ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 1 ตอนที่ 1-3
“อูยอน! นายเป็นอะไ…”
อีอูยอนอยู่ตรงนั้น แต่นั่นอีอูยอนที่พวกเขารู้จัก
อันธพาลที่สาดเหล้านอกใส่อีอูยอนล้มลงแทบเท้าของเขาและอมฟองสีขาวอยู่ในปาก หลังจากกระทืบอันธพาลคนนั้นจนหมดสติ อีอูยอนก็หันกลับมาโดยไม่แสดงสีหน้าตกใจแม้แต่น้อย มีเลือดเลอะอยู่ทั่วใบหน้าที่มักจะประดับด้วยรอยยิ้มสดใสของเขา
“เลือด…”
เมื่อเห็นหัวหน้าทีมชาชี้มาที่ใบหน้าของเขาและไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้ อีอูยอนก็เอาฝ่ามือเช็ดเลือดนั้นออกทันที เขาส่งเสียงหัวเราะต่ำๆ
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เลือดของผมหรอก”
อีอูยอนเตะศีรษะของผู้ชายที่นอนกองอยู่แทบเท้าอย่างแรงอีกครั้ง กรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชาร้องดัง ‘โอ๊ย’ ออกมาพร้อมกันโดยไม่รู้ตัวพร้อมทำสีหน้าเหยเก อีอูยอนเช็ดเลือดที่เปื้อนอยู่ที่รองเท้าลงกับเสื้อของชายคนนั้นอย่างลวกๆ และพูดต่อ
“ออกมาทำไมล่ะครับ หนาวออก”
“เพราะนายไม่เข้าไปน่ะสิ ก็เลยเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น…”
หัวหน้าทีมชาพูดออกมารวดเดียวด้วยใบหน้าตกตะลึง มันก็น่าเป็นห่วงอย่างที่หัวหน้าทีมชาพูดจริงๆ พอเห็นสภาพของคนที่นอนอยู่แทบเท้าของอีอูยอนแล้ว กว่าจะรักษาจนหายดีคงกินเวลาอย่างน้อยเจ็ดสัปดาห์ขึ้นไป
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น…”
กรรมการผู้จัดการคิมไม่สามารถพูดต่อไปได้ราวกับเขาไม่อยากจะเชื่อ แม้จะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้วก็ตาม อีอูยอนเป็นดั่งเทพบุตรที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และไม่เคยโกรธอย่างจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง คนทั้งคู่จึงไม่รู้เลยว่าจะต้องแสดงปฏิกิริยาแบบไหนกับการเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอีอูยอน
“ผมเจอเขาโดยบังเอิญตอนไปห้องน้ำน่ะครับ”
“…”
“วางใจเถอะครับ ผมเช็คแล้วว่าตรงนี้ไม่มี CCTV แล้วเขาก็ไม่น่าจะรู้ด้วยครับว่าเป็นผม เพราะผมฟาดจากทางด้านหลัง แล้วก็ไม่น่าจะมีรอยนิ้วมือหลงเหลืออยู่ด้วย”
อีอูยอนพูดถึงขวดเบียร์ที่กลิ้งอยู่บนพื้นด้วยสายตาอ่อนโยน ที่มือของเขาสวมถุงมือหนังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ ทำไมคนที่บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำถึงสวมถุงมือเอาไว้ด้วยล่ะ ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้น เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญจริงๆ เหรอ
กรรมการผู้จัดการคิมและหัวหน้าทีมชามองหน้ากันด้วยใบหน้าที่ตกตะลึงจนซีด
คนคนนี้คืออีอูยอนจริงๆ เหรอ อีอูยอนที่ทำสีหน้าราวกับตนไม่ได้ฆ่ามดสักตัวและไม่ได้พูดจากป่าเถื่อนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลคนนี้คืออีอูยอนที่พวกเขาเคยรู้จักจริงๆ เหรอ
แม้จะเห็นกับตา ได้ยินกับหู แต่นี่ก็ยังคงเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าเชื่อ
“…ฉันไม่รู้จริงๆ”
คำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมแฝงความนัยที่บอกถึงความซับซ้อนเอาไว้
“สงสัยอะไรอีกไหมครับ”
แม้จะถูกพบด้านไม่ดีด้านหนึ่งของตัวเอง แต่อีอูยอนกลับไม่แสดงความกระอักกระอ่วนหรือเขินอายออกมาเลย เขาถอดถุงมือหนังที่เหนียวเหนอะไปด้วยเลือดด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ และยื่นให้กับหัวหน้าทีมชา
“ช่วยทิ้งให้ทีนะครับ ถ้าผมเอากลับไปด้วยน่าจะเสี่ยงอยู่นิดหน่อย”
“…ได้”
หัวหน้าทีมชารับถุงมือหนังมาด้วยใบหน้าไม่เต็มใจ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอกลับเข้าไปก่อนนะครับ”
อีอูยอนเดินผ่านคนทั้งคู่ไปก่อนจะยื่นมือไปหาหัวหน้าทีมชาราวกับนึกอะไรขึ้นได้พลางเอ่ย
“ขอยืมผ้าเช็ดหน้าหน่อยครับ”
“…ได้”
หัวหน้าทีมชาหยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นให้ราวกับถูกอะไรบางอย่างล่อลวง อีอูยอนใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดที่อยู่บนใบหน้าเสร็จแล้วก็ส่งคืนให้หัวหน้าทีมชาอีกครั้ง
“อันนี้ก็ทิ้งด้วยนะครับ”
เขาปิดประตูเหล็กและหายลับไป
ในวินาทีนั้นเองทั้งสองก็ได้รู้ว่าอีอูยอนที่ปฏิเสธผ้าเช็ดหน้าของหัวหน้าทีมชาอย่างสุภาพได้หายไปแล้ว
หลังจากวันนั้นอีอูยอนก็เลิกแกล้งทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าพวกเขา
***
หัวหน้าทีมชาปล่อยควันบุหรี่ออกมา และจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เขาคิดว่าอีอูยอนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ผู้จัดการส่วนตัวมักจะทนอยู่ได้แค่ไม่กี่เดือนก็ลาออกไปกลางคันอย่างแน่นอน แต่ขณะที่ยื่นใบลาออก พวกผู้จัดการส่วนตัวกลับบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของอีอูยอน และให้เหตุผลว่าตัวเองไม่มีความสามารถ และเหนื่อยเกินกว่าที่จะทำงานต่อไปได้แล้ว
“เขาทำอะไรกันแน่นะ…”
หัวหน้าทีมชาเดาะลิ้นเบาๆ อีอูยอนเป็นคนที่สวมใบหน้าของคนดีเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าจะไปก่อนเรื่องอะไรลับหลังหรือเปล่า
ในบรรดาผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนที่ผ่านๆ มา คนที่ทนได้นานที่สุดคือสองเดือน ถ้าดาราเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อยขนาดนี้ จะต้องถูกมองไม่ดีอย่างแน่นอน แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะเตือนไปถึงสองสามครั้ง แต่ทุกๆ ครั้งอีอูยอนก็ทำเพียงยักไหล่และบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาคิดว่าอีอูยอนจะต้องทำ ‘อะไร’ ลับหลังพวกเขาอย่างแน่นอน แต่เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่า ‘อะไร’ นั้นคืออะไร
