ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - Side Story < Love Story > 3-8
“แขวนเสื้อผ้าทิ้งไว้แล้วอาบน้ำดีไหมน้า”
กรรมการผู้จัดการคิมที่ร้องเพลงฮึมฮัมนึกถึงเรื่องที่บอกว่าหลักฐานของการที่อายุมากขึ้นคือการใส่ทำนองไปในการพูดคนเดียวและหัวเราะออกมา
เขาจัดเสื้อโค้ตขนแคชเมียร์หรูหรากับผ้าพันคอให้เรียบร้อยและเปิดประตูตู้เย็น เขาคิดว่าจะดื่มน้ำก่อนอาบน้ำ ช่วงนี้เขาใส่ใจกับผิวที่หยาบกร้านขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้จะได้รับการนวด แต่ก็แค่ตอนนั้นเท่านั้น
ความเครียดเป็นศัตรูตัวฉกาจของผิว แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ในเมื่อเขาไม่สามารถแก้ปัญหานั้นได้ พอเห็นว่านักแสดงที่อยู่ในระดับที่เป็นหน้าเป็นตาและมีมูลค่ามากที่สุดในบริษัทเอาแต่เล่นไปเรื่อยเหมือนตั๊กแตนอเมริกาความโกรธก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งคำแนะนำที่บอกว่าให้รีบหาเงินไว้เยอะๆ ในตอนที่ยังหนุ่ม ทั้งถ้อยคำกำชับที่บอกว่าให้พายเรือตอนที่มีน้ำเข้า[1] ทั้งความโกรธเคืองที่ทำให้ถามว่านายคิดว่าจะได้รับบทดีๆ ไปจนถึงเมื่อไรล้วนส่งไปไม่ถึงอีอูยอนเลยสักนิด
‘ต่อให้ผมรีบหาเงิน มันก็เป็นแค่เศษเงินเท่านั้นเอง แล้วทำไมจะต้องพายเรือด้วย ผมมีเรือยอชต์อยู่แล้วครับ’
‘ถ้าไม่มีบทเข้ามาแล้วให้รีบบอกเลยนะครับ เพราะผมจะลาออกจากวงการทันที และซื้อเกาะไว้เกาะหนึ่งเพื่อใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายกับคุณอินซอบ’
เขาเกลียดคำพูดทุกคำที่อีกฝ่ายพูดออกมามากเสียจนตอนนี้แค่เห็นหน้าของอีอูยอนก็รู้สึกโกรธแล้ว และทันทีที่อินซอบที่นับว่าเป็นความหวังสุดท้ายบอกว่าไม่สามารถโน้มน้าวอีอูยอนได้ กรรมการผู้จัดการคิมก็รู้สึกเหมือนใจสลาย
“เฮ้อ โทษฉันได้เลยถ้าฉันต่อสัญญากับอีอูยอนอีกครั้ง ไอ้คนไร้มารยาทเอ๊ย”
“กลับดึกนะครับ”
“เออ เพราะว่าโมโหก็เลยดื่มเหล้าปะ อ๊ากกก!”
กรรมการผู้จัดการคิมกรีดร้องและทรุดลงไปนั่งกับพื้น อีอูยอนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวอุทานว่า “โธ่” พร้อมกับเดาะลิ้นก่อนจะยื่นขวดน้ำแร่ที่วางอยู่ให้กรรมการผู้จัดการคิม
“นะ นายมีธุระอะไรที่นี่ ไม่สิ เข้ามาได้ยังไง…”
กรรมการผู้จัดการคิมตัวสั่นเหมือนคนเห็นผีและพูด
“กรรมการผู้จัดการยังเหมือนเดิมเลยนะ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีรหัสผ่านก็ยังเป็นรหัสเดิม ว่าแต่เพราะเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายแบบนั้นหรือเปล่าถึงได้ทำงานกับคนอย่างผมเรื่อยๆ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย นายรู้รหัสผ่านประตูบ้านฉันได้ยังไง!”
“ก็คุณบอกรหัสผ่านของบ้านพักตากอากาศที่คังวอนโดให้รู้ตอนที่ขายบ้านให้ผมก่อนหน้านี้นี่ครับ ตัวเลขแปดตัวน่ะ”
“นายจำมันมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไง!”
