ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 4 บทส่งท้าย 1-1
“บ้านนี้ใช่ไหมครับ”
“ไม่รู้สิ อาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ใช่”
“คุณบอกว่าใช้ชีวิตเป็นนายแบบอยู่ที่แอลเอมาสองปีนะ!”
“ฉันบอกว่าใช้ชีวิต แล้วฉันบอกว่าฉันเก่งภาษาอังกฤษเหรอ!”
ผู้ชายสองคนเหงื่อไหลและเริ่มทะเลาะกันที่หน้าคฤหาสน์หรู
“ไม่สิ คนเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทจะไม่เก่งภาษาอังกฤษขนาดนั้นได้ยังไงครับ ไหนบอกว่าจะขยายบริษัทให้เป็นบริษัทระดับโลกไง!”
“กรรมการผู้จัดการบริษัทแค่มีเงินกับหน้าตาดีก็พอแล้ว ต้องเก่งภาษาอังกฤษด้วยเหรอ!”
“แต่ก็ต้องท้วงตอนที่คนขับแท็กซี่ให้ลงตรงที่แปลกๆ หรือเปล่าครับ!”
“งั้นนายทำอะไรอยู่ถึงไม่ดูแผนที่!”
“โทรศัพท์มือถือผมแบตหมดจะดูแผนที่ได้ยังไงล่ะครับ แล้วที่ลำบากขนาดนี้ก็เพราะกรรมการผู้จัดการเองทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้านด้วย ก็เลยติดต่ออีอูยอนไม่ได้!”
“งั้นนายก็ต้องคอยดูแลไม่ให้ฉันลืมโทรศัพท์ไว้สิ”
“…ผมขอต่อยสักทีได้ไหมครับ”
“ไม่ได้เด็ดขาด”
“โอ๊ย ให้ตายเถอะ ผมเชื่อในอะไรอยู่ถึงได้ทำงานกับคนแบบนี้…”
“ก็อย่าเชื่อซะตอนนี้เลยสิ ใครขอให้เชื่อกัน”
หัวหน้าทีมชาทุบอก ในขณะที่คิดว่าออกไปที่ถนนใหญ่ตอนนี้ แล้วเรียกแท็กซี่ไปที่สนามบินเหมือนเดิมดีไหมอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์จากทางด้านหลัง
สิ้นประตูปิดดัง ปัก เสียงที่คุ้นเคยก็เอ่ยเรียกว่า “กรรมการผู้จัดการ?”
ชเวอินซอบลงมาจากรถ ถึงจะดูเหมือนตกใจกับสถานการณ์ที่กะทันหันนี้ แต่ในดวงตากลมโตก็เต็มไปด้วยความดีใจ
“อินซอบบบ!”
กรรมการผู้จัดการคิมวิ่งเข้าหาอินซอบด้วยสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ในไม่ช้า
“ไม่เจอกันนานเลยนะคุณอินซอบ”
หัวหน้าทีมชารวมกระเป๋าเดินทางสองใบมาวางไว้ข้างหนึ่ง และโบกมือให้
“สวัสดีครับ”
อินซอบรีบก้มหัวให้คนทั้งคู่ ด้วยเหตุนั้นส้มที่อยู่ในถุงสีน้ำตาลในมือจึงเทพรวดออกมา
“เอ่อ ขอโทษครับ”
อินซอบก้มเก็บส้มพร้อมกับเอ่ยขอโทษด้วยความเคยชิน
“ปล่อยไว้เถอะครับ เดี๋ยวผมเก็บเอง”
แขนยาวๆ ยื่นออกมาพร้อมกับเงาที่ทาบทับหลังของอินซอบไว้
“…อีอูยอน”
กรรมการผู้จัดการคิมกัดฟันและเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่าย อีอูยอนที่เก็บส้มอยู่เลื่อนแว่นกันแดดลงมาข้างล่างเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” พร้อมกับยิ้มให้ ผิวสีแทนกับขาที่โผล่ออกมาให้เห็นใต้กางเกงขาสั้นสีขาวเป็นภาพที่ขโมยสายตาของผู้คนได้โดยไม่จำเป็นต้องทำอะไร
“เอามานี่ครับ”
อีอูยอนที่เก็บส้มทั้งหมดเสร็จแย่งถุงที่อินซอบถืออยู่ในมือมาถือไว้เอง อินซอบมองกรรมการผู้จัดการคิมสลับกับหัวหน้าทีมชาด้วยสีหน้างุนงงขณะที่ส่งถุงให้
“มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”
“จะมาทำอะไรล่ะ ก็มาเพราะหมอนั่นเรียกให้มาน่ะสิ”
กรรมการผู้จัดการคิมพยักพเยิดหน้าไปทางอีอูยอนด้วยท่าทีที่เจือไปด้วยหงุดหงิด
“บอกผมสิครับ ผมจะได้ไปรับที่สนามบิน”
“ใช่แล้ว บอกกันสิครับ”
อีอูยอนสนับสนุนคำพูดของอินซอบด้วยท่าทีที่ไม่มีความเต็มใจ กรรมการผู้จัดการคิมหัวเราะฮ่าฮ่า และขึงตามองอีอูยอน
กรรมการผู้จัดการคิมติดต่ออีอูยอนไว้แล้วว่าวันนี้จะมาถึงที่สนามบินกี่โมง และคำตอบที่กลับมาตอนนั้นก็ไม่น่าฟัง
[วันนี้เหรอครับ คงจะไม่ได้หรอก เพราะวันนี้เป็นวันที่ต้องไปซูเปอร์มาร์เก็ตกับคุณอินซอบ มาเองเถอะครับ ผมจะบอกที่อยู่ให้]
ใบหน้าที่โคตรจะหน้าไม่อายของอีอูยอนที่ไม่ได้เห็นมานานแล้วทำให้กรรมการผู้จัดการคิมเดือดพล่าน
“ฉันบอกนาย…รีบเปิดประตูเถอะน่า”
แม้จะมีคำที่อยากพูดอยู่มากมาย แต่กรรมการผู้จัดการก็ทำไม้ทำมืออย่างอ่อนแรงแทน เนื่องจากเดินหลงอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกาอยู่หนึ่งชั่วโมง ทั่วทั้งตัวจึงโทรมไปด้วยเหงื่อ
“ขึ้นรถเลยครับ เพราะยังต้องขึ้นไปอีกหน่อย”
อีอูยอนเปิดกระโปรงท้ายรถให้ คนทั้งคู่ใส่กระเป๋าเดินทางเข้าไป และขึ้นไปนั่งตรงเบาะหลัง อีอูยอนที่ขึ้นรถมายื่นถุงที่ใส่ส้มไว้ให้กรรมการผู้จัดการคิมอย่างหน้าตาเฉยก่อนจะจับพวงมาลัย
“…ให้ผมถือไหมครับ”
อินซอบที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก รีบไปเถอะ บ้านนายอยู่ไหนกันแน่เนี่ย ฉันหามาสักพักแล้วนะ”
“ถึงแล้วครับ ตรงนี้แหละครับ”
อีอูยอนหยิบรีโมทเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าและกดปุ่ม ประตูรั้วที่ปิดอยู่อย่างแน่นหนาถูกเปิดออก และถนนที่เชื่อมไปยังคฤหาสน์ก็ปรากฏให้เห็น
“…ตั้งแต่ตรงนี้ไปคือบ้านเหรอ”
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับออกรถ คฤหาสน์สีขาวที่ตั้งอยู่ในที่สูงอวดโฉมที่หรูหราราวกับถูกตีพิมพ์อยู่บนหน้าแรกในนิตยสารอสังหาริมทรัพย์ชั้นสูง
“เดี๋ยวผมไปจอดรถก่อนนะครับ”
สองคนที่ลงมาจากรถดื่มด่ำกับวิวของคฤหาสน์ที่มองเห็นเมืองกับทะเลพร้อมกันในสภาพที่อ้าปากค้าง
“กรรมการผู้จัดการครับ ถ้าอยากจะอยู่ในที่แบบนี้ ผมต้องหาเงินมากแค่ไหนเหรอครับ”
“ต่อให้นายหาเงินไม่หยุดไปร้อยปี และเก็บเงินไว้โดยไม่ใช้สักสตางค์ก็ยังทำไม่ได้เลย”
“ใช้เงินของกรรมการผู้จัดการซื้อไม่ได้เหรอ”
“ก็บอกแล้วไงว่าธุรกิจของบริษัทช่วงนี้ค่อนข้างลำบาก ไม่ได้”
กรรมการผู้จัดการคิมส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด อินซอบที่ฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่อยู่ข้างๆ เอ่ยแทรกอย่างระวัง
