ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 3 ตอนที่ 6-12
“งั้นถ้าเจ้าของบ้านกลับมาแล้ว ผมจะนัดให้ครับ รับโทรศัพท์ด้วยนะครับ”
อินซอบพยักหน้าให้กับคำขอร้องของเจ้าของบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์อย่างตั้งใจ
บ้านที่ไปดูดีมากกว่าที่คิด น้ำไหลดี ไม่มีราขึ้น วอลล์เปเปอร์หรือพื้นก็สะอาด รวมไปถึงติดตั้งระบบปรับอากาศไว้แล้วด้วย คำพูดของเจ้าของบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่บอกว่าไม่สามารถหาบ้านแบบนี้ในราคานี้ได้อีกแล้วไม่ใช่คำพูดเหลวไหล ถ้าการทำสัญญาเป็นไปด้วยดี ก็จะสนองความต้องการเร่งด่วนของเขาได้
อินซอบลูบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋า
แม้วันนี้จะครุ่นคิดตลอดทั้งวัน แต่สุดท้ายอินซอบก็ไม่สามารถโทรศัพท์หาอีอูยอนได้
‘ขอโทษจริงๆ ครับ ผมจะชดใช้คืนอย่างแน่นอนครับ’
อินซอบพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาระหว่างทางกลับบ้านจากการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลในวันที่รถประสบอุบัติเหตุ อีอูยอนไม่ตอบอะไร พออีอูยอนหยุดรถ ความเงียบที่หายใจไม่ออกก็ถูกทำลายลงราวกับค่อยๆ ตกลงไปในหนองน้ำที่มืดมิด
‘จะชดใช้ยังไงเหรอครับ’
อินซอบไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้เพราะความรู้สึกผิด
‘ผมจะทำตามที่คุณต้องการครับ’
‘แล้วผมต้องการอะไรล่ะ’
‘…’
‘อย่าสัญญาแบบนั้นโดยไม่คิดให้รอบคอบสิครับ ถ้าเกิดเจอคนไม่ดี ชีวิตคุณจะพังพินาศนะ’
‘ไม่เป็นไรครับ เพราะคุณอีอูยอนไม่ใช่คนไม่ดี’
อีอูยอนแกล้งหัวเราะพลางหลุบตามองต่ำ ใบหน้าที่ขาวและงดงามเหมือนดอกไม้ที่บานสะพรั่งกลางแสงจันทร์ อินซอบมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอย
‘…!’
ตอนนั้นเองมือของอีอูยอนที่เข้ามาใกล้อย่างไม่ทันได้เตรียมใจก็แตะมาที่บริเวณคิ้วของอินซอบ
‘ทำไมตรงนี้ถึงเป็นแบบนี้ล่ะครับ’
‘…เหมือนจะกระแทกนิดหน่อยครับ’
มันเป็นรอยถลอกเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นถ้าไม่ตั้งใจมอง นิ้วโป้งของอีอูยอนลูบรอยถลอกราวกับจะค่อยๆ ทำให้มันหายไป
‘ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ’
คำถามของอีอูยอนทำให้อินซอบทำตาโตและพูดว่า ‘ครับ?’
‘ทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุแบบนั้นขึ้นกับคนที่รอบคอบอย่างคุณล่ะ มัวแต่สนใจอะไรอยู่เหรอ’
‘เรื่องนั้น…’
เขาไม่กล้าพูดว่าตนกดพลาดปุ่มถอยหลังและเหยียบคันเร่ง เพราะว้าวุ่นใจที่เจอแชยอนซอโดยบังเอิญที่หน้าบ้านอีกฝ่าย อินซอบอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง และนึกคำแก้ตัวอย่างยากลำบาก
‘จู่ๆ ลูกหมาก็กระโดดออกมาน่ะครับ ผมก็เลย…’
‘แค่นั้นเหรอครับ’
น้ำเสียงของอีอูยอนทุ้มต่ำ
‘…ขอโทษครับ’
เขารู้สึกผิดต่อลูกหมาที่ไม่มีอยู่จริง รู้สึกผิดต่อรถที่ต้องไปโรงงาน และรู้สึกผิดต่ออีอูยอนที่สุด
เขารู้สึกกระดากอายกับความจริงที่ว่าตนไม่เชื่อใจอีอูยอนถึงขนาดแค่เห็นว่าแชยอนซออยู่ในละแวกบ้านเดียวกันก็เกิดอุบัติเหตุแล้ว
‘มีเรื่องที่คุณอินซอบเข้าใจผิดอยู่นะ’
อีอูยอนลูบหลังใบหูของอินซอบก่อนจะพูดต่อ
‘ผมเป็นคนไม่ดีถูกแล้วครับ’
ชายหนุ่มสารภาพความเลวทรามของตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เป็นคนดีที่สุดในโลก แต่ไม่ใช่แววตาที่อ่อนโยน และไม่มีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขี้เล่นเหมือนปกติด้วยเช่นกัน อินซอบกะพริบตาไม่ลง และเงยหน้ามองอีอูยอนด้วยสีหน้าหวาดกลัว
‘เพราะฉะนั้นผมจะเอาในสิ่งที่ผมอยากได้ครับ’
หลังจากกลับมาถึงบ้านในวันนั้น อีอูยอนก็ไม่ติดต่อมาเลย อินซอบเองก็ไม่กล้าติดต่อไปเพราะรู้สึกผิด
แต่ถึงอย่างนั้นเราจะลองส่งข้อความไปดูดีไหม
ในระหว่างที่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและกำลังครุ่นคิด เขาก็รู้สึกถึงกลิ่นบุหรี่ อินซอบหันหน้าไปด้วยความคาดหวังว่าอาจจะเป็น ‘เขา’ ก็ได้
“อ้าว มาพอดีเลย”
ผู้ชายที่นั่งยองๆ สูบบุหรี่อยู่หน้าบ้านของอินซอบลุกขึ้น
“…สวัสดีครับ”
เขาคือลูกชายของเจ้าของบ้าน อินซอบรีบเอ่ยทักทาย
“มีธุระอะไรเหรอครับ”
“ไปไหนมา ฉันรอนายอยู่สักพักแล้วนะ”
ท่าทีของชายที่ทำตัวสนิทสนมกันเกินความจำเป็นน่าสงสัยมาก
“มีธุระอะไรเหรอครับ”
อินซอบเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“นายจะย้ายบ้านเหรอ วันนี้แม่ฉันบอกแบบนั้นน่ะ”
“ครับ ใช่แล้วครับ”
“เพื่อนนายเขาเป็นคนยังไงกันแน่”
“พูดถึงใครเหรอครับ”
“ก็คนนั้นไง ที่เป็นดาราน่ะ ทำไมได้เบอร์โทรศัพท์ฉันไปแล้วไม่ยอมโทรศัพท์มาสักสายเลยล่ะ”
ชายคนนั้นจุดบุหรี่มวนใหม่พลางเอ่ยถาม พวกเขาเคยเจอกันตอนไหน แม้อินซอบจะมึนงง แต่ก็ไม่แสดงท่าทีออกไป และตอบกลับไปอย่างสุขุม
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะไม่ใช่คนที่ได้เจอกันบ่อยๆ”
“แต่ถ้าถึงขนาดออกไปดื่มเหล้าด้วยกัน ก็น่าจะรู้เบอร์โทรศัพท์ไม่ใช่เหรอ ขอเบอร์หน่อยสิ มาโทรศัพท์หาเขากันเถอะ”
อินซอบเจอคนมามากขณะทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอน และมีความชำนาญในการรับมือเรื่องพวกนี้มาก เพราะคนที่ขอเบอร์โทรศัพท์ทันทีที่เห็นโอกาสนั้นมีอยู่เยอะ
“ขอโทษครับ ผมคงจะให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตามใจชอบมะ…”
ตอนนั้นเองชายคนนั้นก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและยื่นหน้าเข้ามา อินซอบถอยหลังไปด้วยความตกใจ
“ไม่สิ ข้อมูลส่วนตัวน่ะ หมอนั่นเป็นคนเอาไปก่อนนะ เขาเอาเบอร์โทรศัพท์ฉันไปแล้ว มีแค่เบอร์โทรศัพท์ของดาราที่เป็นข้อมูลส่วนตัว แล้วเห็นว่าเบอร์โทรศัพท์ของฉันเป็นเรื่องน่าขำเหรอ”
ชายคนนั้นแสดงท่าทีหงุดหงิด และสบถออกมา
“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ถ้าผมได้เจอคุณอีอูยอน ผมจะบอกให้ครับ”
อินซอบกุเรื่องขึ้นมา และตัดสินใจว่าจะต้องห้ามไม่ให้อีอูยอนมาปรากฏตัวแถวนี้
“แล้วจะได้เจอกันเมื่อไรล่ะ”
ชายคนนั้นยิ้มอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถาม การกระทำที่ไม่สามารถคาดเดาได้ของชายผู้นี้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”
ชายคนนั้นพ่นควันบุหรี่ออกมาก่อนจะหัวเราะหึหึ
“ไม่สนิทอะไรล่ะ ก่อนหน้านี้ไม่นานฉันยังเห็นรถของดาราจอดอยู่ในที่จอดรถอยู่เลยหรือเปล่า”
เขาจะหลงกลกับคำพูดที่อีกฝ่ายพูดออกมาไม่ได้ อินซอบจึงตอบรับอย่างสุขุม
“ไว้ถ้าเจอคุณอีอูยอนผมจะบอกให้นะครับ”
ชายคนนั้นสถบอย่างหยาบคาย และปาบุหรี่ลงพื้น จากนั้นก็เดินผ่านอินซอบไป เพราะตระหนักได้ว่าตนคงไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการจากอินซอบ อินซอบปล่อยไหล่ที่เกร็งด้วยความตื่นตระหนกลง และยืนอยู่หน้าประตูบ้าน
“อ๋อ จริงสิ ลืมไปเลย”
ชายคนนั้นหมุนตัวกลับมา
“ตอนนั้นนายเป็นคนจัดการให้ใช่ไหม ฉันลืมขอบคุณไปเลย”
“ครับ?”
“ฉันพูดถึงแมวน่ะ”
“…”
ผ่านไปสักพักอินซอบถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงจอห์น และหน้าของเขาก็ซีดเผือดทันที
“ขอบใจนะที่เอาขยะไปทิ้งให้ คงลำบากแย่เลย”
การพูดเหน็บแนมของชายคนนั้นทำให้ปลายนิ้วของเขาเย็นเฉียบ อินซอบกำหมัดแน่น
“คนที่ทำให้ลูกแมวเป็นแบบนั้นตอนนั้น…คือคุณใช่ไหมครับ”
เขามั่นใจ วันนั้นเขาเจอกับชายคนนี้ที่ลงมาจากดาดฟ้า แล้วก็พูดถึงเรื่องแมวด้วย แต่เขาก็ไม่กล้าถามอีกฝ่ายออกไป เพราะไม่มีหลักฐาน
“เออ ฉันทำเอง”
ชายคนนั้นตอบอย่างเปิดเผย
“ทำไมถึงทำแบบนั้นครับ”
คำถามของอินซอบทำให้เขาหัวเราะ ชายที่หัวเราะอยู่สักพักเงยหน้าขึ้นมาและถามกลับ
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายล่ะ เป็นแมวของนายเหรอ”
“ถึงจะเป็นสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ แต่ก็ห้ามใช้ความรุนแรงตามใจชอบนะครับ”
“เพราะอย่างนั้นฉันถึงถามไงว่านายเป็นใคร ถึงได้มาสั่งให้ทำนั่นทำนี่ แม่ง เวลาจะจัดการสัตว์โลกสักตัวต้องได้รับอนุญาตจากคุณก่อนหรือไงครับ”
อินซอบเดือดพล่าน
จอห์นมักจะช้ากว่าพวกพี่น้องอยู่เสมอ เพราะมีร่างกายที่อ่อนแอที่สุด ดังนั้นเขาจึงใส่ใจจอห์นมากกว่าแมวตัวอื่นๆ และนี่ก็เป็นความรับผิดชอบของเขาด้วยที่ทำให้จอห์นชอบคนและยอมให้จับ จอห์นกลายเป็นแมวที่มีอุปสรรคในการใช้ชีวิตจากเหตุการณ์วันนั้น และถึงแม้ว่าขาจะเดินกะโผลกกะเผลก แต่จอห์นก็ยังถูไถหน้าอย่างชอบใจเมื่อเห็นตน
“…แมวของผมเองครับ”
อินซอบมองชายคนนั้นก่อนจะพูดต่อ
“ผมเลี้ยงเองครับ งั้นผมจะพูดสั่งนั่นสั่งนี่ยังไงก็ได้ใช่ไหมครับ”
“ฮ่าๆๆ ตามใจนายเลย เพราะคราวหน้าฉันก็คงจะไปทำกับสัตว์ที่นายไม่ได้เลี้ยงอยู่ดี”
ชายคนนั้นกระแหนะกระแหนพร้อมกับโชว์ฟันที่กลายเป็นสีเหลือง อินซอบรู้สึกขยะแขยงกับความร้ายกาจที่น่าอายนั่น
“ผมจะแจ้งตำรวจครับ”
“ว่าไงนะ”
“ผมจะแจ้งตำรวจว่าคุณทรมานสะ…”
ปัง
ชายคนนั้นใช้เท้าแตะประตู การกระทำที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้อินซอบตกใจ และยืนตัวแข็งอยู่กับที่
“จะเรียกทำตรวจทำไมล่ะ ใครให้นายเรียกได้ตามอำเภอใจ หา?”
คำว่าตำรวจทำให้ชายคนนั้นขึ้นเสียงจนคอเป็นเอ็น
เขากลัว แต่จอห์นที่โดนคนคนนี้ตีจนกระดูกโผล่ออกมาคงจะกลัวกว่าหลายเท่าอย่างแน่นอน ดังนั้นอินซอบจึงรวบรวมความกล้าและโต้กลับ
“ถ้าทำผิดก็ต้องได้รับโทษสิครับ การทรมานสัตว์เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายนะครับ”
“แกนี่มัน…!”
ชายคนนั้นคว้าคอเสื้อของอินซอบ ถึงจะกลัว แต่อินซอบก็ไม่ยอมหลบตาอีกฝ่าย ตอนนั้นเองประตูก็ถูกเปิดออก และคุณลุงข้างบ้านก็ตะโกนด้วยเสียงปนรำคาญ
“ใครมาโหวกเหวกโวยวายอยู่ที่ทางเดินเนี่ย ถ้าทะเลาะกันก็ออกไปทะเลาะกันข้างนอกโน่น!”
ชายหนุ่มปล่อยมือทันทีและหัวเราะแหะๆ
“ล้อกันเล่นน่ะครับ แค่ล้อเล่น”
เขารีบจัดเสื้อผ้าให้อินซอบและหัวเราะไปด้วย คุณลุงเจ้าของบ้านไล่มองชายคนนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย ชายคนนั้นจึงตบไหล่อินซอบเบาๆ ก่อนจะลดเสียงและกระซิบ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
‘คนที่พูดว่าฝากไว้ก่อนน่ะ ไม่มีสักคนหรอกครับที่จะกลับมาทำอย่างนั้นจริงๆ เพราะพวกเขาก็ล้วนแต่เป็นคนโง่ไงครับ’ อินซอบนึกถึงคำที่อีอูยอนพูดยิ้มๆ อินซอบจ้องชายคนนั้นเขม็ง อีกฝ่ายแสยะยิ้มก่อนจะลากรองเท้าแตะจากไป พอเปิดประตูและเข้าไปในบ้าน อินซอบก็ล็อกกุญแจทั้งหมด และทรุดลงนั่ง
“…เฮ้อ”
ความกลัวและความเครียดที่ถ่วงเอาไว้ได้อย่างยากลำบากพุ่งขึ้นมา และทิ่มลงไปที่หัวใจของเขา
อย่าเครียดนะ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว
อินซอบนั่งอยู่อย่างนั้นสักพักจนกระทั่งความเจ็บแปลบนั่นหายไป
***
“นักเรียนดูไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้นเลยนะ ไม่น่าเชื่อจริงๆ ไม่สิ ลูกชายฉันทำความผิดอะไรเหรอถึงจะเรียกตำรวจ มีหลักฐานไหม”
“…”
“ไม่มีหลักฐาน แต่ก็พูดว่าตำรวจอย่างนั้นอย่างนี้ ลูกชายฉันเป็นคนดีนะ เป็นคนที่อ่านหนังสือสอบเพื่อที่จะได้ทำงานราชการ ถ้าชีวิตถูกทำลายเพราะถูกใส่ความด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง นักเรียนจะรับผิดชอบเหรอ”
คนทุกคนล้วนมีจุดอ่อน จุดอ่อนสำหรับลูกชายเจ้าของบ้านคือคำว่าตำรวจ และดูเหมือนจุดอ่อนของเจ้าของบ้านจะเป็นลูกชาย พออินซอบปิดประตู เจ้าของบ้านก็มาหาทันทีที่เขาเพิ่งจะได้หายใจหายคอและสาดคำพูดใส่รัวๆ ด้วยความโกรธ
“…นี่ไม่ใช่การใส่ความด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนะครับ”
อินซอบที่ฟังอยู่เงียบๆ พูดอย่างจริงจัง
“เป็นการใส่ความด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องสิ! ก็เธอไม่มีหลักฐานนี่!”
“แต่เมื่อกี้เขาเพิ่งสารภาพไปนะครับ”
“สารภาพอะไร!”
“เขาพูดเองเลยนะครับว่าเขาทำร้ายจะ…ทำร้ายแมว”
เจ้าของบ้านหัวเราะเยาะ
“แมวเหรอ จะแจ้งความเอาผิดลูกชายสุดที่รักของบ้านอื่นกับตำรวจแค่เพราะแมวเหรอ”
“ไม่ใช่แค่แมวนะ…”
และวินาทีที่เงยหน้าขึ้นมา อินซอบก็ได้เห็นภาพของเจ้าของบ้านที่มือสั่นเทา