“งั้นผมควรจะทำยังไงล่ะครับที่เป็นคนฉลาดต่างจากคนที่ใช้รหัสผ่านเดียวกันกับทุกอย่าง”
อีอูยอนทำสีหน้าที่น่าเกลียดชังที่สุดในโลกพร้อมกับยื่นขวดน้ำแร่ให้และถามว่า “ดื่มไหมครับ”
“ไม่ดื่ม!”
“จะว่าไปแล้วทำไมถึงตั้งวันเกิดของหัวหน้าทีมชาเป็นรหัสผ่านล่ะครับ คงไม่ใช่ว่าพวกคุณทั้งคู่คบกันจริงๆ หรอกนะครับ หรือว่าพวกคุณอยู่ด้วยกันแล้ว แต่ผมดันมาหาโดยไม่ทันได้สังเกตถึงเรื่องนั้น”
“ไอ้บ้า! มาหาโดยไม่ทันได้สังเกตอะไรล่ะ! มาหาเพราะไม่มีความคิดต่างหาก!”
“ใช่ครับ ผมไม่มีทั้งความคิดและมารยาทเลยล่ะครับ แล้วกรรมการผู้จัดการที่ต่อสัญญากับคนอย่างผมเนี่ยไม่มีอะไรกันแน่เหรอครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมมองอีอูยอนที่พูดราวกับเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง และใช้กำปั้นทุบอกตัวเอง
“ปล่อย!”
กรรมการผู้จัดการคิมแยกขวดน้ำแร่มาเปิดฝาและดื่มอั้กๆ พอจิตใจสงบลงประมาณหนึ่ง เขาก็เช็ดปากและจ้องอีอูยอนเขม็งพร้อมกับตะคอก
“นายรู้ไหมว่าถ้าแอบเข้ามาในบ้านของคนอื่นจะมีความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน ฉันไม่รู้หรอกนะว่าที่อเมริกาเป็นยังไง แต่ที่เกาหลีถ้าฉันแจ้งตำรวจ นายจะโดนจับ?”
“ปกติที่อเมริกาเขาใช้ปืนยิงเลยครับ”
อีอูยอนแกล้งทำมือเป็นรูปปืนพร้อมกับทำเสียง ปัง
“…ถ้ากฎหมายอนุญาต ฉันก็อยากลองยิงนายดูเหมือนกัน”
“ที่กรรมการผู้จัดการคิมยังไม่ถูกยิงมาจนถึงตอนนี้ก็เพราะกฎหมายไม่อนุญาตเรื่องนั้นเหมือนกันแหละครับ”
“ฉันทำไม ฉันพูดอะไรเหรอถึงจะโดนยิง”
“แล้วทำไมถึงสั่งให้คุณอินซอบทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นล่ะครับ”
“อะไร ใครทำ ฉันทำเมื่อไร”
ชเวอินซอบอกว่าจะไม่พูดเรื่องของซอแจฮาต่อหน้าอีอูยอน แม้จะรู้สึกละอายใจอยู่มาก แต่กรรมการผู้จัดการคิมก็จ้องอีอูยอนและพูดต่ออย่างหน้าไม่อาย
“การขอให้ช่วยเอาเอกสารมาให้จะเป็นเรื่องใหญ่อะไรล่ะ”
“เฮอะ เอกสาร”
อีอูยอนเอียงคอพร้อมกับหัวเราะเสียงต่ำ
“ผมไม่ชอบช็อกโกแลตครับ”
‘คือว่ากรรมการผู้จัดการครับ รู้ไหมครับว่าตอนที่อีอูยอนน่ากลัวที่สุดคือตอนไหน ตอนที่เขาด่าหรือโมโห ผมก็คิดว่าเขาเป็นแค่ไอ้เวรคนหนึ่งเท่านั้น แต่บางครั้งเขาก็โพล่งออกมาอย่างผิดปกติโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเหมือนกัน ตอนที่เขาเป็นแบบน่าขนลุกจริงๆ เลยล่ะครับ เรียกว่ารู้สึกเหมือนคุยกับกำแพงหรือเปล่านะ เพราะเขาเหมือนไม่ใช่คนน่ะครับ’
เขานึกถึงคำพูดที่หัวหน้าทีมชาเคยพูดตอนที่ดื่มเหล้าด้วยกัน
ทำไมหมอนี่ถึงมาหาที่บ้านอย่างกะทันหันกลางดึก และพูดถึงเรื่องช็อกโกแลตขึ้นมาซ้ำๆ ล่ะเนี่ย กรรมการผู้จัดการคิมกลั้นเสียงร้องไห้ไว้ในใจและตอบกลับอย่างใจเย็นที่สุด
