ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 1 ตอนที่ 3-2
“…!”
“ฝันเหรอครับ”
“…”
“ดูเหมือนจะฝันร้ายนะ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ถ้าอินซอบอาการไม่ค่อย เราเลี้ยวรถกลับเลยดีไหม”
“อย่าพูดอะไรไม่เข้าท่าไปหน่อยเลยครับ อีกไม่ถึงสามสิบนาทีเราก็จะถึงบ้านพักตากอากาศกันแล้วนะ”
เสียงของกรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาที่ได้ยินอย่างต่อเนื่องทำให้ชเวอินซอบรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน
ชเวอินซอบ ชายเกาหลีอายุ 24 ปีที่โกหกว่าตนอายุ 26 เป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอน และตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางไปเที่ยวที่ไหนสักที่ในคังวอนโด
ทุกอย่างคือความฝัน
เขากะพริบตาอยู่สองสามครั้ง แล้วน้ำตาที่ติดอยู่บริเวณดวงตาก็ไหลลงมา เขารีบใช้ฝ่ามือเช็ดน้ำตาออกเพราะกลัวว่าใครจะมาเห็นและมองอีอูยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ
อีอูยอนที่อ่านบทอยู่หันหน้ามาถามเขาว่า ‘ยังรู้สึกไม่ดีอยู่อีกเหรอครับ’ ตอนที่ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนนั้น เขารู้สึกเหมือนเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนจะขึ้นรถเป็นเรื่องโกหก
ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่อินซอบก็สัมผัสได้ถึงด้านที่เย็นชาของอีอูยอน เขาไม่ได้รู้สึกไปเอง อีกฝ่ายเผชิญหน้ากับเขาด้วยท่าทีป่าเถื่อนเหมือนเป็นคนอื่นทั้งตอนที่อยู่ในห้องน้ำและตอนที่ออกมาด้านนอกแล้ว
“ดื่มน้ำสักหน่อยนะครับ”
อีอูยอนยื่นน้ำแร่ที่เจ้าตัวซื้อไว้มาให้ แม้จะรับมาแล้ว แต่ชเวอินซอบก็ยังเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของอีอูยอนอยู่ตลอด
“ตอนอินซอบนอนน้ำลายน่าจะไหลโดนไหล่ของอีอูยอนนะ เช็ดหน่อยไหม”
ชเวอินซอบหน้าแดงเพราะคำพูดล้อเล่นของกรรมการผู้จัดการคิมที่นั่งอยู่ด้านหน้า
“ขะ ขอโทษครับ”
เขาควานหาของในกระเป๋าและหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา จากนั้นเขาก็สำรวจไหล่ของอีอูยอนอย่างลุกลี้ลุกลนเพื่อหาคราบน้ำลายที่น่าจะเหลืออยู่
“กรรมการผู้จัดการเขาล้อเล่นครับ”
“ครับ?”
“ล้อเล่นน่ะครับ ล้อเล่น”
“ใช่แล้ว ฉันล้อเล่น อีอูยอนเขาไม่ปล่อยคนที่ทำน้ำลายหกใส่ไหล่เขาวะ…อุก”
หัวหน้าทีมชาใช้ปลายนิ้วแทงสีข้างของกรรมการผู้จัดการคิมที่กำลังพูดพล่ามอย่างเงียบๆ อีอูยอนหัวเราะพร้อมหยิบปากกาออกมา และเริ่มเขียนอะไรบางอย่างลงบนหลังบท
[ผมไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ให้ใครฟัง คุณโอเคใช่ไหมครับ]
ชเวอินซอบพยักหน้าน้อยๆ มันเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากแม้แต่จะพูดออกมา เขาไม่คิดว่าเขาจะอยากสร้างความกังวลหรือได้รับการปลอบโยนจากใครเมื่อพูดเรื่องนั้น
…อันที่จริงการถูกอีอูยอนเห็นเหตุการณ์นั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุด แค่นึกถึง ท้องไส้ของเขาก็ปั่นป่วนแล้ว ชเวอินซอบกลืนน้ำลงไป
“อ้อ ว่าแต่ไอ้พวกเจ๊กเมื่อกี้มันน่ารำคาญจริงๆ นะ”
“เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะไปที่นี่ก็เป็นแบบนี้หมดแหละครับ”
“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ”
ชเวอินซอบฟังคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าคุยกันแล้วเอ่ยถาม เขาอาการไม่ค่อยดีและหลับไปเหมือนคนหมดสติทันทีที่ขึ้นมาบนรถ
“ก็เกือบจะเกิดอุบัติเหตุเข้าน่ะสิ จู่ๆ ดันมีพวกคนบ้าที่ไหนไม่รู้มาขวางหน้ารถพวกเราไว้”
“ครับ?”