หัวหน้าทีมชาเกาศีรษะขณะนึกถึงคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมที่บอกว่าคราวนี้เขาหาคนที่จะไม่ลาออกเด็ดขาดเอาไว้แล้วขึ้นมา คนที่จะไม่ลาออกอย่างเด็ดขาดเป็นคนแบบไหนกันนะ เป็นคนที่ขึ้นไปขัดเกลาจิตใจบนเขามาหรือเปล่า หรือเป็นคนที่มาจากหน่วยทหารพลร่ม แต่ฟังจากเสียงแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีนิสัยสุขุมและใจดีเลยนี่ กรรมการผู้จัดการคิมเลือกคนที่ร้อนเงิน และบังคับให้เขียนสัญญาที่ว่าจะไม่ลาออกอย่างเด็ดขาดหรือเปล่านะ
โทรศัพท์ของเขาส่งเสียงร้อง หัวหน้าทีมชาคิดว่าตนจะได้เจอคนที่จะมาไขข้อข้องใจเสียที และรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับ หัวหน้าทีมชาฮยอนคยูคระ…ครับ? ว่ายังไงนะครับ…อยู่ที่ไหนนะครับ…อ๋อ เข้าใจแล้วครับ ก่อนอื่นคุณเดินตรงมาเลยครับ…ครับ”
หัวหน้าทีมชารีบวางสาย และเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง หัวหน้าทีมชาสะดุดตาเข้ากับร่างของเด็กหนุ่มที่ดูจะมีนิสัยสุภาพกำลังกำโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในมือ และมองไปรอบๆ บริเวณนั้น
“อยู่ตรงนี้ครับ ทางนี้”
เขาโบกมือไปทางเด็กหนุ่ม เมื่อหาหัวหน้าทีมชาเจอแล้ว เด็กหนุ่มก็เก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า และเดินมาหา
“สวัสดีครับตั้งแต่วันนี้ไปผมจะ…”
“ชเวอินซอบที่จะมาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนตั้งแต่วันนี้ใช่ไหมครับ”
หัวหน้าทีมชาเอ่ยขัดคำพูดทักทายที่ออกมาจากปากของอีกฝ่าย เขารู้ดีว่ามันเป็นการกระทำที่ไร้มารยาท แต่หัวหน้าทีมชาก็รีบพอๆ กัน
“ครับ แต่ว่า…”
“รับนี่ไปก่อนนะครับ”
หัวหน้าทีมชาส่งกุญแจรถกับสมุดโน้ตให้ก่อนจะพูดต่อ
“ที่คุณต้องทำวันนี้คือไปทักทายคุณอีอูยอนและพาเขากลับไปส่งที่บ้านก็พอแล้วครับ อีกสามสิบนาทีเขาน่าจะออกมาแล้ว แล้วพรุ่งนี้คุณอีอูยอนไม่มีตารางงาน คุณออกมาที่บริษัทก่อนก็ได้ครับ คุณไม่ต้องดูแลอะไรอีอูยอนเป็นพิเศษหรอก แค่กาแฟเย็นก็พอ เตรียมอเมริกาโน่เอาไว้ให้เขา เรื่องที่คุณต้องรู้เอาไว้ก่อนก็มีเพียงเท่านี้ครับ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ คุณอ่านในสมุดโน้ตนั่นก็ได้ครับ”
“ครับๆ”
ชเวอินซอบทำได้เพียงพยักหน้าให้กับคำพูดที่กระหน่ำมาราวกับพายุ
“ผมต้องไปแล้วนะครับ พอดีมีงานด่วนเข้ามา ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรมานะครับ คุณรู้เบอร์โทรศัพท์ของผมใช่ไหมครับ”
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นไว้พบกันนะครับ”
หัวหน้าทีมชาที่กำลังจะวิ่งออกไปจู่ๆ ก็หันกลับมาพูดอะไรบางอย่างเพิ่มเติม
“ระวังตัวด้วยนะครับ”
“ครับ? …ได้ครับ”
หัวหน้าทีมชาวิ่งออกไปอย่างรีบร้อนก่อนจะทันได้ยินคำตอบเต็มๆ ของชเวอินซอบเสียอีก ชเวอินซอบถูกทิ้งให้ยืนเคว้งอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล[1] เขากำสมุดโน้ตกับกุญแจรถที่ถูกยื่นให้อย่างกะทันหันเอาไว้ และยืนอยู่อย่างนั้นสักพัก
เมื่อถูกคนที่เดินผ่านไปผ่านมากระแทกไหล่เข้า ชเวอินซอบถึงได้รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร
“ตั้งสติได้แล้ว ตอนนี้มันเริ่มขึ้นแล้วนะ”
เขาหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาจากกระเป๋าอย่างใจเย็น เขาถ่ายรูปกุญแจรถกับสมุดโน้ตที่เขากำลังถืออยู่ตามลำดับ เสียงเปิด-ปิดของชัตเตอร์กล้องดังขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา
นั่นเป็นเสียงที่บอกให้รู้ถึงการเริ่มต้น
***
ตอนที่ได้ยินว่าผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่มาถึงแล้วอีอูยอนไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะไม่ว่าอย่างไรคนคนนั้นก็จะต้องลาออกภายในไม่กี่เดือนอยู่แล้ว
เขาคุ้นเคยกับการสวมหน้ากากต่อหน้าผู้คน เพราะการใส่หน้ากากเป็นส่วนหนึ่งของอาชีพการงานที่ตัวเองเลือกอยู่แล้ว เขาจึงคิดว่าชีวิตประจำวันก็เป็นส่วนที่ต่อขยายออกมาจากงานเท่านั้น แต่ในแง่ของความเป็นมืออาชีพ เขาจำเป็นจะต้องใส่ใจผู้จัดการส่วนตัวที่ตัวติดกับเขาเกือบจะทั้งวันนอกเหนือจากเวลานอน
เขาเกลียดการพบเจอคนเดิมๆ ทุกวันเป็นเวลานานมากกว่าอะไรทั้งหมด พวกผู้หญิงก็เหมือนกัน เขาเจอพวกหล่อนได้สามสี่ครั้งก็เบื่อแล้ว การที่จะต้องมาใช้เวลาอยู่กับคนเดิมๆ ทุกวันมันเกินนิสัยเขาไปมาก แต่เขาไม่สามารถเลิกจ้างคนอย่างไม่มีเหตุผลได้ สุดท้ายอีอูยอนก็ทำให้คนพวกนั้นอกไหม้ไส้ขมอย่างมีชั้นเชิง สำนวนนี้เขาได้ยินมาจากนางแบบที่เรียนพยาบาล
ไหม้จนเกรียมเลยล่ะ
เขาลงมือโดยที่อีกฝ่ายไม่อาจรู้ได้เลยว่าความร้อนที่พุ่งขึ้นมาเริ่มจากตรงไหน และอีอูยอนก็เผาคนพวกนั้นจนเกรียม ผู้จัดการส่วนตัวถูกเขาชักจูงเพื่อให้ทำพลาด ถ้าไม่จำตารางงานผิด ก็จงใจบอกเวลานัดผิด และสุดท้ายก็กลายเป็นว่าผู้จัดการส่วนตัวทำพลาดซ้ำไปซ้ำมาผ่านการกระทำที่คำนวณมาอย่างรอบคอบของเขา
ทุกๆ ครั้งอีอูยอนจะยิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยน และปลอบใจผู้จัดการส่วนตัวว่าไม่เป็นไร ยิ่งเขาเป็นแบบนั้น พวกผู้จัดการส่วนตัวก็ยิ่งพยายามอย่างหนักเพื่อแก้ไขความผิดพลาดของตน แต่เมื่อความผิดเล็กๆ เกิดขึ้นติดๆ กันหลายครั้ง มันจะกลายเป็นสิ่งที่ผลาญบางสิ่งได้อย่างใหญ่โต และนั่นทำให้ค่าชีวิตของผู้จัดการส่วนตัวหมดลงไปด้วย ในเวลานั้นเองอีอูยอนก็จะเรียกผู้จัดการส่วนตัวมาเลี้ยงเหล้าเป็นการส่วนตัว และพูดคุยด้วยอย่างอ่อนโยน
เช่นคำพูดที่ว่า ผมเชื่อมั่นในตัวคุณนะครับ ไม่เป็นไรครับ ขอแค่ครั้งหน้าไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก็พอ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ผมก็จะอยู่ข้างคุณนะครับ คุณแตกต่างจากคนอื่น ผมทราบดีครับ เพราะฉะนั้นผมหวังว่าคุณจะสู้ต่อนะครับ มันจะต้องไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้งแน่นอนครับ นี่เป็นทางที่สร้างมาเพื่อคุณเลยนะครับ
อีอูยอนขึ้นชื่อว่าเป็นคนแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้อย่างชัดเจน และไม่สนิทสนมกับผู้จัดการฯ เป็นการส่วนตัว แต่เมื่อเห็นเขาแสดงออกและทุ่มเทถึงขนาดนี้ คนพวกนั้นก็น้ำตาไหลและรู้สึกซาบซึ้ง ในวันต่อมาเขาจะได้ยินเสียงเรียกกำลังใจจากผู้จัดการส่วนตัวที่เตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบ อีอูยอนเองก็ตอบรับเสียงเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม ส่วนผู้จัดการส่วนตัวก็วางมาด เพราะรู้สึกว่าตัวเองได้รับความไว้วางใจจากดาราดัง พองานดูเหมือนจะราบรื่นดี ผู้จัดการส่วนตัวก็พลอยอารมณ์ดีขึ้นไปด้วย เมื่อทุกๆ อย่างเป็นไปได้ด้วยดีโดยไม่มีปัญหาอะไรได้สองสามวัน พวกผู้จัดการส่วนตัวก็จะคิดว่าตัวเองค่อยๆ คุ้นเคยกับงานแล้ว และน้ำเสียงก็สดใสขึ้นด้วย ส่วนอีอูยอนเองก็กำลังรอคอย เขากำลังรอคอยช่วงเวลาที่จะได้ปล่อยเชือกลงมาอย่างรวดเร็วหลังจากที่คนมัวเมาในความยินดี
เขาชอบช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่คนที่มั่นใจในตัวเองสูงแตกสลายทันทีที่รู้ว่าตัวเองได้ทำความผิดแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในเวลานั้นอีอูยอนซึ่งกลายเป็นผู้เสียหายในความผิดพลาดเหล่านั้นจะทำสีหน้าแปลกๆ ออกมา สีหน้าที่แสดงออกถึงความเกลียดชัง ความขมขื่น และความผิดหวังที่เขาทำอะไรกับอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก็ยังมีรอยยิ้มใจดีที่แสดงถึงความเอาใจใส่อยู่ด้วย
ปกติแล้วพวกเขามักจะลาออกกันในตอนนี้ ส่วนพวกคนที่อ่านสถานการณ์ไม่ออกก็จะทนต่อไปอีกหน่อย แต่สุดท้ายพวกเขาก็จะ ‘ยกธงขาว’ ที่แสดงว่าพวกเขาทำไม่ได้ขึ้นมาอยู่ดี
นอกจากอีอูยอนจะไม่อยากให้ใครมาอยู่ข้างๆ เป็นเวลานานแล้ว เขายังชื่นชอบตอนที่คนพวกนั้นแตกสลายด้วย แม้เขาจะรู้ดีว่าการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อยๆ จะทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูไม่ดี แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาชอบตอนที่ได้เขี่ยคนทิ้ง
เพราะฉะนั้นเขาจะไม่หยุด
“อะไรนะคะ”
เสียงของผู้หญิงแว่วเข้ามาในหู อีอูยอนฉีกยิ้มและส่ายหน้า ดูเหมือนว่าเขาจะเผลอพูดคำพูดที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
“พรุ่งนี้คุณว่างไหมคะ”
ผู้หญิงที่เด็กกว่าอีอูยอนอยู่หลายปีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงมีจริตของเด็กสาว แม้จะเป็นสถานที่จัดงานศพ เธอก็ยังสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม แต่งหน้าและทำผมอย่างเรียบร้อย เพราะรับรู้ได้ถึงสายตาของพวกนักข่าว
“วันพรุ่งนี้ผมมีตารางงานครับ”
พรุ่งนี้เป็นวันที่หายากมากๆ ที่เขาจะไม่มีตารางงานเลยแม้แต่งานเดียว เขาไม่คิดที่จะใช้วันหยุดอันมีค่าดั่งทองนี้ไปกับเด็กสาวตรงหน้าหรอก
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ล่ะคะพี่ คืนนี้พี่ว่างไหมคะ”
แม้ว่าโจยูราที่เขานึกชื่อออกเมื่อสักครู่นี้จะไม่ได้อยู่วงเดียวกับผู้ตาย แต่เขาก็ได้ยินมาว่าทั้งคู่สนิทสนมกัน เพราะเดบิวต์และทำกิจกรรมโปรโมตในช่วงเวลาเดียวกัน อีอูยอนมองเด็กสาวที่สวมสูทสีดำตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน ก่อนหน้านี้เธอร้องไห้ราวกับว่าเพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอได้จากไป แต่พอเห็นเขาเธอกลับวิ่งเข้ามาหาทันที และพูดยั่วยวนไม่หยุด
“วันนี้ก็คงไม่ได้ครับ วันนี้คุณยูราน่าจะเสียใจมากเลยนะครับ ไปพักที่บ้านเถอะครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
อีอูยอนเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนรอตนมาตั้งแต่เมื่อครู่ เขาจึงก้มตัวลงไปกระซิบกระซาบกับเธอ น้ำเสียงของเขาที่เฉียดหูทำให้โจยูราแข้งขาอ่อนแรง และพยักหน้าด้วยสีหน้าเพ้อฝัน
“ไว้เจอกันคราวหน้านะครับ”
โจยูราหน้าแดงกับคำพูดลาเสียงทุ้มต่ำของอีกฝ่ายที่ผ่านไปราวกับสายลมลอยผ่านใบไม้ พลางมองแผ่นหลังของเขาไปอย่างเหม่อลอย
“ยินดีที่ได้พบครับ”
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้ารถตู้ยืดตัวและหันหน้ามาทันทีที่เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น อีอูยอนสามารถวิเคราะห์นิสัยของอีกฝ่ายได้อย่างคร่าวๆ จากดวงตาที่กำลังพิจารณาเขาอย่างระมัดระวัง
เป็นคนว่านอนสอนง่าย จริงใจ และไร้ความสนุกสนาน
ผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ของเขาเป็นรสนิยมของกรรมการผู้จัดคิมโดยแท้ กรรมการผู้จัดการคิมชอบคนว่านอนสอนง่ายที่ทำงานด้วยความจริงใจ แต่มันเป็น ‘อาหารชั้นเลิศ’ สำหรับอีอูยอน
อีอูยอนยื่นมือออกไป
“ผมอีอูยอนครับ ต่อไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“…”
ผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด และไม่พูดอะไรออกมาเลย มีบ้างเหมือนกันที่พอเห็นดาราตัวเป็นๆ แล้วตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ยิ่งอีกฝ่ายเป็นแบบนั้น อีอูยอนก็ยิ่งทำหน้าสุภาพอ่อนโยนมากขึ้น และพยายามคลายความตื่นเต้นของเจ้าตัว เพราะเมื่อเขาทำแบบนั้น อีกสักพักรสชาติเกรียมๆ ก็จะเพิ่มมากขึ้น
“คุณคงลำบากแย่เลยนะครับที่ต้องออกมาในวันที่อากาศหนาวแบบนี้ แถมเรายังได้เจอกันในที่ที่ไม่ดีเท่าไรด้วย”
“ผะ…ผม…”
“ผมอีอูยอนครับ”
อีอูยอนเกร็งมือเพื่อยื่นมือออกไปจับมือทักทาย และกล่าวคำทักทายกับอีกฝ่ายอีกครั้ง
“…ชเวอินซอบครับ”
ตอนนั้นเองผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ก็พูดชื่อของตนออกมาทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ด้วยนิสัยที่ขี้อายมากๆ ของตน อีอูยอนเป็นฝ่ายปล่อยมือก่อน ชเวอินซอบก้มมองมือของตัวเองอย่างเหม่อลอย สีหน้าบ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าตอนนี้เลย
“งั้นก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
อีอูยอนกล่าวอย่างนอบน้อมอีกครั้งในขณะที่เปิดประตูรถด้วยตัวเอง ชเวอินซอบตอบกลับมาว่า ‘ครับ’ และนั่งตรงที่นั่งของคนขับ
[1] โรงพยาบาลในเกาหลีจะมีห้องสำหรับจัดงานศพ ดังนั้นงานศพในเกาหลีจึงมักจะจัดที่โรงพยาบาล