“ละ แล้วมีอะไรกับช็อกโกแลตเหรอ”
“ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ผมก็คาดหวังกับช็อกโกแลตที่คุณอินซอบซื้อให้ปีละครั้งครับ ไม่ว่าจะอร่อยหรือไม่ ผมก็ชอบที่มันเป็นช็อกโกแลตที่เขาซื้อให้ผม”
“…นี่นายคงไม่ได้มาหากลางดึกเพื่อตอกย้ำเรื่องความรักกับฉันหรอกนะ”
“เห็นผมเป็นคนไม่มีอะไรทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“…”
“แต่เมื่อกี้ผมก็ตอกย้ำจริงๆ แหละครับ”
ไอ้คนเฮงซวยเอ๊ย
แม้จะอยากด่า แต่เนื่องจากมีดที่เสียบไว้ที่ห้องครัวโผล่เข้ามาในสายตาอยู่เรื่อยๆ เขาจึงปิดปากเงียบไว้
“แต่คุณรู้ไหมครับว่าปีนี้เขากลับซื้อช็อกโกแลตราคาถูกจากร้านสะดวกซื้อให้”
“หาเงินได้แล้วเอาไปทำอะไรล่ะ ก็ให้เงินค่าขนมอินซอบเขาหน่อยสิ”
กรรมการผู้จัดการคิมไม่ปล่อยโอกาสที่จะเหน็บแนมอีอูยอน
“ผมลืมให้เงินค่าขนมไปเลยครับ เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการแอบซื้อคฤหาสน์หลังหนึ่งตรงชานเมืองแอลเอไว้เป็นชื่อของคุณอินซอบ”
“…”
เกลียดจริงๆ เลย ชาติที่แล้วฉันทำผิดอะไรไว้นะถึงต้องมาฟังเรื่องความรักชวนอ้วกของหมอนี่
“แม้สิ่งที่เขาให้จะเป็นหิน ผมก็จะกิน แต่ผมจำได้ว่าคุณอินซอบรู้สึกผิดที่ให้ช็อกโกแลตที่ไม่อร่อยและทำตัวไม่ถูกครับ แล้วจู่ๆ เขาก็บอกว่าจะยอมทำทุกอย่าง”
ความปลื้มใจเล็กน้อยฉายบนใบหน้าของอีอูยอนที่พูดแบบนั้น
“วันนั้นเขาอมไอ้นั่นให้ผม แล้วเราก็มีอะไรกันทั้งคืน…”
“อ๊ากกก! พอ! หยุด! หูจะเสีย! บอกว่าหูจะเสียไงเล่า!”
กรรมการผู้จัดการคิมทำสีหน้าเกลียดชังและวิ่งไปที่อ่างล้างจาน เขาเปิดน้ำและล้างหูของตัวเองกับน้ำที่ไหลลงมา
“ฮ่าๆๆ ผมเพิ่งพูดไปได้นิดเดียวก็เป็นแบบนี้ซะแล้ว ฟังต่อสิครับ”
“…ฉันไม่อยากฟังแล้ว แล้วช่วงนี้มีอะไรล่ะ สรุปมาเลย”
“อย่าใช้คุณอินซอบครับ”
อีอูยอนลุกขึ้น
…ไอ้หมอนี่กินและออกกำลังอะไรกันแน่ไหล่ถึงได้กว้างขึ้น
กรรมการผู้จัดการคิมเผลอกลืนน้ำลายและถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
“ผมไม่รู้นะครับว่ากรรมการผู้จัดการพูดอะไรกับเขา แต่ผมไม่ชอบให้เขาทำเป็นพูดเปรียบเทียบผมกับนักแสดงคนอื่น และไม่ชอบให้เขาดูผลงานของคนอื่นด้วยครับ ผมไม่ชอบให้เขาเสิร์ชชื่อนักแสดงคนอื่นด้วยเหมือนกัน ให้ตายเถอะ ผมไม่อยากให้สมองของเด็กคนนั้นคิดถึงไอ้อีที่ไหนเป็นอันขาดเลยครับ”
“เฮ้ย นั่นไม่ใช่แค่การหึงหวงแล้ว แต่มันไม่มีเหตุผลเลยต่างหาก…”
“ผมรู้ครับว่าเป็นการบังคับ”
แต่เพราะยังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง อีอูยอนจึงยิ้มเล็กน้อยและพูดต่อ
“แต่จะให้ทำยังไงล่ะครับในเมื่อผมไม่ชอบ”
อ๋อ จริงสิ ไอ้หมอนี่มีจิตสำนึกที่ไหนล่ะ
กรรมการผู้จัดการคิมรีบกอบกู้สติและยืดตัวตรง