“โอ๊ย ให้ตายเถอะ มันโยนก้นบุหรี่ใส่รถฉันด้วยนะ รู้ไหมว่าค่าฟิล์มราคาตั้งเท่าไร”
กรรมการผู้จัดการคิมกัดฟันกรอดพลางใช้ฝ่ามือลูบกระจกรถ
“ฉันนึกว่ามันเป็นคนบ้าซะอีก พอลดหน้าต่างลงมันก็ด่าภาษาจีนใส่ฉันเลย”
ชเวอินซอบฟังเสียงบ่นของกรรมการผู้จัดการคิมแล้วมองอีอูยอนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก อีอูยอนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพลางทำสีหน้าลำบากใจ อย่างไรก็ตามดูเหมือนเรื่องที่ได้ฟังจะเป็นการกระทำของพวกผู้ชายที่เขาเจอในห้องน้ำก่อนหน้านี้
“ไม่ใช่พวกชนชาติโชซอน[1] เหรอครับ เขาอาจจะเป็นพวกชนชาติโชซอนก็ได้”
“ไม่ว่าจะเป็นชนชาติโชซอนหรือคนจีนก็เป็นเจ๊กสำหรับฉันทั้งนั้น เพราะมันด่าฉันด้วยภาษาจีนยังไงล่ะ”
ถ้ามีใครมาได้ยินคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิม เขาอาจถูกด่าว่าเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติได้ แต่เขากลับพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย อีอูยอนเขียนอะไรบางอย่างลงบนด้านหลังบทและยื่นให้อินซอบอ่าน ทำเอาสีหน้าของชเวอินซอบซีดเผือดอีกครั้ง
[มีเรื่องนิดหน่อยตอนที่คุณหลับไปน่ะครับ]
แม้จะได้อ่านตัวหนังสือพวกนั้นแล้ว แต่ความไม่สบายใจของอินซอบก็ไม่ได้สงบลงเลย
[ไม่มีอะไรให้ต้องใส่ใจหรอกครับ ยังไงก็ใช่ว่าจะได้เจอกันอีก]
ชเวอินซอบลังเลอยู่สักพักก่อนจะขยับมือเพื่อบอกให้อีกฝ่ายส่งปากกามา เมื่ออีอูยอนยื่นปากกาให้ เขาก็เขียนข้อความลงไปอย่างระมัดระวัง
[ขอโทษครับที่ทำให้พวกคุณต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องน่าอายพวกนี้]
เรื่องน่าอาย
ชเวอินซอบรู้สึกไม่ดีแม้เขาจะเขียนลงไปด้วยตัวเองก็ตาม การที่เขาซึ่งเป็นผู้ชายถูกผู้ชายคนอื่นมองด้วยจุดประสงค์แบบนั้น แถมยังสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ไหวและโดนทำแบบนั้น เป็นเรื่องน่าอายเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ในตอนที่ประตูห้องน้ำเปิดออกและเห็นใบหน้าของอีอูยอนเป็นคนแรก ความคิดในหัวของอินซอบก็คือ ‘อยากตาย’ ไม่ใช่ ‘รอดแล้ว’ แม้กระทั่งตอนที่อีอูยอนลากเขาออกมา ความไม่สบายใจก็ยังสั่นไหวอยู่ในอกโดยสัญชาตญาณ
จะเป็นแบบนี้ไม่ได้
หากมองตามความเป็นจริงแล้วอีอูยอนคือคนที่เสี่ยงอันตรายมาช่วยเขา ที่ถูกคือเขาต้องแยกความรู้สึกส่วนตัวออกไปแล้วขอบคุณให้เหมาะสม
ต้องขอบคุณไหมนะ หรือจะปล่อยมันไปเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นดี แล้วเราจะขอบคุณเขาด้วยตัวเองได้ไหม
…แบบนั้นน่าจะดีกว่า
ชเวอินซอบหยิบปากกาขึ้นมา ขณะที่เขาจะเขียนคำว่าขอบคุณลงไป กรรมการผู้จัดการคิมก็ตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า
“ถึงแล้ว!”
เจ้าตัวส่งเสียงดีใจเหมือนเด็กทันทีที่มาถึงทางเข้าบ้านพักตากอากาศพร้อมกับปลดเข็มขัดนิรภัยออก มันเป็นคฤหาสน์ที่มีหน้าต่างบานใหญ่กับกำแพงด้านนอกสีเทาอ่อนดูทันสมัย ดูจากตำแหน่งที่มีทะเลสาบอยู่ไม่ไกลและมีภูเขาอยู่ด้านหลังแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าตอนสร้างได้รับการใส่ใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเขาจะรู้เหตุผลที่กรรมการผู้จัดการคิมชมบ้านพักตากอากาศของตัวเองจนน้ำลายแห้งแล้ว
“เป็นไงล่ะบ้านพักตากอากาศของฉัน”
“ดีครับ”
“อินซอบ เวลาแบบนี้จะมาพูดแค่ว่าดีครับอย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องเติมสำนวนเว่อร์ๆ เข้าไปด้วย”
คำว่า สำนวนเว่อร์ๆ ทำให้ชเวอินซอบขมวดคิ้วไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดสำนวนที่เด็กสมัยนี้ชอบใช้และเป็นสำนวนที่เขาเคยพยายามเรียนมาบ้างออกมา
“เวอร์วังอลังการมากครับ”
“…”
“…”
“ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ”
“เปล่า…ฮ่าๆๆ ช่างเป็นสำนวนที่ทั้งเว่อร์ทั้งคลาสสิกอะไรอย่างนี้”
หัวหน้าทีมชาจอดรถเสร็จก็เอาของลงมาจากท้ายรถ เมื่อชเวอินซอบเดินไปข้างๆ ทำท่าจะช่วย หัวหน้าทีมชาก็โบกมือปฏิเสธ
“ช่างเถอะน่า คุณอินซอบอาการไม่ค่อยดี ไปพักเถอะ”
“ไอ้อาการเมาอะไรนั่นรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ สีหน้ายังไม่ดีขึ้นเลย”
ในตอนนั้นอีอูยอนดันชเวอินซอบที่ไปเข้าห้องน้ำมาไปที่หลังรถ แล้วบอกคนอื่นไว้ว่าที่อีกฝ่ายดูอาการไม่ดีเป็นเพราะเมารถ มาตอนนี้ชเวอินซอบบอกว่าดีขึ้นแล้วและพยายามจะยกของ แต่อีอูยอนก็ยังดันไหล่ของอีกฝ่ายไปด้านหลังเบาๆ
“ไปพักเถอะครับ”
“…”
เพียงคำพูดเดียวนั้นทำให้ชเวอินซอบไม่สามารถพูดอะไรต่อได้และรีบลุกขึ้น
รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายพูดเพราะคำนึงถึงตัวเอง แต่คำพูดเพียงคำเดียวของอีอูยอนกลับยังคงมีน้ำหนักอย่างประหลาด เขาถึงกับรู้สึกว่าเรื่องในห้องน้ำนั้นเขาไม่ได้ถูกช่วยเหลือ แต่เหมือนถูกเจอจุดอ่อนเสียมากกว่า
“อินซอบมานี่เร็ว มาดูนี่ วิวนี้น่าตะลึงใช่ไหมล่ะ”
กรรมการผู้จัดการตื่นเต้นอย่างมากพลางชี้ไปที่ทะเลสาบพร้อมกับวางมาดเหมือนมันเป็นของตัวเอง เป็นท่าทีที่ต่างจากกรรมการผู้จัดการเท่ๆ ที่มักจะใส่เสื้อผ้าดีๆ มาพบพวกพนักงานในบริษัทอย่างสิ้นเชิง ถึงจะไม่อยากเป็นแบบนั้น แต่ชเวอินซอบก็เริ่มเห็นถึงข้อดีของคนรอบตัวและรู้สึกลำบากใจขึ้นมา
หัวหน้าทีมชามองกรรมการผู้จัดการคิมพลางเดาะลิ้นก่อนจะเอาของทั้งหมดเข้าไปเก็บในบ้านพักตากอากาศ
“คุณลุงที่เป็นคนดูแลเตรียมของเอาไว้ให้อย่างดีเลยนะครับ”
“แน่นอน เขาโทรมาบอกว่าเตรียมของเสร็จแล้วตั้งแต่สองสามวันก่อนโน่น”
อินซอบเปลี่ยนมาสวมรองเท้าสลิปเปอร์ที่ถูกเตรียมไว้แล้วกวาดตามองด้านในบ้านพักตากอากาศอย่างเหม่อๆ
“อินซอบไปนั่งพักตรงนั้นสิ”
กรรมการผู้จัดการคิมชี้ไปที่โซฟา อินซอบนั่งลงบนโซฟาอย่างระมัดระวังพลางสำรวจรอบๆ ด้วยใบหน้าเหม่อลอย
“เป็นไง ใช้ได้ไหม”
“ครับ ดีเลยครับ”
“ตอนที่สร้างบ้านหลังนี้น่ะ ฉันมาอยู่ที่คังวอนโดตั้งหนึ่งเดือน ฉันต้องคอยดูอยู่ตลอดเลยล่ะ เพราะถ้าฉันไม่คอยบ่นอยู่ข้างๆ หูพวกผู้รับเหมา งานก็จะเสร็จช้าน่ะ”
“ตอนนั้นเหนื่อยมากจริงๆ ครับ มีเรื่องที่ต้องจัดการกองเป็นภูเขา แต่กรรมการผู้จัดการไม่ยอมเข้าบริษัทเลย เพราะบ้าอยู่แต่กับเรื่องบ้านพักตากอากาศ”
หัวหน้าทีมชานึกถึงอดีตพลางถอนหายใจ
“แต่ฉันก็เซ็นเอกสารที่จะต้องอนุมัติหมดนะ”
“กรรมการผู้จัดการแค่พูดว่าโอเคนี่ครับ ส่วนผมเป็นทั้งคนประทับตรา ทั้งคนตรวจสอบเอกสาร”
“แต่ฉันก็ให้โบนัสนี่”
“เหอะ โบนัสเท่าหางอึ่ง”
ชเวอินซอบมองภาพคนสองคนเถียงกันเหมือนเป็นเพื่อนกันมานานและงเอ่ยพูด
“คุณทั้งคู่ดูสนิทกันมากจริงๆ นะครับ”
“สนิทกะผีน่ะสิ ฉันพามาอยู่ด้วยเพราะสงสารเด็กเด๋อๆ ที่เป็นโร้ดเมเนเจอร์ให้ฉันมากกว่า”
“หึๆๆๆ กรรมการผู้จัดการครับ ถ้าผมเล่าเรื่องสมัยที่กรรมการผู้จัดการพาเด็กๆ มาเที่ยวเล่นล่ะก็ จะไม่มีใครเชื่อฟังคุณเอาได้นะครับ”
“เฮ้ย หัวหน้าทีมชา เอาเรื่องสมัยนั้นมาพูดตอนนี้เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก”
“แล้วใครจะมาสนใจฟังคำพูดของเด็กเด๋อๆ ล่ะครับ ทำไมต้องทำหน้าเครียดด้วย”
หัวหน้าทีมชายิ้มอย่างล้อเลียนก่อนจะจับไหล่ของชเวอินซอบและพูดต่อ
“นายเองก็ต้องหาจุดอ่อนของดาราที่นายดูแลอยู่ให้เจอสักข้อสองข้อนะ เพราะวันหนึ่งมันต้องกลายเป็นสมบัติของนายอย่างแน่นอน”
อีอูยอนที่กำลังมองไปรอบๆ บ้านเท้าเอวพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆ ให้ตายสิ คุณหัวหน้าทีม จะยุให้คุณอินซอบขุดคุ้ยจุดอ่อนของผมเหรอครับ”
“เปล่านะ ฉันก็แค่…”
“ผมมีจุดอ่อนที่ไหนล่ะครับ”
อีอูยอนขยิบตาอย่างขี้เล่น แต่คนทั้งสามคนกลับได้แต่หน้าซีด ไม่รู้สึกถึงความขี้เล่นนั้นเลยสักนิด
“ผมหมายถึง…ดาราคนอื่นน่ะ คุณอินซอบ ที่ผมจะพูดก็คือให้ทำแบบนั้นตอนที่ดูแลดาราคนอื่นนะ เพราะอูยอนเขาไม่มีจุดอ่อนหรอก…ไม่มีเลย”
หัวหน้าทีมชาพูดตะกุกตะกัก
“ผมไม่คิดจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคนอื่นหรอกครับ”
“หา?”
ชเวอินซอบเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปก่อนจะร้อง ‘โอ๊ะ’ แล้วก้มหน้าลง อีอูยอนหัวเราะอย่างสดใสมากกว่าเมื่อครู่
“อินซอบ นายจะรักษาตำแหน่งหัวหน้าแฟนคลับของอีอูยอนไว้เหรอ”
ได้ยินกรรมการผู้จัดการคิมเอ่ยล้อ ชเวอินซอบก็ส่ายหน้าทั้งๆ ที่ยังหน้าแดงอยู่ อีอูยอนมองท่าทางของอินซอบอย่างเพลิดเพลินพร้อมหมุนไหล่และเอ่ยพูด
“ผมจะไปอาบน้ำหน่อยนะครับ”
“ชั้นสองเลย”
กรรมการผู้จัดการคิมชี้ไปที่บันได อีอูยอนจึงเดินขึ้นไปอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเป็นบ้านของตัวเอง เมื่ออีอูยอนไม่อยู่ คนทั้งคู่ก็นั่งลงข้างๆ อินซอบ
“คุณอินซอบ เมื่อกี้มีเรื่องอะไรเหรอ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“ชนชาติโชซอนหรือคนจีนนั่นน่ะ มีเรื่องอะไรกับอีอูยอนเหรอ”
“ครับ?”
แต่ในรถอีอูยอนบอกว่าไม่ได้พูดอะไรกับสองคนนี้ไม่ใช่เหรอ ชเวอินซอบรู้สึกเหมือนเลือดจะไม่ไปเลี้ยงปลายนิ้วจึงค่อยๆ หายใจเข้า-ออกช้าๆ
“…ไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ”
การโกหกนั้นยากเสมอ แต่ก็ช่วยไม่ได้ อินซอบไม่อยากให้ใครรู้เรื่องน่าอนาถที่เกิดขึ้นกับตัวเองเพิ่มอีก
“งั้นเหรอ แต่เหมือนเขาจะทะเลาะอะไรกันเลยนะ”
หัวหน้าทีมชาที่จัดของอยู่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมและพูดว่า ‘ใช่ไหมล่ะครับ’
“ต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่ๆ ไม่งั้นอีอูยอนคงไม่โยนไอ้นั่นโดยไม่มีเหตุผล…ฮ่าๆๆ ตรงนี้มีฝุ่นนี่นา”
หัวหน้าทีมชาที่กำลังพูดอยู่จู่ๆ ก็ก้มตัวลงไปและแกล้งทำเป็นเช็ดฝุ่น พอชเวอินซอบหันกลับไปมอง กรรมการผู้จัดการคิมก็ถลึงตาใส่อีกฝ่ายก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่ผมหลับเหรอครับ”
“เปล่าหรอก แค่ลองถามดูเฉยๆ น่ะว่าได้มีเรื่องอะไรกับเจ๊กพวกนั้นหรือเปล่า อย่าใส่ใจเลย”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่กรรมการผู้จัดการคิมฮักซึงกลับใส่ใจมาก
เจ้าตัวสาดคำด่าที่มีทั้งหมดออกมาตอนที่เกือบจะเกิดอุบัติเหตุ เพราะคนบ้าที่ไหนไม่รู้มาขวางหน้ารถอย่างกะทันหันและไร้เหตุผล ตอนที่คนบ้าพวกนั้นเปิดหน้าต่างและโยนก้นบุหรี่ติดไฟใส่ ท้องไส้ของกรรมการผู้จัดการคิมก็ปั่นป่วนด้วยคำด่าที่มีอยู่เต็มท้อง
กรรมการผู้จัดการคิมถึงกับหงายหลัง เพราะผู้ชายพวกนั้นถุยน้ำลายและชูนิ้วกลางใส่รถแลนด์โรเวอร์ อีโวคที่ตนเพิ่งถอยมาใหม่ได้ไม่นาน จากนั้นก็ด่าเป็นภาษาจีนที่ตนไม่เข้าใจอีก ตอนที่ตนชี้นิ้วไปที่คนบ้าพวกนั้นและพยายามจะด่า อีอูยอนที่กำลังอ่านบทอยู่เงียบๆ ด้านหลังก็ยื่นมือที่ถืออะไรสักอย่างออกมา จากนั้นก็เปิดหน้าต่างและโยนประแจออกไป มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยที่กรรมการผู้จัดการคิมไม่ทันได้ห้าม
กรรมการผู้จัดการคิมเห็นรถที่มีประแจปักอยู่ที่กระจกหน้าจอดอยู่ตรงไหล่ทางและตะโกนออกมาว่า ‘มึงจะบ้าเหรอ’ ด้วยความตกใจ เพราะมันอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุใหญ่โตขึ้นได้
แต่อีอูยอนกลับขยับมือบอกให้เขาเงียบและนั่งอ่านบทอีกครั้งราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร นั่นเป็นเพียงช่วงเวลาเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ชเวอินซอบนอนหลับพิงเบาะร้องครวญครางอยู่ และมันก็เป็นเพียงเรื่องเล่าเล็กๆ น้อยๆ ที่จะแสดงให้เห็นว่าอีอูยอนเป็นคนแบบไหนเท่านั้นเอง
[1] ชนชาติโชซอน คนเกาหลีที่อพยพไปอยู่ที่ประเทศจีนแต่ก็ยังใช้ภาษาเกาหลีในการสื่อสารระหว่างกันอยู่