียด
“เป็นไปได้เหรอครับที่คนร้ายจะไม่เช็กกล้อง CCTV แล้วมาลอบทำร้ายดาราที่ดังขนาดนั้น? ถ้าไม่เช็กก่อนมาทำร้าย ผมว่าก็สมควรตายแล้วครับ”
“…”
“…”
เป็นไอ้นี่แน่ๆ คนร้ายคือไอ้นี่แหละ!
ใบหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชายับยู่ยี่เหมือนผ้าขี้ริ้วที่ถูกบิด
“งั้นก็ลองติดต่อผู้กำกับดูสิครับ ถ้ามีเรื่องอะไรต้องแจ้งผมต่อก็ช่วยติดต่อมาด้วยนะครับ”
อีอูยอนลุกขึ้น กรรมการผู้จัดการคิมไม่เหลือแรงที่จะพูดต่อจึงโบกมือสั่งให้อีกฝ่ายออกไป
เมื่อเห็นอีอูยอนออกมาจากห้องกรรมการผู้จัดการ อินซอบที่นั่งอยู่ตรงมุมออฟฟิศคนเดียวก็ดีดตัวขึ้นมา
“ปะ เป็นยังไงบ้างครับ คังยองโมเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ก็ไม่รู้สินะครับ ผมยังไม่ได้ฟังสถานการณ์อย่างละเอียดเลย”
“จะ จะไม่ตายใช่ไหมครับ”
“ไม่มีทางหรอกครับ”
อีอูยอนระมัดระวังที่จะไม่ทำให้กลายเป็นเรื่องน่ารำคาญใจ แม้จะมีความเป็นไปได้สูงมากที่เรื่องเมื่อวานจะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญใจ แต่พอได้จัดการคังยองโมแล้ว เขาก็รู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก และอารมณ์ก็ดีขึ้นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นคือ
“ถ้าบาดเจ็บมากจะทำยังไงล่ะครับ”
พออีอูยอนเห็นขอบตาเขียวๆ ม่วงๆ ของชเวอินซอบที่ทำหน้าเหยเกและกระวนกระวาย เขาก็เอื้อมมือออกไปเชยคางอีกฝ่าย
“ได้ทายาหรือยังครับ”
“ครับ?”
“มันเป็นรอยช้ำแล้วนะครับ”
อินซอบกะพริบตาด้วยสีหน้าหวาดหวั่นทันทีที่โดนมือของเขาแตะ อีอูยอนตกอยู่ในห้วงคำนึงครู่หนึ่งว่าความรู้สึกตอนที่ได้แกล้งลูกสัตว์คือความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า พอใช้นิ้วกดตรงแผลบริเวณปากของอีกฝ่ายโดยที่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อินซอบก็ร้องโอ๊ยขึ้นมาพร้อมกับนิ่วหน้า
“ดูเหมือนคุณจะยังไม่ได้ทายานะครับ ถ้าเป็นแผลเป็นจะทำยังไงล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ…”
“แต่ผมเป็นครับ”
“…”
พอพูดอย่างนั้นออกไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองจะไม่โอเคขึ้นมาจริงๆ ถ้าจะให้พูดโดยตัดความรู้สึกสับสนวุ่นวายทั้งหมดออกแล้วล่ะก็ อีอูยอนไม่ชอบให้มีแผลเกิดขึ้นบนใบหน้าของอินซอบ แต่ก็ใช่ว่าเขารู้สึกเสียดายที่หน้าสวยๆ นั่นมีแผล แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่ารูปลักษณ์ภายนอกของอินซอบดูดี เพราะเขาได้เห็นคนที่มีใบหน้าสวยๆ มาเยอะแล้วในวงการบันเทิง
รอยกระกับจมูกกลมๆ และดวงตาที่โตเกินไปเมื่อเทียบกับใบหน้าเล็กๆ นั้นแสดงความกังวลออกมา นี่ไม่ใช่ใบหน้าที่สวยงามในเชิงรูปธรรมด้วยซ้ำ แต่เขากลับรู้สึกอารมณ์เสียตอนที่เห็นว่ามีรอยแผลเกิดขึ้นบนนั้น
“มียาอยู่ในตู้เก็บของตรงนั้นนะครับ”
“ครับ ผมทราบแล้วครับ แต่ว่า…”
อินซอบที่ลังเลอยู่สักพักเอ่ยพูดอย่างยากลำบาก
“คุณคังยองโมเขา…จะไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหมครับ”
อีอูยอนพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
“คุณชอบรุ่นพี่คังยองโมเหรอครับ”
“ครับ?”
“คุณไม่ชอบคนคนนั้นไม่ใช่เหรอ”
อินซอบมึนงงกับคำถามที่ถูกส่งมาอย่างกะทันหันครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างตะกุกตะกัก
“ก็ ก็ไม่ใช่ว่าชอบหรอกครับ แต่ ผมก็ ไม่ได้เกลียดขนาดนั้นด้วย…”
สถานการณ์ที่ต้องแสดงความคิดเห็นว่าเกลียดหรือชอบคนที่บาดเจ็บจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อสร้างความอึดอัดใจให้กับอินซอบ แต่ถ้าจะให้พูดถึงความรู้สึกเกี่ยวกับคังยองโมล่ะก็ แน่นอนว่าต้องค่อนไปทางเกลียดอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายตายหรือพิการตรงไหน
“ถ้าใครมาเห็นคงนึกว่าคุณเป็นแฟนคลับของรุ่นพี่คังยองโมนะครับ คุณดูเป็นห่วงเขามากเลย”
“เรื่องนั้นมัน…”
“…?”
อีอูยอนรอคำพูดถัดไปของอินซอบด้วยสีหน้าสุขุม
“ก็แค่…เป็นคนที่รู้จักหน้าค่าตากันเฉยๆ น่ะครับ”
พอคิดว่าที่อาการของคังยองโมแย่ลงไปอีกเป็นเพราะตนเองแจ้งช้า อินซอบก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา ความคิดที่ว่าการแก้แค้นของตนทำให้คนอื่นไม่ปลอดภัยรบกวนเขาอยู่ตลอดระยะเวลาที่มาที่นี่
“คุณอินซอบ…”
พออีอูยอนเห็นว่าอินซอบน้ำตาไหลอย่างเศร้าหมอง เขาก็ยิ้มจนตาหยี หัวใจของอินซอบสั่นสะท้านด้วยความกังวล เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไร
“อินซอบ! อินซอบ!”
กรรมการผู้จัดการคิมเปิดประตูห้องกรรมการผู้จัดการออกมาพร้อมเรียกชื่อเขา
“ครับ! กรรมการผู้จัด”
“เดี๋ยวต้องอยู่รับโทรศัพท์ที่นี่ก่อน…ทำไมหน้านายเป็นแบบนั้นล่ะ”
เมื่อกรรมการผู้จัดการคิมเห็นหน้าของชเวอินซอบก็เอ่ยถามด้วยความตกใจ เนื่องจากเมื่อสักครู่นี้เขาไม่มีเวลาจึงไม่ทันได้สังเกตอินซอบ
“ผมล้มครับ”
“เป็นแผลขนาดนั้นเพราะล้มเหรอ มันเหมือนโดนใครต่อยมามากกว่าหรือเปล่า”
จากนั้นกรรมการผู้จัดการคิมก็เหลือบมองอีอูยอน เพราะหมอนั่นเป็นคนประเภทที่จะชกหน้าคนอื่นโดยแกล้งทำเป็นอุบัติเหตุเมื่อไม่พอใจอยู่แล้ว
ทันทีที่สบตากัน อีอูยอนก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดวูบหนึ่ง นั่นหมายถึงการปฏิเสธอย่างสุภาพว่าเป็นการเข้าใจผิดที่ไร้สาระ
“เขาไม่ยอมทายาด้วยครับ”
“ต้องทายาสิ จะเป็นแผลเป็นที่หน้าได้นะ”
“เพราะแบบนั้นแหละครับ ผมถึงได้เป็นห่วง”
กรรมการผู้จัดการคิมจ้องอีอูยอนราวกับได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยิน อีอูยอนยิ้มพลางถามว่า ‘ทำไมเหรอครับ’
“เป็นห่วง…?”
“ก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้วสิครับ เขาเป็นผู้มีพระคุณในชีวิตผมเลยนะ คุณอินซอบน่ะ เขาช่วยชีวิตผมไว้ถึงสามครั้งเชียวนะครับ”
“มะ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”
อินซอบโบกมือทั้งสองข้างไปมาพลางปฏิเสธอย่างแข็งขัน เขาไม่สามารถบรรยายความหนักใจที่รู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้เลยทุกครั้งที่คำว่า ‘ผู้มีพระคุณในชีวิต’ หลุดออกมาจากปากของอีอูยอน อีกเดี๋ยวเขาก็ต้องไปจากเกาหลี และเปิดโปงจุดอ่อนของอีอูยอนอยู่แล้ว ยังจะมาเรียกเขาว่าผู้มีพระคุณในชีวิตเนี่ยนะ
“ก็ต้องเป็นผู้มีพระคุณในชีวิตอยู่แล้วสิครับ ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าคุณเป็นผู้หญิง ผมจะแต่งงานด้วยเลยนะครับ ใช่ไหมครับ กรรมการผู้จัดการ”
กรรมการผู้จัดการคิมมองอีอูยอนด้วยสีหน้าตะขิดตะขวงใจ แต่เขาก็ไม่กล้าพูดว่า ‘ขอบคุณพระเจ้าที่นายเป็นผู้ชาย’ ต่อหน้าอินซอบ
“นะ นั่นสินะ ยังไงก็ตามเดี๋ยวนายช่วยอยู่รับโทรศัพท์ที่นี่หน่อยนะ เพราะเดี๋ยวเลยช่วงเช้าไปข่าวก็น่าจะออกแล้ว ถ้าพวกนักข่าวโทรมา นายก็ช่วยตอบไปตามสมควรแบบนี้ที”
อินซอบหยิบสมุดโน้ตออกมา และสอดปากกาไว้ระหว่างนิ้วที่บาดเจ็บ เขาเขียนเรื่องที่ตัวเองจะต้องทำลงไปอย่างใจเย็น
“อินซอบ นายเองก็ควรจะกังวลนะ เพราะมันน่าจะวุ่นวายไปสักพักเลย เวลาแบบนี้ถ้าเผลอพูดอะไรออกไปโดยไม่จำเป็นละก็…เอาเถอะ ยังไงก็สร้างภาพได้ดีอย่างกับผีอยู่แล้วนี่”
กรรมการผู้จัดการคิมพึมพำอย่างขมขื่นก่อนจะยื่นกระดาษนั่นนี่ให้อินซอบ อีอูยอนมองภาพด้านข้างของชเวอินซอบที่กำลังรับของพวกนั้นมา จากนั้นเขาก็ร้อง ‘อ๋อ’ พร้อมกับปรบมือเข้าหากันเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“ไม่ต้องเก็บปากกานะครับ ยังไงคุณก็ต้องเซ็นชื่ออยู่แล้ว”
“เซ็นชื่อเหรอครับ”
“ก็เซ็นชื่อในเอกสารสัญญาไงครับ คุณได้ลองคิดดูหรือยังครับ”
“ครับ? อ๋อ…!”
อินซอบมัวแต่ตะลึงจนเผลอปล่อยกองเอกสารที่กำลังถืออยู่ ขณะที่เก็บเอกสารที่กระจายอยู่ทั่วพื้น เขาพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะไม่สบตากับอีอูยอน อีอูยอนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ตกอยู่ตรงปลายเท้าของตนยื่นให้อินซอบ
“ยังคิดอยู่อีกเหรอครับ”
“…ครับ”
“มีอะไรที่จำเป็นต้องคิดให้รอบคอบเหรอครับ หรือว่าคุณไม่พอใจกับสัญญา งั้นเราเพิ่มรายได้ต่อปีให้เขาอีกหน่อยเถอะครับ”
“ว่าไงนะ”
คราวนี้เป็นกรรมการผู้จัดการคิมที่ตะโกนด้วยความตกใจ เงื่อนไขในสัญญา 3 ปีที่เขียนขึ้นตามความต้องการของอีอูยอนดีพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นข้อยกเว้น แม้กระทั่งหัวหน้าทีมชาเองยังถึงขั้นเดาะลิ้นพลางพูดว่า ‘อย่าให้ใครเห็นน่าจะดีกว่า’ หลังจากที่เห็นรายได้ต่อปีที่ถูกเขียนไว้ในนั้น
อีอูยอนเริ่มการโฆษณาแฝงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทันทีที่ความตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกรรมการผู้จัดการคิม
“กรรมการผู้จัดการครับ ถ้าเราสามารถเก็บคนดีๆ เอาไว้ข้างตัวได้ เรื่องเงินจะเป็นปัญหาเหรอครับ”
แถมยังเป็นคนที่โดนต่อยอีกต่างหาก
อีอูยอนเก็บคำพูดที่อยู่ในใจเอาไว้และยิ้มน้อยๆ
ถึงคังยองโมจะเกะกะขวางหูขวางตาเขาอยู่แล้ว แต่การที่อีกฝ่ายแกล้งอินซอบบ่อยๆ ก็ยิ่งทำให้อีอูยอนอารมณ์ไม่ดี ในระหว่างที่คังยองโมไปเข้าห้องน้ำ พวกสตาฟที่เมาแล้วก็คุยนั่นคุยนี่กันในวงเหล้า พวกเขาสั่งให้ดูแลผู้จัดการส่วนตัวให้ดี เนื่องจากคังยองโมมักจะแกล้งผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงคนอื่น จึงมักจะมีผู้จัดการส่วนตัวจำนวนหนึ่งลาออกหลังจากที่ถ่ายละครกับคังยองโมเสมอ
อีอูยอนยิ้มพลางตอบรับไปตามสมควรว่า ‘อย่างนั้นเหรอครับ’ แต่ตอนนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะต้องกำจัดคังยองโมให้ได้
“ถ้ามีรายได้ต่อปีที่คาดหวังก็บอกมาได้นะครับ ผมจะปรึกษากับกรรมการผู้จัดการแล้วขึ้นให้”
“ไม่ใช่หรอกครับ เงินเดือนตอนนี้ก็มากพอแล้ว”
มากจนเกินไปด้วยซ้ำ อินซอบทั้งรู้สึกซาบซึ้งใจและรู้สึกผิดกับทุกอย่างที่ตนได้รับจากที่นี่ กรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชาใจดีกับอินซอบที่ต้องดูแลอีอูยอนมากกว่าผู้จัดการส่วนตัวคนอื่นเป็นพิเศษ แต่เขาอาจจะต้องจากไปโดยไม่สามารถตอบแทนความปรารถนาดีนั้นได้อย่างเหมาะสม…
“งั้นจะเซ็นเมื่อไหร่ล่ะครับ”
ดูเหมือนในหัวของอีอูยอนจะไม่มีความคิดว่าอินซอบจะปฏิเสธอยู่เลย อินซอบตอบอ้อมแอ้มไปว่า ‘ไม่รู้สิครับ’ ก่อนจะขอตัวออกไป
กรรมการผู้จัดการคิมมองอีอูยอน เขาเดาะลิ้นก่อนจะเอ่ยแซว
“อีอูยอนโดนทิ้งเหรอเนี่ย ดูเหมือนชเวอินซอบจะไม่เซ็นหรือเปล่านะ”
“ไม่มีทางหรอกครับ”
“ถ้าจะเซ็น เขาก็น่าจะเซ็นตั้งแต่วันที่ได้รับเอกสารสัญญาแล้วสิ หรือไม่ใช่?”
นั่นเป็นคำพูดที่เป็นการล้อเล่นอยู่ครึ่งหนึ่ง เขาจึงคิดว่าอีอูยอนคงจะยิ้มหวานและปล่อยผ่านไปเหมือนอย่างเคย ทว่ากลับไม่มีคำตอบส่งกลับมาจากอีอูยอนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเลย
กรรมการผู้จัดการคิมรู้สึกว่าบรรยากาศแปลกๆ จึงเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของอีอูยอน แล้วเขาก็ต้องสูดลมหายใจดัง เฮือก อีอูยอนยืนนิ่งโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรเลย ไม่ว่าจะยิ้มแย้มหรือโมโห แม้ข้างในจิตใจของอีอูยอนจะเน่าเฟะ แต่ก็ยังแสดงสีหน้าต่างๆ ออกมาให้เห็นภายนอก เขาจึงสามารถเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายได้อย่างเปิดเผย แต่สีหน้าแบบนั้น…
เขารู้สึกขนลุก มันเป็นความรู้สึกราวกับว่าอีอูยอนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอนนี้กำลังรอเวลาที่จะได้หลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์