“มีหลักฐานเหรอว่าฉันสั่งอะไรอินซอบ”
“ไม่มีครับ”
อีอูยอนหมุนตัวไปเปิดตู้เย็น กรรมการผู้จัดการคิมถอนหายใจด้วยความโล่งใจอยู่ในใจ
ใช่แล้ว เถียงให้ถึงที่สุดเถอะ ยังไงก็ไม่มีหลักฐานอยู่แล้ว มันจะทำอะไรได้ล่ะ
“กินไหมครับ”
อีอูยอนที่รื้อค้นตู้เย็นหยิบแอปเปิลลูกหนึ่งออกมายื่นให้
“หา? ไม่ล่ะ ในเมื่อเสร็จธุระแล้ว…”
เขากำลังจะขอให้อีกฝ่ายรีบไสหัวออกไปจากบ้าน ถ้าอีอูยอนไม่ยื่นมือออกมาหยิบมีดปอกผลไม้เสียก่อน
สวบ สวบ สวบ
กลิ่นและน้ำของแอปเปิลกระจายออกมาในความมืด
แม่มดที่เอาแอปเปิลมามอบให้สโนว์ไวท์ก็เป็นแบบนั้นหรือเปล่านะ…ไม่สิ แม่มดยอมเหน็ดเหนื่อยกับการใส่ยาพิษลงไปในแอปเปิลต่างหาก ถึงจะหัวเราะคิกคักและทำให้มือของตัวเองต้องแปดเปื้อนด้วยการใช้มีด…โอ๊ยๆๆ พอลองคิดๆ ดูแล้วทำไมต้องทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้นเพราะสโนว์ไวท์สวยกว่าด้วยล่ะ
กรรมการผู้จัดการคิมค่อยๆ ถอยหลังและโบกมืออย่างช้าๆ
“อูยอน เราก็รู้จักกันมานานแล้วนะ…วางมีดลงเถอะ”
อีอูยอนปอกเปลือกแอปเปิลอย่างเรียบร้อยและหั่นเป็นชิ้นๆ ก่อนจะยื่นให้พร้อมกับพูดเหมือนเดิม
“กินไหมครับ”
“…”
กรรมการผู้จัดการคิมตัวแข็งทื่อและพูดอะไรไม่ออก อีอูยอนจึงหัวเราะและกัดแอปเปิลกิน
“ถึงจะไม่มีหลักฐาน แต่ผมมีความมั่นใจครับ”
อีอูยอนเคี้ยวแอปเปิลกร้วมๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ว่ากันตามตรงก่อนหน้านี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาการหึงหวงคืออะไร แล้วผมก็ไม่เข้าใจเรื่องการมีเซ็กซ์กับคนแค่คนเดียวด้วย คนเราจะกินแต่อาหารเดิมๆ ทุกวันได้ยังไง จริงไหมล่ะครับ”
“ชะ ใช่”
พอคิดว่ามีดปอกผลไม้ที่อยู่ในมือของอีอูยอนวูบวาบเป็นพิเศษ กรรมการผู้จัดการคิมก็รีบตอบรับ
“แต่คุณอินซอบไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ ต่อให้กินทุกวันก็ยังโคตรอร่อยอยู่ดี”
“…”
กรรมการผู้จัดการคิมอยากล้างหูอีกรอบ
“ผมจะมีเซ็กซ์กับเขาแค่คนเดียวจนกว่าจะตาย เพราะผมชอบคุณอินซอบจริงๆ จนบางครั้งตัวผมเองยังไม่เชื่อเลยครับ”
อีอูยอนเคี้ยวแอปเปิลกร้วมๆ และพูดต่อ
“แต่เพราะเขา ผมคงไม่ได้ตายตามอายุขัยหรอกครับ แค่คุณอินซอบอยู่กับคนอื่นผมก็โมโหจนท้องไส้ปั่นป่วนถึงขนาดอยากจะอ้วกออกมาแล้วล่ะครับ ถ้าใครแตะต้องเขา ผมสาบานเลยว่าผมจะฆ่ามันให้ตาย”
อีอูยอนที่ทำสายตาดุดันกว่าใบมีดที่อยู่ในมือพูดต่อ
“ว่าแต่จำเป็นต้องทำให้ผมเกิดความหึงหวงด้วยเหรอครับ”
“…”
ไม่หรอกครับ ผมผิดเองครับ ขอโทษด้วยนะครับ ผมลืมไปเลยว่าคุณเป็นคนป่าเถื่อนถึงขนาดนั้น ผมจะ…
“ถึงจะดูไร้ความคิดมาก แต่ก็ประสบความสำเร็จนะครับ”
อีอูยอนวางแอปเปิลกับมีดปอกผลไม้ลง
“…หา?”
“ช่วยจัดตารางให้ผมทีครับ เอาให้ไม่มีเรื่องที่บทจะไปหาซอแจฮาแทนผมเลยนะครับ”
“อีอูยอน…”
กรรมการผู้จัดการคิมเรียกอีอูยอนด้วยสีหน้าที่บอกว่าไม่อยากจะเชื่อ
“ถ้ามีโฆษณาตัวไหนที่ซอแจฮาถ่ายแล้วจะหมดสัญญาลงในอีกไม่นานก็ช่วยติดต่อไปหาเขานะครับว่าผมจะทำ ไม่สิ ต่อให้ยังไม่หมดสัญญา แต่ถ้าทางนั้นอยากเปลี่ยนให้เป็นผม ผมก็ถ่ายได้ทันทีเลยครับ”
“…อีอูยอน? พูดจริงเหรอ…เดี๋ยวนะ ขอฉันอัดเสียงนายไว้หน่อย ลองพูดอีกรอบสิ”
กรรมการผู้จัดการคิมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า และใช้มือกดบันทึกเสียง
“จะมาอัดเสียงให้หงุดหงิดทำซากอะไรล่ะครับ แค่นี้ผมก็อารมณ์เสียมากพออยู่แล้ว อย่าทำให้ผมอารมณ์เสียกว่าเดิมเลยครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมรีบลบคำด่าชัดถ้อยชัดคำซึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงไพเราะที่ถูกบันทึกเสียงไว้ทิ้ง เพราะกลัวว่าจะหลุดไปที่ไหน
“จัดตารางงานอย่างที่คุณอยากจัดเถอะครับ แต่อย่าจัดให้แน่นเกินไปนะครับ”
“เออ! ได้! เข้าใจแล้ว! ฉันไม่ใช่คนที่จะจัดตารางให้อย่างไม่รู้ขอบเขตซะหน่อย! ฮ่าๆๆๆ เชื่อมือฉันได้เลย!”
“งั้นผมขอตัวนะครับ”
“ฮ่าๆๆๆ ใช่ ใช่ ดึกแล้วรีบกลับเถอะ”
ปากของกรรมการผู้จัดการคิมที่ไปส่งอีอูยอนจนถึงประตูหน้าบ้านฉีกจนถึงหู
“เอารถมาหรือเปล่า ถ้าไม่ได้เอามา ฉันจะให้ยืมรถฉันไปคันหนึ่งดีไหม”
“ไม่เป็นไรครับ คุณอินซอบกำลังมารับ”
“เฮ้อ ได้ รีบไปเถอะ อินซอบจะรอ”
กรรมการผู้จัดการคิมดันแผ่นหลังกว้างๆ ของอีอูยอน แต่แล้วความคิดที่ผ่านมาในหัวก็ทำให้เขาเรียกอีกฝ่ายไว้ อีอูยอนที่กำลังจะออกไปจึงหันหน้ากลับมา
“ว่าแต่อินซอบพูดอะไรเหรอ”
เขาวางมีดปอกผลไม้ลงไปแล้ว แถมยังบอกว่าจะถ่ายงานให้ด้วย ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้ว
“คุณอินซอบไม่เคยพูดอะไรเลยครับ”
“เอ๋? นายไม่ได้โกรธเพราะเขาเปรียบเทียบนายกับซอแจฮาเหรอ”
“เขาไม่ได้เปรียบเทียบครับ แล้วก็ไม่เคยพูดชื่อซอแจฮาออกมาสักครั้งด้วยครับ”
“แล้วทำไม…”
อีอูยอนหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะกลอกตามองบน
“ผมพูดไปแล้วยังไงล่ะ ว่าผมชอบช็อกโกแลตที่คุณอินซอบให้”
[1] พายเรือตอนที่มีน้ำเข้า ตรงกับสำนวนไทยที่ว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก