ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 4 บทส่งท้าย 1-2
“ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง”
หัวหน้าทีมชามองอินซอบพลางเอ่ยถาม
“ผมสบายดีครับ”
อินซอบดูแข็งแรงจนเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนราวกับว่านี่ไม่ใช่คำที่พูดไปอย่างนั้น แม้คนทั้งคู่จะมีผิวแทนขึ้นกว่าแต่ก่อนเพราะแสงแดดของชายทะเล แต่หากจะบอกว่าอีอูยอนดูเป็นผู้ชายขึ้น เขาก็รู้สึกว่าอินซอบเองเด็กลงอย่างน่าประหลาดใจ อาจจะเป็นเพราะดวงตากลมโตกับรอยกระนั่นที่ต่อให้บอกว่าเป็นเด็กนักเรียนที่เพิ่งจบมัธยมปลายมาเขาก็เชื่อ
“แล้วพวกคุณทั้งสองคนสบายดีใช่ไหมครับ”
อินซอบเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบของพวกเขาทั้งคู่
“ก็ลำบากนิดหน่อย เพราะใครบางคนทำให้ต้องตามจัดการให้เรียบร้อยน่ะ”
แม้ดวงตาของอีอูยอนจะหรี่ลงเล็กน้อย แต่กรรมการผู้จัดการคิมก็บอกว่า “แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” ก่อนจะพูดต่อ
“ก็ไอ้หมอนั่นก่อเรื่องวุ่นวายจริงๆ ก่อนมาน่ะสิ”
“…สถานการณ์แย่มากเลยเหรอครับ”
พอสีหน้าของอินซอบหมองลง อีอูยอนก็เตะหน้าแข้งของกรรมการผู้จัดการคิมจากใต้โต๊ะ กรรมการผู้จัดการคิมกลั้นเสียงร้องไว้พร้อมกับนิ่วหน้า แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ อีอูยอนก็มองอินซอบและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดในโลก
“ไม่มีปัญหาเลยแม้แต่นิดเดียวครับ เพราะผมจัดการเรียบร้อยแล้วก่อนมา”
อินซอบพูดว่าแต่และเงียบไป
มีสิ่งที่อินซอบสัญญาไว้กับอีอูยอนหลังจากตัดสินใจมาอเมริกา นั่นก็คือห้ามค้นหาชื่อของอีอูยอนในอินเทอร์เน็ต
นั่นหมายความว่าเขาขอให้แยกอีอูยอนที่เป็นคนดังกับตัวเองออกจากกัน
แม้การอ่านข่าวและข้อความในแฟนคาเฟ่ของอีอูยอนจะเป็นกิจวัตรประจำวันของอินซอบ แต่หลังจากที่สัญญากันแล้ว เขาก็ไม่เคยค้นหาชื่อของอีกฝ่ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้จะคิดเอาไว้แล้วว่าต้องวุ่นวายอย่างแน่นอน แต่ตอนที่ได้ยินคำว่า “เรื่องวุ่นวาย” จากกรรมการผู้จัดการคิม เขาก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“คุณอินซอบครับ ถึงจะพูดไปแล้วก็เถอะ แต่ไม่มีเรื่องที่คุณควรจะใส่ใจหรอกครับ อย่าให้ปัญหาไร้สาระพวกนั้นทำให้คุณเครียดเลย”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมไม่เครียดหรอกครับ”
อินซอบรีบส่ายหน้า อีอูยอนมองอินซอบที่ทำแบบนั้นและทำตายิ้มให้อีกฝ่ายเงียบๆ
กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาลูบแขนที่ขนลุกซู่พร้อมกันใต้โต๊ะ แม้จะเห็นมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็เป็นภาพที่ทำใจชินได้ลำบาก
“ยังไงก็ตาม ฉันเดินทางมาไกลเพื่อเห็นนายลำบากจนตายนะอีอูยอน ฉันผิดหวังมากๆ”
กรรมการผู้จัดการคิมเท้าคางและพูดอย่างจริงจัง
“ผมลำบากมากครับกรรมการผู้จัดการ คุณก็รู้นี่ครับ ว่าผมเป็นคนถังแตก”
อีอูยอนหั่นสเต๊กด้วยท่าทางที่เหมือนกับเป็นคุณชายของบ้านคนรวยทางตอนใต้ของอเมริกาอย่างเต็มรูปแบบนั้นก่อนจะสวนกลับ
“งั้นเหรอ งั้นลองยืมเงินจากญาติห่างๆ คนนั้นให้หน่อยได้ไหม”
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ เพราะเขาเป็นญาติห่างๆ มากๆ”
“เป็นญาติห่างๆ มากๆ แต่แทบจะให้ยืมบ้านแบบนี้ฟรีๆ แล้วก็ยังจ่ายเงินเดือนให้คนรับใช้ให้ด้วยเนอะ”
“เพราะเขาไม่ชอบให้บ้านว่างนานๆ น่ะครับ”
“ทำไมถึงไม่ชอบล่ะ”
กรรมการผู้จัดการถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้ เงินที่อีอูยอนมอบให้เขาด้วยเงื่อนไขที่ผิดสัญญานั้น หากพิจารณาถึงมูลค่าของทรัพย์สินแล้วจะอยู่ที่ประมาณหลายพันล้าน ตอนที่ลองกดเครื่องคิดเลข หากเปรียบเทียบกับความเสียหายของบริษัทจากการยกเลิกสัญญา พอรวมความชั่วร้ายที่ไม่ยอมช่างน้ำหนักผลกำไรเข้าไปด้วยแล้ว ก็เหมือนจะได้รับเงินมากกว่าเป็นสิบเท่าของราคาพวกนั้น
และเหตุผลที่เขาอดทนก็มีแค่การที่อีอูยอนเริ่มต้นตั้งตัวใหม่ตั้งแต่แรกอย่างตัวเปล่าเล่าเปลือย [1] เขาเป็นคนโง่ที่เชื่อในคำพูดว่าตัวเปล่าคือตัวเปล่าจริงๆ
คอยดูเถอะอีอูยอน คิดว่าฉันจะยอมกลับไปมือเปล่าเหรอ
กรรมการผู้จัดการคิมมองอีอูยอนเขม็ง
“ก็ไม่รู้สิครับ ไว้ถ้าเจอผมจะลองถามดูนะครับ”
“ถ้าปล่อยให้บ้านว่างจะมีผีออกมาเหรอ”
การพูดล้อเล่นไปเรื่อยของหัวหน้าทีมชาทำให้อินซอบรีบตัดบทว่า “ไม่ใช่นะครับ”
“ไม่มีผีหรอกครับ ของแบบนั้นไม่โผล่ออกมาเด็ดขาดครับ”
น้ำเสียงเด็ดขาดอย่างที่ไม่ใช่ตัวอินซอบ และฟังดูเหมือนกำลังล้างสมองตัวเองอยู่ว่าผีไม่ควรโผล่ออกมา มีรอยยิ้มประดับอยู่ที่ดวงตาของอีอูยอน
“อืม ที่หัวหน้าทีมพูดก็มีเหตุผลนะครับ”
“มีเหตุผลเหรอครับ”
อินซอบตกใจกลัว และหันไปมองอีอูยอน
“คราวก่อนตอนที่เดินอยู่ที่ทางเดินคนเดียวตอนกลางคืน ผมเหมือนจะได้ยินเสียงคนเลยครับ”
“หะ หูฝาดล่ะมั้งครับ”
“แต่ตอนนั้นที่ชั้นหนึ่งไม่มีใครอยู่เลยหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่เสียงทีวีเหรอครับ”
อีอูยอนเม้มปากก่อนจะส่ายหน้า อินซอบก้มมองด้านล่างด้วยสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้
“วันนี้คุณอินซอบก็ล็อกประตูให้แน่นก่อนจะเข้านอนนะครับ ถ้ามีใครมาขอให้เปิดประตูก็อย่าเปิดให้”
“…ครับ”
ไม่ต้องมองก็รู้ว่าคนที่จะไปเคาะประตูเหมือนผีคือใคร
“ห้องอินซอบอยู่ชั้นสองเหรอ”
“ครับ ชั้นสอง…ไม่สิ ผมแค่มาเที่ยวเล่นน่ะครับ”
อินซอบอธิบายต่อไม่หยุดเพราะตื่นตระหนก
“ผมไม่ได้อยู่ที่นี่นะครับ วันนี้ผมบังเอิญมาเที่ยวเล่นเฉยๆ อย่าเข้าใจผิด ไม่สิ เพราะฉะนั้น…”
ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้เข้าใจผิด สุดท้ายส้อมที่อินซอบถืออยู่ในมือก็ร่วงลงมา ดวงตาของเขาตื่นตระหนกและสั่นไหวอย่างกังวลใจ
อีอูยอนเก็บส้อมที่ตกอย่างสงบก่อนจะลุกขึ้น กรรมการผู้จัดการคิมสะดุ้ง อีอูยอนเอาส้อมคันใหม่มายื่นให้อินซอบก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง
“ผมขอให้คุณอินซอบมาอยู่ด้วยน่ะครับ ก็อย่างที่พวกคุณรู้แหละครับว่าตอนนั้นสภาพของผมไม่ดีมากๆ แล้วในบรรดาคนที่รู้ถึงสถานการณ์ของผมก็มีแค่คุณอินซอบคนเดียวเท่านั้นที่ผมจะขอร้องแบบนี้ได้”
คารมของเขาคมคายจนหากใครได้ฟังก็คงจะหลงเชื่อทันที แต่นี่เป็นคำพูดที่เกลี้ยกล่อมพวกเขาสองคนที่ติดอยู่ในห้องน้ำ และได้ฟังเหตุการณ์น่าขนลุกนั้นสดๆ ทั้งคืนที่เกาะเชจูไม่ได้
“ผมตั้งใจเลือกที่ที่สงบ เพราะอาการนอนไม่หลับน่ะครับ แถมอากาศก็อบอุ่น และมองเห็นทะเลด้วย”
รอยยิ้มประดับอยู่ที่ริมฝีปากของอีอูยอน
“บ้านหลังนี้ดีขึ้นมากเพราะคุณอินซอบเลยครับ”
สายตาที่มองอินซอบเต็มไปด้วยความรัก เหมือนตนจะรู้เหตุผลที่เขาเลือกบ้านหลังนี้แล้ว ถ้าจะพูดชัดๆ ก็คือบ้านหลังนี้ไม่ใช่รสนิยมของอีอูยอน และก็ไม่ได้ทำมาเพื่อเจ้าตัวด้วย
ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ทำมาเพื่ออินซอบต่างหาก
“…โล่งอกไปทีนะครับที่ช่วยได้”
อินซอบตอบกลับเสียงเบา อีอูยอนชื่นชมภาพของอินซอบที่แดงไปจนถึงต้นคออย่างเพลิดเพลิน
“งั้นอาการนอนไม่หลับก็หายดีแล้วสิ?”
กรรมการผู้จัดการคิมเอ่ยถามอย่างหยาบกระด้าง
“ถึงจะดีขึ้นมาก แต่เพราะยังไม่หายขาดก็เลยต้องการความช่วยเหลือจากคุณอินซอบน่ะครับ”
อีอูยอนพูดโกหกปนกับความจริงพอสมควรพลางขยับส้อม
“แล้วทางด้านนั้นไม่มีเรื่องสำคัญอะไรเหรอครับ”
คำถามของอีอูยอนทำให้กรรมการผู้จัดการคิมเอ่ยปากพูดว่า “ได้ยินเรื่องของแชยอนซอหรือยัง”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
อีอูยอนถามกลับ และทำสีหน้าว่าไม่รู้จริงๆ เพราะไม่ได้สนใจตั้งแต่แรก
“ไม่กี่เดือนหลังจากที่ทำแบบนั้นกับนาย เมียของโปรดิวเซอร์อีชอลฮวานก็ฟ้องแชยอนซอ และก็ฟ้องหย่ากับเขา แต่ในระหว่างนั้นอีชอลฮวานกับแชยอนซอก็ประกาศแต่งงานกัน น้ำเน่าซะจนไม่มีอะไรจะน้ำเน่าไปมากกว่านี้แล้วล่ะ ถ้ามากกว่านี้ก็ต้องพูดเลยว่าต่อไปโปรดิวเซอร์ละครแม่บ้านช่วงเช้าต้องใช้ความพยายามกับฉากน้ำเน่าให้สมจริงมากขึ้นอีกหน่อยแล้วล่ะ แล้วฉันก็รู้สึกว่าโชคดีเสียอีกที่นายหลุดไปได้ตอนนั้น”
“อ่า อย่างนั้นเหรอครับ”
อีอูยอนทำหน้าเบื่อหน่ายราวกับพูดเรื่องคนอื่น
“แล้วเมื่อไม่นานมานี้ก็มีเรื่องใหญ่จริงๆ เกิดขึ้นด้วย”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
พออีอูยอนตอบรับ กรรมการผู้จัดการคิมก็เอ่ยปากอย่างตื่นเต้นว่า “อย่าให้พูดเลยนะ”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานมีการปราบปรามเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นการใหญ่ ก็เลยเรียงแถวกันเข้าคุกไปเลย ฉันก็บอกแล้วไงว่าบรรยากาศมันไม่ปกติ”
“โธ่เอ๊ย ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วจะทำให้ชีวิตพังพินาศแท้ๆ ทำไมถึงยังทำก็ไม่รู้”
หัวหน้าทีมชาก็พูดเสริมด้วย
“เข้าไปเยอะเลยเหรอครับ”
อีอูยอนขยับมีดอย่างเรียบร้อยพลางเอ่ยถาม
“อาจจะเรียกได้ว่าเป็นปีที่เกิดการทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการบันเทิงเกาหลีเลยล่ะ เพราะพอรวมคนที่ไม่มีชื่อเสียงเข้าไปด้วยก็เข้าไปประมาณสามสิบคนได้”
“ไม่มีคนจากบริษัทของเราใช่ไหมครับ”
อินซอบเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“แน่นอนอยู่แล้วสิ ฉันจัดการเรื่องพวกนั้นเก่งอยู่แล้ว”
กรรมการคิมยักไหล่พร้อมกับเอ่ยตอบ ความจริงเขาตัดสินใจจับดาราในสังกัดมารวมกัน และให้ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด แต่อีอูยอนก็มักจะมีข้ออ้างทุกครั้ง และไม่สามารถเข้าร่วมได้
“โล่งอกไปทีนะครับ”
อินซอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจจริงๆ
“ฮ่าๆๆ ยังมีข่าวดีอีกข่าวนะ ไอ้คังยองโมก็ถูกรวมอยู่ในสามสิบคนนั้นด้วย”
“ครับ? คุณคังยองโมเหรอครับ”
อินซอบตกใจและถามซ้ำ
“ใช่ แล้วก็ไม่ใช่แค่การใช้ยาธรรมดาด้วยนะ เขายังจัดปาร์ตี้เซ็กซ์หมู่พร้อมกับเล่นยาด้วย บ้าสุดๆ ไปเลย”
“…เซ็กซ์หมู่คืออะไรเหรอครับ”
พออินซอบเอ่ยถามเสียงเบา อีอูยอนก็กระซิบจากด้านข้างว่า “สวิงกิ้งครับ” อินซอบใช้มือปิดหูและทำหน้าแดง
“ก็น่าจะต้องระวังหน่อยนะ เป็นคนที่จะเสียเยอะสุดแท้ๆ”
อีอูยอนหยิบขวดซอสที่วางอยู่สุดโต๊ะมาพลางเอ่ย
“เพราะแบบนั้นเรื่องคราวนี้ก็เลยทำให้เขาโดนเมียฟ้องหย่า แล้วก็ถูกไล่ออกจากบริษัทด้วย ชีวิตย่อยยับไปเลยล่ะ ฮ่าๆๆ ให้ตาย เราจะมีความสุขกับความทุกข์ของคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะ”
กรรมการผู้จัดการคิมแกล้งทำเป็นตีปากตัวเองเบาๆ
“ว่าแต่เขาโดนจับได้ยังไงล่ะครับ หรือว่าสืบไปสืบมาแล้วก็แจ๊คพอตแตก?”
คำถามของหัวหน้าทีมชาทำให้กรรมการผู้จัดการคิมพยักหน้า
“มันก็เกินคาดนิดหน่อยนะ เห็นว่าพวกนั้นเป็นสมาชิกที่รักษาความปลอดภัยให้กันอย่างดีเยี่ยมเลย นี่เป็นข่าวที่ได้มาจากรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ที่สำนักงานอัยการอยู่พักหนึ่งนะ ดูเหมือนว่าใครบางคนจะให้ข้อมูลโดยไม่บอกชื่อน่ะ”
“ให้ข้อมูลเหรอครับ งั้นผู้แจ้งความก็เป็นคนในน่ะสิ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ยังไงก็ตามมีคนเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไว้ใน USB แล้วก็ส่งพัสดุไปให้ตำรวจ…”
กรรมการผู้จัดการที่พูดมาถึงตรงนี้เงียบไป สายตาของเขาหยุดอยู่ที่อีอูยอน ทั้งหัวหน้าทีมชา และอินซอบก็เหมือนกัน แม้จะได้รับสายตาจากคนทั้งสามคน แต่อีอูยอนก็ยังเขี่ยสลัดอย่างปลีกตัวออกจากโลก ก่อนจะพูดว่า “อื้ม อร่อยนะครับเนี่ย” และยิ้ม
“…นายเหรอ”
“อะไรครับ”
อีอูยอนเอียงคอ
“คนที่ส่งข้อมูลไปน่ะ”
“ฮ่าๆๆ พูดเรื่องอะไรครับเนี่ย”
แม้เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงจะดังขึ้น แต่ก็ไม่มีคนหัวเราะตาม
“คนเราต้องมีชีวิตอยู่อย่างใจดีสิครับ ใช่ไหม”
อีอูยอนมองอินซอบก่อนจะเอ่ยถาม แต่อินซอบไม่กล้าที่จะตอบว่าใช่ และหลุบตามองด้านล่าง
ก่อนหน้านี้เขาอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เข้าใจอีอูยอนผิด และเอ่ยชื่อของคังยองโมออกไปด้วย อีอูยอนจมอยู่กับความคิดไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า เขานึกว่ามันจะจบแค่นั้น แต่กลับเป็นตอนจบแบบนี้เหรอเนี่ย
…ทำไมเขาถึงหนักใจขึ้นมาก็ไม่รู้
“ดื่มไวน์หน่อยไหมครับ ผมมีของดีอยู่ด้วย”
“…รีบเอามาเลย”
อีอูยอนลุกไปเอาไวน์กับแก้วไวน์ก่อนจะเดินกลับมา
แม้จะดื่มไวน์รสชาติดีอยู่ แต่กรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชากลับไม่สามารถวิเคราะห์รสชาตินั้นได้
“แล้วเหตุผลที่สั่งให้ฉันมาหาถึงที่นี่คืออะไรล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมเอ่ยถามด้วยสีหน้าอึมครึม
“จะเพราะอะไรล่ะครับ ก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ผมเลยเรียกมาเพราะอยากเจอน่ะสิครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างสดใสพลางเอ่ยตอบ
“…อย่างนั้นเหรอ”
“เฮ้อ…”
“…”
ในบรรดาคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะไม่มีใครเชื่อคำพูดนั้นเลย และการรับประทานอาหารดำเนินต่อไปอีกครั้ง นี่ช่างเป็นมื้อเย็นที่สงบสุข
[1] ตัวเปล่าเล่าเปลือย เป็นสำนวนหมายถึง ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย