ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 5-7
“อินซอบ”
อินซอบที่กำลังกินข้าวอยู่เงยหน้าขึ้นเพราะน้ำเสียงที่ร่าเริงนั้น อีอึนยองโบกมือพลางเดินเข้ามาหา
“ทำอะไรอยู่เหรอคะ กินข้าวอยู่เหรอ”
“ครับ”
“ข้าวกล่องเหรอคะ ว้าว ไปซื้อของแบบนี้มาตอนไหนกันคะ”
“นี่เป็นของที่แฟนคลับส่งมาให้ครับ”
“อ๋อ ส่วยนี่เอง ว่าแต่น่าจะได้ของแบบนี้มาเยอะเลยสินะคะ เพราะคุณอีอูยอนมีแฟนคลับเยอะ”
“ส่วยเหรอครับ”
อินซอบเอียงคอด้วยความสงสัยทั้งๆ ที่ยังคาบตะเกียบไว้ในปาก
“ส่วยไงคะ คุณไม่รู้จักคำว่าส่วยเหรอคะ มันคือการที่แฟนคลับซื้อข้าวกล่องหรือของขวัญมามอบให้กับดาราที่ชอบน่ะค่ะ ถ้าช่วงนี้มีถ่ายละครหรือถ่ายภาพยนตร์ พวกเขาก็จะเอามาให้ที่กองถ่ายแบบนี้แหละค่ะ แถมเขายังเอามาเผื่อพวกสตาฟด้วย ของแบบนั้นเราเรียกว่าส่วยของดาราค่ะ คุณอูยอนก็น่าจะมีของแบบนี้ส่งมาให้เยอะไม่ใช่เหรอคะ”
“ครับ ได้มาเยอะมากเลยครับ”
แม้จะเป็นอีอูยอนที่มีข่าวลือว่าไม่รับของขวัญจากแฟนคลับ แต่เขากลับไม่สนใจข้าวกล่องที่ถูกส่งมาให้ในตอนถ่ายละครแบบนี้ เพราะมันเป็นของที่เขาส่งต่อให้สตาฟหรือคนรอบตัวได้ และแน่นอนว่าเจ้าตัวไม่แตะมันเลยด้วยซ้ำ
“ดีจัง เพราะจะได้กินของอร่อยๆ แบบนี้บ่อยๆ”
“กินไหมครับ”
อินซอบยื่นกล่องข้าวที่ยังพอมีเหลือให้เธอ
“จริงเหรอคะ ฉันกินได้จริงๆ เหรอคะ”
“ครับ มันมีเหลืออยู่สองสามกล่อง ดีเสียอีก เพราะปกติมันเหลือทิ้งอยู่แล้ว”
“งั้นฉันจะกินอย่างไม่เกรงใจแล้วนะคะ เพราะอาหารของรถข้าวน่ะน่าเบื่อนิดหน่อย”
เธอแสดงสีหน้ายินดีพร้อมกับรับข้าวกล่องไปถือไว้ อินซอบแยกตะเกียบไม้ออกจากกันและยื่นให้เธอ
“แต้งกิ้ว ว้าว น่าอร่อยจัง นี่มันข้าวฟรีเลยนะ ข้าวฟรี”
ทันทีที่เห็นว่าเธอชอบ อินซอบก็พลอยยิ้มไปด้วย เขาชอบมองท่าทางของใครก็ตามกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว เขาหยุดกินและเท้าคางมองอีอึนยองที่กำลังกินข้าวกล่องอยู่
“มีอะไรคะ เพิ่งเคยเห็นผู้หญิงอ้วนกินข้าวเป็นครั้งแรกเหรอ ฉันกินมูมมามไปเหรอ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ผมมองเพราะผมรู้สึกดีที่ได้เห็นคุณกินอย่างเอร็ดอร่อยน่ะครับ”
“ล้อเล่นค่ะ แหะๆๆ ฉันกินเก่งใช่ไหมล่ะคะ แม่ฉันบอกว่าแค่มองฉันกินอย่างเดียวก็แน่นกระเพาะแล้ว”
“ผมชอบมองครับ”
ชเวอินซอบยิ้มพลางเอ่ยพูด
“ดูๆ ไปแล้วรสนิยมของคุณอินซอบเนี่ยพิเศษมากเลยนะคะ คราวก่อนก็มองฉันแล้วชมว่าสวยด้วย”
“ยังไงเหรอครับ ผมแค่รู้สึกดีเวลาที่เห็นคนกินข้าวเก่ง แล้วคุณอีอึนยองก็สวยจริงๆ”
อีอึนยองเหม่อมองชเวอินซอบ เธอไม่รู้สึกถึงความเสแสร้งหรือการโกหกบนใบหน้าของอินซอบที่พูดแบบนั้นเลยสักนิด
“ว้าว ยังมีผู้ชายแบบนี้เหลืออยู่ในประเทศเกาหลีจริงๆ สินะ”
เธอมองอินซอบพร้อมกับอุทานอย่างจริงใจ
“ผมทำไมเหรอครับ”
“เหมือนคุณเติบโตมาด้วยการได้รับความรักจากพ่อแม่มาเยอะจริงๆ น่ะค่ะ ใช่ไหมคะ”
“มันก็ใช่ครับ แต่ว่า…ผมแปลกเหรอครับ”
“ไม่นะคะ! แต่ก็แปลกจริงๆ แหละค่ะ ถ้าผู้ชายชาวเกาหลีคิดแบบนี้เหมือนกันหมดคงจะดีนะคะ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็น่าจะไม่ต้องลดความอ้วนก็ได้”
หญิงสาวกินข้าวกล่องพร้อมกับพูดเสียงอู้อี้
“รู้ไหมคะ ในประเทศของเราเนี่ย 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงคิดว่าตัวเองอ้วน และ 70 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ชายคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว”
“ฮ่าๆๆ งั้นผมก็อยู่ใน 30 เปอร์เซ็นต์สินะครับ”
“ทำไมล่ะคะ หุ่นอย่างคุณอินซอบก็โอเคแล้วนะคะ”
“ผมน่ะเหรอครับ ไม่มีทางน่า”
เขามีร่างกายที่ผอมแห้ง กระบนใบหน้าที่ขาวซีด และดวงตาที่กลมโตเหมือนกับลูกสุนัขที่หวาดกลัว อินซอบคิดว่าไม่ว่าจะมองตรงไหนรูปลักษณ์ภายนอกของตนก็ไม่มีส่วนประกอบใดที่น่าจะมีเสน่ห์ดึงดูดพวกผู้หญิงได้เลย
“ไม่นะ ฉันพูดจริงนะคะ อย่างคุณอินซอบน่ะโอเคแล้ว คุณยังไม่มีแฟนอีกเหรอคะ ให้ฉันแนะนำเด็กสวยๆ ในบรรดาน้องๆ ที่รู้จักให้เอาไหม”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร”
อินซอบทำหน้าขรึมพร้อมกับโบกมือปฏิเสธ
“ทำไมล่ะคะ เธอสวยจริงๆ นะ ไม่เหมือนฉันหรอก เพราะในบรรดาน้องๆ ที่ไปเรียนที่สถาบันสอนการแสดงด้วยกันน่ะ มีคนที่ทั้งสวยทั้งผอมอยู่เยอะเลยค่ะ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่เหตุผลแบบนั้นหรอกครับ ผมน่ะ…ตอนนี้ยังไม่มีเหตุผลให้ต้องคบใคร”
แค่ต้องดูแลอีอูยอนและตามอีกฝ่ายไปไหนมาไหนเวลาของเขาก็ไม่พออยู่แล้ว เขายุ่งในทุกๆ วันจนเขาต้องสวดภาวนาว่าถ้าหนึ่งวันมีสามสิบหกชั่วโมงได้ก็คงจะดี
และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือถ้างานของเขาเสร็จแล้ว เขาจะต้องกลับไปที่อเมริกา เขาจึงไม่คิดที่จะมีคนรักที่เกาหลีตั้งแต่แรก
“เอ๋ น่าเสียดายนะคะ แต่ถ้าเปลี่ยนใจก็บอกได้นะ เพราะฉันจะแนะนำเด็กที่ใจดีที่สุดให้เลย”
“ครับ ขอบคุณครับ”
เกิดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของอีอึนยอง เพราะท่าทางของอินซอบที่ตอบกลับอย่างมีมารยาท หญิงสาวที่เคยล้มลุกคลุกคลานอยู่ในแวดวงนี้มามากรู้ดีว่าจะเจอกับพวกผู้จัดการส่วนตัวของดาราดังๆ แบบไหนบ้าง มีทั้งคนที่คิดไปเองว่าตนเองเป็นดาราที่อยู่ในความดูแลเสียเอง และคนที่แม้จะประจบประแจงพวกโปรดิวเซอร์กับผู้กำกับ แต่ทำตัวแข็งกระด้างกับพวกนักแสดงตัวประกอบก็มีเยอะเหมือนกัน เป็นเรื่องยากมากที่จะเจอคนที่นิสัยดีและมีมารยาทอย่างชเวอินซอบได้ง่ายๆ ในแวดวงนี้
“ว่าแต่ทำไมถึงไม่กินข้าวกับคุณอีอูยอนล่ะคะ คุณอีอูยอนไปไหนเสียล่ะ”
อินซอบกระแอมพรางเอากำปั้นทุบอกในขณะที่หน้าแดงขึ้นเหมือนกับสำลัก
“ดื่มน้ำนี่นะคะ”
อินซอบดื่มน้ำที่เธอรินใส่แก้วกระดาษให้รวดเดียว อินซอบที่สำลักอย่างนั้นอยู่สักพักตอบกลับมาเสียงเบาว่า ‘ไม่รู้เหมือนกันครับ’
“ถ้าผู้จัดการส่วนตัวไม่รู้จะทำยังไงล่ะคะ”
“…นั่นสิครับ”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่าครับ! ไม่มีเรื่องอะไรเลยครับ!”
จากท่าทางที่ปฏิเสธอย่างสุดความสามารถด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นทุกครั้งที่สำลักนั้น อีอึนยองเดาได้เลยว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“อย่างนั้นเหรอคะ ไม่มีเรื่องอะไรสินะคะ”
อีอึนยองคิดว่าเธอจะแกล้งทำเป็นไม่รู้และปล่อยมันผ่านไป แต่อินซอบที่นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้กลับเอาหน้าผากซบลงบนหัวเข่าพร้อมกับจมดิ่งสู่ความอับอายขายหน้า
***
“อื้อ…”
เขาถอนหายใจอย่างรู้สึกดีกับสัมผัสของขนนุ่มๆ วิลจะกระโดดขึ้นเตียงของเขาและปลุกเขาแบบนี้ทุกเช้า อินซอบเอื้อมมือออกไปดึงไออุ่นนุ่มๆ มากอด กลิ่นน้ำยาอาบน้ำที่ทำให้รู้สึกดีจากวิล…น้ำยาอาบน้ำเหรอ
“…!”
ตอนที่ชเวอินซอบลืมตาขึ้นมา เขาสำรวจว่าอีกฝ่ายที่ตนดึงมากอดไม่ใช่วิลที่มีขนสีขาว แต่เป็นสีดำ และเขาก็ส่งเสียงร้องว่า ‘ว้ากกก’ ออกมา เขาคิดว่าตัวเองต้องหนีจึงตะเกียกตะกายจนกลิ้งตกเตียงไปทั้งอย่างนั้น ผ้าห่มที่ตกลงมาพร้อมกันปิดกั้นการมองเห็นของอินซอบไว้
อินซอบตะเกียกตะกายและใช้มือปัดผ้าห่มออกไปอย่างสุดชีวิต สิ่งที่โผล่มาในสายตาของเขาคือชายหนุ่มที่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า
“…ทำอะไรครับ”
อีกฝ่ายถามอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงแห้งพร่า
อินซอบแยกไม่ออกแล้วว่าสถานการณ์ตรงหน้าเป็นฝันหรือเรื่องจริง เขาใช้มือควานหาแก้มของตัวเอง ความเจ็บแสบที่รู้สึกทันทีที่เขาฟาดมือลงไปทำให้เขารู้ว่าที่นี่ตอนนี้เป็นความจริง
ผู้ชายที่แม้แจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะเพิ่งตื่นนอนก็ยังดูดีนั้นกะพริบตาสองสามครั้งและถามเขาอีกครั้ง
“ทำอะไรแต่เช้าครับ ทำแบบนั้นเพื่อจะให้ผมหัวเราะเหรอ”
“เอ่อ…คือ…”
เขาคิดออก แต่คำพูดนั้นกลับไม่ยอมออกจากปาก
“เมื่อวานคุณหลับไปบนโซฟาน่ะครับ ทั้งที่เลือดกำเดายังไหลอยู่เลย”
“…”
แม้การเผลอหลับที่โซฟาจะเป็นเรื่องน่าอับอายอยู่แล้ว แต่ทันทีที่อีกฝ่ายเพิ่มเงื่อนไขที่ว่าเลือดกำเดายังไหลอยู่เข้าไปอีก อินซอบก็อยากจะสลายหายไปกลางอากาศเสียอย่างนั้น
เขาจำได้ว่าเขากำลังคิดว่าเขาเป็นทุกข์และเหงาจนเหมือนจะตาย แต่…นี่เราหลับไปทั้งๆ แบบนั้นเลยเหรอ ไม่ใช่คนแล้ว
“ตะ แต่ทำไมผมถึงมาอยู่บนเตียง…”
“ก็ไม่รู้สิครับ พอผมออกจากห้องน้ำมา คุณก็เข้ามาที่นี่แล้ว คุณน่าจะเดินเข้ามาเองนะครับ เพราะผมไม่ได้ย้ายคุณมาที่นี่”
อีอูยอนหาวยาวๆ ด้วยใบหน้าที่เพิ่งตื่นนอน ร่างกายเปลือยเปล่าของเขาปรากฏให้เห็นทุกครั้งที่ขยับตัว
ตอนนั้นเองเขาก็นึกถึงเสียงของกรรมการผู้จัดการคิมที่เคยด่าอีอูยอนว่าเป็นผู้ชายที่ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็จะไม่เว้นการออกกำลังกาย และยังเข้มงวดในการปรับเปลี่ยนเมนูอาหารให้เหมาะสมอีกด้วย
ถ้าไม่ใช่คนตาบอด ใครๆ ก็รู้ได้ในทันทีว่าอีอูยอนหุ่นดี นั่นเป็นความจริงที่อินซอบรับรู้อยู่แล้ว เขารู้ขนาดของทุกสัดส่วนบนร่างกายของอีอูยอน เพราะเขาจะต้องไปยืมชุดให้อีกฝ่าย
อินซอบรู้สึกเหมือนจะตาย
คราวที่แล้วเกือบเปลือย คราวนี้เปลือยเลย…ข้ามแม่น้ำไปเจอภูเขา ไม่สิ จะต้องบอกว่าหนีเสือไปเจองู…ไม่ ไม่ มีสำนวนคล้ายๆ เสือกับงูอยู่ไหมนะ ต้องใช้สำนวนอะไรถึงจะเหมาะกับสถานการณ์แบบนี้ดี…แต่ตอนนี้สำนวนจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ อีอูยอนกำลังนอนเปลือยอยู่ตรงหน้าเลยนะ!
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ดูเหมือนเลือดกำเดาจะหยุดไหลไปแล้วนะ”
“ครับ? อ๋อ…ครับ”
อินซอบใช้มือคลำจมูกและดึงทิชชู่ที่เปื้อนเลือดแห้งๆ ออกมา อีอูยอนเห็นท่าทางนั้นก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับฝังใบหน้าลงกับหมอน
หน้าของชเวอินซอบร้อนวูบวาบ
ถ้าจะให้เป็นไปตามแผนของตนเอง เขาจะต้องใช้ชีวิตเหมือนอยู่แต่ไม่อยู่ข้างๆ อีอูยอน เขาจะถูกเลิกจ้างอย่างง่ายดายและต้องหายกลับไปที่อเมริกาอย่างเงียบๆ หลังจากที่คุ้ยเขี่ยตัวตนที่แท้จริงอันซับซ้อนของอีกฝ่ายได้แล้ว การที่ต้องมาเกี่ยวข้องกับอีอูยอนบ่อยๆ แบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสำหรับสถานะของอินซอบเลยแม้แต่น้อย เรากลายเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่นอนหลับบนโซฟาทั้งที่เลือดกำเดาไหลในความทรงจำของอีอูยอนไปแล้วสินะ…ไม่สิ ก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการณ์ที่ทะเลสาบ เหตุการณ์กับพวกคนโรคจิตที่ห้องน้ำ แถมยังโดนจับได้ว่าร้องไห้งอแงบนดาดฟ้าอีก และตอนนี้เราก็กำลังมองร่างกายเปลือยเปล่าของอีอูยอนอยู่ข้างล่างเตียง
สิ้นหวังแล้ว สิ้นหวังสุดๆ ไปเลย
เขาไม่อาจไม่ยอมรับได้เลยว่าเขาได้พลาดทิ้งร่องรอยอันคลุมเครือของผู้จัดการส่วนตัวไว้ในความทรงจำของอีอูยอนแล้ว
“ตอนนี้กี่โมงแล้วครับ”
อินซอบหันหน้ามองหานาฬิกาเพราะคำถามของอีอูยอน
“ยังไม่ตีสี่เลยครับ”
“งั้นนอนต่ออีกหน่อยก็ได้ครับ ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้ว”
เขาได้ยินเสียงอีอูยอนนอนลงบนเตียงอีกครั้ง อินซอบที่อยู่บนพื้นรู้สึกกระอักกระอ่วนและลูบผ้าห่มไปมา
“ไม่ขึ้นมาเหรอครับ”
“ครับ? ไม่ครับ ผมจะกลับไปนอนที่โซฟา…อัก!”
มือใหญ่ที่ยื่นออกมาในความมือคว้าแขนของอินซอบไว้ อินซอบเกลียดที่ตัวเองคิดว่ามือของอีอูยอนใหญ่มากในระหว่างที่หงายไปด้านหลัง
“นอนเถอะครับ อีกเดี๋ยวก็ต้องตื่นอยู่แล้ว”
“ไม่ครับ ผมจะกลับไปนอนที่โซฟา…”
อีอูยอนดึงผ้าห่มบนเตียงมาคลุมตัวอินซอบไว้ จากนั้นเขาก็ดึงปลายปลายทั้งสองด้านของผ้าห่มไว้และพลิกตัวไปอีกฝั่ง ชเวอินซอบถูกขังอยู่ในผ้าห่มโดยที่ไม่สามารถขยับตัวได้ เขาได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของอีอูยอนที่นอนอยู่ข้างๆ พร้อมกับรอให้เสียงนาฬิกาปลุกดังทั้งๆ ที่ยังลืมตาอยู่แบบนั้น
***
“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ ไม่มีเลย”
ทันทีที่อินซอบพูดเน้นอีกครั้ง อึนยองก็พยักหน้า
มันเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรเลย แต่เขาไม่สามารถลบภาพที่เห็นในห้องนอนของอีอูยอนออกไปจากหัวได้ง่ายๆ แม้เขาจะใช้น้ำเย็นล้างหน้าและลองหยิกต้นขาของตัวเองทุกครั้งที่นึกถึงภาพของอีอูยอน แต่มันก็เปล่าประโยชน์ แม้เขาจะหลับตา แต่ภาพที่อีอูยอนกำลังนอนอยู่บนเตียงก็โผล่มาเหมือนกับภาพที่ติดอยู่บนจอตาอยู่ดี
เขาไม่สามารถลืมใบหน้าของอีกฝ่ายที่นอนอยู่บนเตียงและมองเขาด้วยสายตาที่เพิ่งตื่นนอนได้เลย อินซอบอึดอัดใจ มันคล้ายกับความรู้สึกผิดบาปที่รู้สึกเวลาไล่ลบหน้าต่างป๊อปอัปที่เด้งขึ้นมาทีละอันตอนที่ลองเข้าเว็บโป๊ครั้งหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ดูคลิปโป๊เลยสักคลิป และออกมาหลังจากที่ลบหน้าต่างป๊อปอัปเสร็จแล้ว…