“ค่าเช่าที่นี่ไม่แพงอย่างที่คิดหรอกครับ”
“เท่าไรล่ะ”
“ห้าร้อยดอลลาร์ต่อเดือน อืม ก็เกินหกแสนวอนมานิดหน่อยน่ะครับ”
“…”
“… …”
บนหน้าของคนทั้งคู่มีคำว่า “ไม่มีทาง” เขียนอยู่
แรนโชพาสอลเวอร์เดสที่ตั้งอยู่แถบชานเมืองของลอสแองเจลิสเป็นหมู่บ้านคนรวยที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอเมริกา หากบอกว่าค่าเช่าของคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนผาที่เหมือนกับตั้งตระหง่านให้เห็นมหาสมุทรแปซิฟิกได้ทั้งหมดคือห้าร้อยดอลลาร์ หมาที่เดินผ่านไปมาจะต้องหัวเราะแน่ๆ
“…ไม่ใช่ห้าร้อยดอลลาร์ต่อวันเหรอ”
ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เป็นราคาที่ถูกอย่างไม่น่าเชื่ออยู่ดี
“นี่เป็นที่ที่ญาติห่างๆ ของคุณอีอูยอนเป็นเจ้าของน่ะครับ เนื่องจากเหตุผลบางอย่างทำให้บ้านว่างชั่วคราว ก็เลยได้มาในราคาถูกครับ เขาบอกว่าไม่อยากปล่อยให้บ้านว่าง”
“เคยเห็นหน้าคนที่บอกว่าเป็นญาติไหม”
สิ้นคำถามของกรรมการผู้จัดการคิม อินซอบก็ตอบว่า “ไม่ครับ” พร้อมกับส่ายหน้า
“ทำอะไรกันอยู่ครับ ถึงไม่เข้าไปข้างในกัน”
อีอูยอนที่จอดรถเสร็จแล้วถอดแว่นกันแดดออกก่อนจะยิ้ม กรรมการผู้จัดการคิมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ญาติคนนั้นคือไอ้หมอนี่นี่แหละ
“กระเป๋าเดินทางล่ะ”
“คนงานยกไปข้างในแล้วครับ”
“ว้าว ดีจังเลยนะที่จ่ายแค่หกแสนวอนต่อเดือนก็ได้อยู่ในบ้านแบบนี้แถมยังมีคนรับใช้อีก นี่ ฉันเองก็อยากจะอยู่ที่นี่ เพราะมีญาติดีๆ บ้างจัง”
หัวหน้าทีมชาพูดราวกับจงใจจะให้ได้ยิน
“ฮ่าๆๆ แค่คุณสองคนแต่งงานกันก็ได้แล้ว พ่อของกรรมการผู้จัดการคิมเป็นเศรษฐีนี่ครับ”
อีอูยอนหัวเราะก่อนจะเปิดประตูหน้าบ้านและเดินเข้าไป พอเข้ามาด้านในก็เกิดเสียงอุทานด้วยความประทับใจอย่างอื่นขึ้นอีก
การตกแต่งภายในที่ใช้หินอ่อนราคาแพงกับท่อนซุงทำให้เข้ากันแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุ่มเงินลงไปมากแค่ไหน
ข้อดีของการตกแต่งภายในที่งดงามอย่างไม่มีที่ติก็คือทะเลสีครามที่มองเห็นผ่านหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่รอบด้าน นี่เป็นวิวที่งดงามจนทำให้อุทานออกมาอย่างอัตโนมัติว่า “พระเจ้า” ทันทีที่เห็น
หัวหน้าทีมชาศอกใส่สีข้างของกรรมการผู้จัดการคิมก่อนจะอ้อนวอนว่า “พวกเราเองก็รีบทำให้บริษัทเติบโตเป็นบริษัทระดับโลก และมาอยู่ที่บ้านแบบนี้กันเถอะ”
“บริษัทเป็นไปได้ด้วยดีไหมครับ”
อีอูยอนเอ่ยถาม
“…ตอนนี้นายมีสิทธิ์ถามเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ”
“ต้องมีสิทธิ์ก่อนเหรอครับถึงจะถามได้”
“ฉันหมายถึงว่าก็ต้องไม่ดีอยู่แล้วน่ะสิ”
“อย่างนั้นเหรอครับ น่าเศร้าจัง”
อีอูยอนย้อนตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ด้วยสีหน้าที่ไม่ได้เศร้าใจเลยสักนิด แม้จะไม่ได้เจอกันนาน แต่เขาก็ยังเป็นคนที่มีฝีมือยอดเยี่ยมในการทำให้คนอารมณ์เสียอยู่ดี
“ทั้งสองคนน่าจะเหนื่อยเพราะเดินทางมาไกล จะอาบน้ำก่อนไหมล่ะครับ ผมจะนำทางไป”
อินซอบที่เข้ามาในห้องนั่งเล่นอีกครั้งยื่นผ้าขนหนูเย็นให้อย่างสุภาพ
“…ทำไมคนแบบนี้ถึงได้ลงเอยกับคนแบบนั้น…”
กรรมการผู้จัดการคิมพึมพำคนเดียวก่อนจะรับผ้าขนหนูมา
“ใช่ครับ อาบน้ำก่อนเถอะครับ เพราะเริ่มจะมีกลิ่นแล้ว ใช้ห้องน้ำสำหรับแขกที่อยู่ชั้นหนึ่งได้เลยครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างอ่อนหวานในขณะที่พูดคำพูดเฮงซวยออกมา พอถูกคำพูดของไอ้หมอนั่นทำให้อารมณ์ไม่ดี คนทั้งสองคนที่รู้ความจริงตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าเสียพลังงานเปล่าก็เดินไปทางห้องน้ำอย่างว่าง่าย
ทั้งสองคนที่อาบน้ำเสร็จออกมาแล้วเริ่มพูดเกี่ยวกับห้องน้ำที่มองเห็นทะเลได้อย่างเปิดโล่ง
“ไม่สิ ต่อให้วิวสวยแค่ไหน แต่การที่ห้องน้ำด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างหมดเลยมันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ”
“แล้วยังไงล่ะครับ ยังไงก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว”
อีอูยอนยักไหล่พลางเอ่ยตอบ
“ถึงอย่างนั้นฉันก็อายนิดหน่อยอยู่ดี”
“ฉันด้วยๆ”
อินซอบที่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่หัวเราะพร้อมกับเอ่ยถามว่า “ไม่หิวเหรอครับ” วินาทีที่ได้ยินคำนั้น เขาก็รู้สึกหิวขึ้นมาอย่างกับไม่ใช่มนุษย์
“ใช่ กินข้าวไปคุยไปกันเถอะ”
“เดี๋ยวผมจะไปเตรียมให้ ช่วยรอสักครู่นะครับ”
พออินซอบลุกขึ้น อีอูยอนก็เดินตามหลังเขาไปด้วย ผ่านไปไม่นานอาหารก็ถูกจัดวางบนโต๊ะ
“ว้าว ทำเมื่อกี้เหรอ ฝีมือการทำอาหารของคุณอินซอบเพิ่มขึ้นในระหว่างที่ไม่ได้เจอกันสินะ ไม่ได้ลำบากเพราะพวกเราใช่ไหม”
“ไม่เลยครับ เรามีคนทำอาหารต่างหาก ผมแค่อุ่นแล้วก็ตั้งโต๊ะเท่านั้น”
อินซอบรีบโบกมือปฏิเสธ
“…ที่บ้านนี้มีคนทำอาหารต่างหากด้วย เท่าไรต่อเดือนนะ หกอะไรนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมมองบนไปทางอีอูยอนก่อนจะพูดเหน็บแนม
ตอนที่อีอูยอนเลิกทำงานในวงการทั้งหมด และประกาศว่าจะไปอเมริกา กรรมการผู้จัดการคิมต้องตกใจอยู่แล้ว แม้จะตะโกนว่า “ตอนนี้มีสัญญาที่ได้กลับมาหลายฉบับแล้ว นายจะเลิกได้ยังไง” แต่อีอูยอนก็ไม่แม้แต่จะทำเป็นได้ยิน
‘นี่ ไอ้บ้า! มีหนังที่ต้องร่วมแสดงตอนหน้าหนาวด้วยนะ และเป็นผลงานที่นายต้องถ่ายถึงหนึ่งในสามเลยด้วยกว่าจะเสร็จ! รู้ไหมว่าเป็นเงินเท่าไรถ้าต้องจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายจากละเมิดสัญญา แล้วในฐานะของบริษัทฉันสามารถฟ้องร้องนายตอนนี้ได้เลยด้วย!’
อีอูยอนที่ได้ยินคำพูดนั้นถามกลับด้วยใบหน้าที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘เท่าไรเหรอครับ’
‘อะไรนะ’
‘ผมถามว่าทั้งหมดเท่าไรครับ ทั้งค่าปรับเพราะผิดสัญญา ค่าเรียกร้องที่ต้องจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายจากการละเมิดสัญญา ทั้งหมดเลย’
‘บ้าไปแล้วเหรอ’
อีอูยอนเอาขาข้างหนึ่งที่ไขว่ห้างอยู่ลง และนั่งตัวทรงมองกรรมการผู้จัดการคิม
‘ก็ดีแล้วครับที่คนบ้ามีความรับผิดชอบด้วย’
สุดท้ายอีอูยอนก็ชดเชยค่าปรับเพราะผิดสัญญา และค่าเสียหายทั้งหมดให้ก่อนจะจากไป เขาได้ให้บ้านพักตากอากาศที่คังวอนโดกับอพาร์ทเมนต์คอมเพล็กซ์ที่โดกก และรถห้าคันกับกรรมการผู้จัดการคิมที่ตะโกนว่า “ไอ้คนไม่รู้จักบุญคุณ”
พออีอูยอนที่เป็นนักแสดงดาวเด่นหายไป การที่บริษัทจะไม่เหมือนแต่ก่อนก็เป็นผลลัพธ์ที่แน่นอน ความหวังหนึ่งเดียวของกรรมการผู้จัดการคิมที่กดเครื่องคิดเลขและมองสมุดบัญชีอย่างละเอียดทุกวันคือชีวิตที่ยากแค้นของอีอูยอนที่ไปอเมริกา
คำถามที่ว่า “ถ้าไปอเมริกาโดยที่ไม่มีเงินเลยจะเป็นยังไง” ทำให้อีอูยอนยักไหล่ก่อนจะตอบว่า “ก็ต้องลำบากสิครับ” เนื่องจากรู้ว่าเขาไปโดยใช้เงินที่หาได้ที่เกาหลีหมดแล้ว ความฝันของกรรมการผู้จัดการคิมจึงปรากฏให้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง แค่จินตนาการภาพของอีอูยอนที่อาศัยอยู่อย่างน่าสงสารในอพาร์ทเมนต์น่ากลัวที่มีหนูกับแมลงสาบคุกคาม เขาก็ได้รับการปลอบโยนแล้ว
แต่จู่ๆ ก็มีชีวิตแบบนี้น่ะเหรอ…
กรรมการผู้จัดการคิมเหลือบมองอีอูยอน พอสบตากัน อีอูยอนก็ยิ้มเหมือนกับภาพวาดอย่างมีมารยาทมาให้
เขาเจ็บใจ อีอูยอนกำลังทำหน้ามีความสุขกว่าตอนที่อยู่เกาหลีเป็นพันเท่า อย่าว่าแต่ความเป็นคนดังของหมอนั่นจะจางหายไปเลย ผิวแทนนั่นกลับทำให้มีเสน่ห์ที่ดูมีระดับขึ้นไปอีกขั้นด้วยซ้ำ จนเขารู้สึกไปเองว่าดวงอาทิตย์ของชายหาดแคลิฟอร์เนียกำลังส่องแสงมาทางอีกฝ่าย
“พวกคนรับใช้ที่อยู่ที่นี่เป็นคนที่รับใช้ญาติของคุณอีอูยอนมาก่อนแล้วน่ะครับ ก็เลยไม่ต้องจ่ายเงิน”
คราวนี้อินซอบช่วยอธิบายให้ฟังอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“ญาติคนนั้นของนายมีเงินที่ได้มาง่ายๆ เหรอถึงได้ใจดีขนาดนั้น”
“ก็ไม่รู้สิครับ ก่อนหน้านี้นานมาแล้วเขาเหมือนจะเจอเหมืองทอง แต่ก็ไม่สำเร็จ แล้วก็เหมือนจะเจอบ่อน้ำมันมั้งครับ”
อีอูยอนใช้ผ้าเปียกเช็ดปากก่อนจะพูดต่อ
“กินเถอะครับ ก่อนที่จะเย็น”
แม้จะมีสิ่งที่อยากจะถามเต็มไปหมด แต่เนื่องจากไม่สามารถแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงความหิวได้อีกต่อไป คนทั้งคู่จึงเริ่มกินอาหาร