ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 2 ตอนที่ 4-13
“ช่วยไปที่บริษัทด้วยครับ”
“ไม่ไปที่บ้านเหรอครับ”
ทำให้คิมคังอูแก้จุดหมายในระบบนำทางตามคำขอของอีอูยอนพลางเอ่ยถาม
“ผมมีธุระกับกรรมการผู้จัดการน่ะครับ”
อีอูยอนพลิกหน้าหนังสือพลางเอ่ยตอบ
อินซอบจะเข้าไปรับและตรวจสอบตารางงานที่บริษัทสัปดาห์ละครั้ง แม้อีอูยอนจะตำหนิว่าจะลำบากทำเรื่องที่ขอรับทางอีเมลได้ทำไม แต่เขาก็ไม่เคยเว้น แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะตัวเขามีนิสัยชอบตระเตรียมเรื่องที่ไม่แน่ใจเอาไว้ก่อนก็ตาม แต่อีกส่วนคือเขาอยากเข้าไปทักทายคนที่บริษัทด้วยตัวเองด้วย
วันนี้เป็นวันที่เขาต้องไปที่บริษัท และอีอูยอนก็ไม่ได้มีนัดอะไรกับกรรมการผู้จัดการคิมด้วย
เขารู้ก็เลยขอให้ไปที่บริษัทอย่างนั้นเหรอ อินซอบเหลือบมองอีอูยอน เมื่อรู้สึกถึงสายตาของเขา อีอูยอนจึงหันมาพร้อมกับขยิบตาให้อย่างขี้เล่น อินซอบรีบหันหน้าหนีทันที
“อากาศวันนี้ดีจริงๆ เลยนะครับ”
คิมคังอูเปิดวิทยุพร้อมกับเปิดหน้าต่าง เสียงเพลงที่น่าหนวกหูดังออกมาจากวิทยุ
“วันนี้เลิกเร็ว ไม่ไปไหนเหรอครับ”
อีอูยอนตอบว่า ‘ไม่รู้สิครับ’ พลางพลิกหน้าหนังสือ
“ผมจะไปดื่มกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานล่ะครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะไม่ไปพูดเรื่องที่ผมเป็นโร้ดเมเนเจอร์ของคุณนักแสดงที่ไหนแน่นอนครับ”
“ผมไม่ได้กังวลเลยครับ”
อีอูยอนยิ้มร่า แต่มันเป็นรอยยิ้มที่แฝงเจตนาสั่งให้หุบปากเอาไว้ อินซอบเอ่ยเรียกคิมคังอูอย่างระมัดระวัง คิ้วของอีอูยอนที่กำลังพลิกหน้าหนังสืออยู่กระตุก
“ใต้นั้นมีซีดีที่ฉันเก็บไว้อยู่ ช่วยปิดวิทยุแล้วเปิดซีดีนั้นแทนได้ไหม”
“ครับ ฮยองนิม”
คิมคังอูใส่ซีดีและเปิดเครื่องเล่นตามที่อินซอบสั่ง เสียงของผู้ชายที่ฟังดูเหมือนกำลังอ่านโคลงกลอนดังออกมาโดยมีเสียงบรรเลงเปียโนเงียบๆ เป็นเสียงเบื้องหลัง
“นี่เป็นเพลงประกอบโฆษณากาแฟที่คุณนักแสดงถ่ายเมื่อไม่นานมานี้ใช่ไหมครับ เพลงชื่ออะไรเหรอครับ”
“ ‘Love you more’ ”
เมื่อได้ยินคำตอบของอินซอบ อีอูยอนก็เอียงศีรษะเล็กน้อย
“ชื่อเพลงเป็นแบบนั้น แต่ทำไมเนื้อเพลงถึงเป็นแบบนี้ล่ะครับ”
เนื้อเพลงซึ่งมีเนื้อหาว่าไม่สามารถรักคุณได้อีกต่อไปแล้วต่างกับชื่อเพลงยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
“แต่สุดท้ายจะมีคำพูดประมาณว่าทำได้แค่รักครับ…ชื่อเพลงก็เลยเป็นแบบนั้นหรือเปล่านะ”
อินซอบพูดความเห็นของตัวเองอย่างระมัดระวัง อีอูยอนที่ฟังเพลงเงียบๆ ร้องอืมก่อนจะเงียบไป
“เนื้อเพลงทำไมเหรอครับ เขาร้องว่ายังไงเหรอครับ แล้วปัญหาคืออะไรเหรอครับ”
คิมคังอูถามซ้ำหลายครั้งเหมือนลูกหมาที่รบเร้าขอให้เล่นกันตัวเอง
“ชื่อเพลงกับเนื้อเพลงมันขัดแย้งกันน่ะ”
คิมคังอูหยุดถามหลังจากได้ยินคำตอบของอินซอบ
“บางครั้งเรื่องแบบนี้ก็ยากเหมือนกันนะครับ”
อีอูยอนพลิกหนังสือไปอีกหนึ่งหน้าก่อนจะพูดต่อ
“ผมไม่ค่อยเข้าใจเลย”
อินซอบเองก็ไม่สามารถตอบได้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
คิมคังอูผู้ซึ่งเข้าใจคำพูดของอีอูยอนไปในความหมายอื่นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“นั่นสินะครับ”
อีอูยอนยิ้มให้ด้วยสายตาที่บอกว่าฉันไม่ได้สนใจอะไรนายสักนิดก่อนจะเบนสายตากลับไปที่หนังสืออีกครั้ง
อินซอบมองออกไปนอกหน้าต่าง วันนี้อากาศสดใสจนแสบตาอย่างที่คิมคังอูพูด แต่แม้จะเห็นวิวที่สวยงาม แต่หัวใจของเขากลับยังรู้สึกอ้างว้างอยู่ดี
ทำไมถึงโกหกว่าไม่เคยเจอกันนะ การโกหกเล็กน้อยแบบนั้นเป็นลางแบบที่คิมคังอูพูดหรือเปล่า …ถ้าเป็นแบบนั้น สุดท้ายพวกเขาจะเลิกกันเหรอ และการที่ตนเป็นฝ่ายบอกก่อนว่าเราเลิกกันเถอะจะถือว่าเป็นมารยาทหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็อยากจะเป็นอันธพาลไร้มารยาทไปทั้งชีวิต…
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ปะ เปล่าครับ”
“เปล่าอะไรกัน ไม่ได้รู้สึกป่วยตรงไหนใช่ไหมครับ”
“…!”
อีอูยอนใช้มือข้างหนึ่งแตะหน้าผากของอินซอบ และเอามืออีกข้างหนึ่งแตะหน้าผากตัวเองเพื่อเทียบความร้อน
“เหมือนจะไม่ได้เป็นหวัดนะ ลองไปโรงพยาบาลไหมครับ”
“ที่เป็นแบบนี้เพราะเมื่อวานนอนไม่หลับน่ะครับ”
อินซอบหันใบหน้าที่กลายเป็นสีแดงไปด้านข้างพลางเอ่ยตอบ
“งั้นก็นอนสักหน่อยนะครับ ถ้าถึงแล้วผมจะปลุก”
อีอูยอนปรับเอนเบาะนั่งของอินซอบไปด้านหลัง และถอดเสื้อตัวนอกมาคลุมให้
กลิ่นของชายหนุ่มถูกคลุมไปทั่วตัวเขา เขารู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายโอบกอด แม้อินซอบจะหลับตาลง แต่เขาก็ไม่สามารถนอนได้ เขารู้สึกกระสับกระส่ายมากกว่าเมื่อครู่นี้เป็นเท่าตัว แม้กระทั่งการหายใจของเขาก็แปลกไป
“ไม่ได้ป่วยตรงไหนใช่ไหมครับ”
อีอูยอนถามอีกครั้ง อินซอบส่ายหน้า
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้ไข้หวัดใหญ่กำลังระบาด ฮยองนิมเองก็ระวังตัวด้วยนะครับ คุณนักแสดงเองก็ระวังนะครับ เมื่อกี้ผมเหมือนจะเห็นคุณกินยาอะไรสักอย่างน่ะครับ”
คิมคังอูเหลือบมองทางด้านหลังผ่านกระจกมองหลังก่อนจะเอ่ย
“ไม่สบายตรงไหนเหรอครับ”
อินซอบถามอย่างตกใจ
“ผมกินป้องกันเอาไว้น่ะครับ ถ้าติดไข้ เราก็ไปฉีดยาด้วยกันนะครับ”
อีอูยอนพูดทีเล่นทีจริงก่อนจะจัดเสื้อคลุมให้อีกฝ่าย
“…ขอบคุณครับ”
อีอูยอนใช้มือตบแปะๆ หนึ่งครั้งแทนการตอบรับคำขอบคุณของอินซอบ ท่าทางเล็กน้อยนั้นทำให้หัวใจของอินซอบอึดอัดเหมือนจะพังอีกครั้ง อินซอบถอนหายใจก่อนจะหลับตาลง
ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็มาถึงหน้าบริษัท
“พวกคุณขึ้นไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะย้ายของเอง”
คิมคังอูจอดรถตรงหน้าตึกพลางเอ่ย
“ไม่เป็นไร นายจะถือเข้าไปคนเดียวได้ยังไงล่ะ เดี๋ยวฉันช่วยเอง”
อินซอบยื่นเสื้อคลุมตัวนอกให้อีอูยอนก่อนจะเอ่ย อีอูยอนไม่แม้แต่จะทำเป็นเห็น และลงจากรถไปก่อน จากนั้นเขาก็เปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับและยกกล่องขึ้นมา อินซอบบอกว่า ‘ผมถือเองครับ’ และยื่นมือออกมาข้างๆ แต่อีอูยอนก็ทำเป็นไม่ได้ยิน คิมคังอูเองก็ลงจากรถมายกกล่อง และเดินตามหลังอีกฝ่ายไป
“ผม…”
“ช่วยกดลิฟต์ให้หน่อยได้ไหมครับ”
ได้ยินอีอูยอนร้องขอดังนั้น อินซอบจึงรีบวิ่งไปกดปุ่ม จากนั้นก็รีบวิ่งออกมา และยื่นมือขอให้อีอูยอนส่งกล่องให้
“ขอนะครับ นี่เป็นเรื่องที่ผู้จัดการส่วนตัวต้องทำครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ ผมไม่รู้เลยนะเนี่ย”
อีอูยอนเดินผ่านอินซอบไปอย่างหน้าตาเฉย อินซอบทำตัวไม่ถูก และยืนกำเสื้อคลุมตัวนอกของอีอูยอนอยู่ข้างๆ
ลิฟต์ที่ขึ้นมาจากลานจอดรถชั้นใต้ดินมีคนเต็มอยู่ก่อนแล้ว
“ขึ้นทางนี้เลยค่ะ”
คนที่จำอีอูยอนได้หลบให้เขา พอคิมคังอูและอีอูยอนเข้าไปพร้อมกล่อง ภายในลิฟต์ก็ไม่เหลือพื้นที่ให้ก้าวเข้าไปอีกแล้ว
“ขึ้นไปก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมจะขึ้นตัวถัดไป และไปที่บริษัทเลยครับ”
อินซอบถอยไปข้างหลัง เพราะกลัวว่าคนอื่นจะรอ ประตูลิฟต์ปิดลงโดยที่อีอูยอนไม่ทันได้พูดอะไร
“ช่วยกดชั้นสิบสองด้วยครับ”
พนักงานที่ยืนอยู่หน้าแผงปุ่มกดลิฟต์ช่วยกดปุ่มให้
“ขอบคุณครับ”
“ดูเหมือนว่าเมื่อกี้กรรมการผู้จัดการจะออกไปที่ไหนสักที่นะคะ”
พนักงานที่จำคิมคังอูได้ยิ้มพลางเอ่ย
“โอ๊ย ทำไมผมต้องมาเพื่อเจอหน้ากรรมการผู้จัดการด้วยล่ะครับ ผมเอาของมาเก็บต่างหาก”
แม้จะเพิ่งทำงานได้ไม่นานเท่าไร แต่คิมคังอูก็พูดคุยกับคนอื่นได้อย่างไม่เขินอาย
“จะว่าไปพวกผู้จัดการส่วนตัวของคุณอีอูยอนนี่ดีจังเลยนะคะ เพราะคุณใจดีแบบนี้”
อีอูยอนตอบว่า ‘ไม่หรอกครับ’ และฉีกยิ้มสุภาพซึ่งเป็นรอยยิ้มที่น่าจะโดนผลักไปข้างหลังถ้าหัวหน้าทีมชาได้เห็น
“พวกเราลงก่อนนะคะ”
คนที่ขึ้นลิฟต์มาทั้งหมดลงที่ชั้นสาม ประตูปิดลงในระหว่างที่คิมคังอูก้มหัวร่ำลา อีอูยอนกดปุ่มปิดค้างไว้
“ขอบคุณที่ช่วยนะครับ นี่เป็นงานที่ผมต้องทำแท้ๆ”
“นั่นสิครับ”
ได้ยินอีอูยอนตอบดังนั้น คิมคังอูก็ร้องเอ๊ะและหันหน้าไปหาอีกฝ่าย อีอูยอนทำหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากยามปกติ
“ดูเหมือนคุณจะตั้งใจออกกำลังกายจริงๆ นะครับ กล่องหนักพอสมควรเลย แต่คุณกลับถือเหมือนเบา”
คิมคังอูพูดคุยด้วยอารมณ์ขันพลางเอ่ยชมอีอูยอน
“หนักเหรอครับ”
“ครับ?”
“เหมือนแขนจะสั่นนะครับ”
อีอูยอนตอบในขณะที่ถือกล่องซึ่งเต็มไปด้วยโบรชัวร์สามกล่องอย่างสบายๆ ใบหน้าของเขาแยกได้ยากมากกว่าพูดจริงหรือพูดเล่น
ทันทีที่สบตากัน อีอูยอนก็ยิ้มร่า แต่ไม่รู้ทำไมคิมคังอูถึงทำตัวไม่ถูกด้วยความประหม่า
เขานึกถึงคำเตือนที่เคร่งครัดของพี่เขยทั้งสองที่บอกว่าห้ามยุ่งเกี่ยว พูดคุย และคบค้าสมาคมกับอีอูยอน ตอนที่เขาได้ยินเรื่องพวกนั้นเป็นครั้งแรก เขานึกว่าอีอูยอนจะเป็นคนนิสัยไม่ดีต่างกับที่แสดงให้เห็น แต่อีอูยอนก็เป็นเหมือนที่เห็นในหน้าจอ ไม่สิ เขาเป็นมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ถ้าดูจากการกระทำที่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อผู้จัดการส่วนตัวแล้ว เขาก็เป็นคนดีมากๆ ถ้าตัวเขาไม่โดนพวกพี่เขยสั่งห้ามไม่ให้พูด เขาคงจะไปกระจายเรื่องที่น่าประทับใจเกี่ยวกับอีอูยอนทุกวัน
แต่บางครั้ง…
“ไม่ลงเหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามทันทีที่ประตูเปิดออก คิมคังอูถือกล่องและรีบออกจากลิฟต์อย่างร้อนรน
“ให้วางไว้ตรงไหนเหรอครับ”
“เขาบอกให้เก็บไว้ในห้องเก็บของก่อนน่ะครับ”
อีอูยอนไม่ตอบอะไร และเดินนำหน้าไป
เขาก็เป็นแบบนี้ บางครั้งพอได้อยู่กันตามลำพัง ท่าทีของอีอูยอนก็ดูเย็นชาอย่างน่าประหลาด
คิดไปเองหรือเปล่านะ
คิมคังอูเอียงคอไปมาก่อนจะเดินตามหลังอีอูยอนไป
“วางไว้ตรงนี้เหรอครับ”
“ครับ วางไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้ครับ คุณผู้ช่วยบอกว่าเดี๋ยวเขาจะมาจัดการเองคะ…”
อีอูยอนโยนกล่องทิ้งและสะบัดชายเสื้อก่อนที่คิมคังอูจะพูดจบ ด้วยเหตุนั้นโบรชัวร์สองสามแผ่นจึงตกลงมาบนพื้น คิมคังอูรีบวางกล่องลง และเก็บกระดาษให้เรียบร้อย
ในระหว่างนั้นอีอูยอนก็เดินออกไปนอกห้องเก็บของเรียบร้อยแล้ว คิมคังอูเกาหัวด้วยสีหน้าอับอายพลางคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า
ตอนนั้นเองประตูห้องเก็บของก็ถูกเปิดอีกครั้ง
“มีไฟแช็กไหมครับ”
อีอูยอนถือกล่องบุหรี่ไว้ในมือ
“ไม่มีครับ ผมไม่สูบบุหรี่ เพราะออกกำลังน่ะครับ”
อีอูยอนหันกายจากไปราวกับหมดความสนใจ
“ฮยองนิมบอกว่าห้ามสูบ เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ…”
อีอูยอนหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนเกินบรรยาย รอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากที่ได้รูปของเขา
“ผมดูสุขภาพไม่ดีเหรอครับ”
คิมคังอูผงะไปเพราะความน่าเกรงขามของอีกฝ่าย อีอูยอนไม่ได้โมโห หรือขึ้นเสียงด้วยซ้ำ แต่เขากลับใจเสียโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกเหมือนเป็นฟางข้าวบางๆ ที่ถูกวางไว้ข้างไฟร้อนๆ
“ปะ เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้นครับ”
คิมคังอูโบกมือทั้งสองข้างเพื่อปฏิเสธ อีอูยอนทอดสายตามองคิมคังอูนิ่งๆ
คิมคังอูถูมือที่ชื้นเหงื่อเข้ากับกางเกง นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่คณะกีฬาเขาได้เจอกับคนที่โหดเหี้ยมและมีนิสัยน่ากลัวมามากมาย แต่เขากลับไม่เคยได้รับความรู้สึกนี้เลยสักครั้ง
“แต่เหมือนคราวก่อนคุณจะกินยา…”
“อ้อ แต่เหมือนคราวก่อนคุณจะกินยา”
อีอูยอนทำตาหยีและพูดตามคิมคังอู คิมคังอูขนลุกซู่ เขารู้สึกเหมือนมีงูตัวใหญ่เลื้อยจากเท้าของเขาขึ้นมาตามลำตัว
อะไรเนี่ย ทำไมถึงได้น่ากลัวขนาดนี้
‘ระวังปากต่อหน้าอีอูยอนด้วยล่ะ ระวังปากโดยไม่มีข้อแม้ แค่ระวังปากไว้ก็พอ หมอนั่นเป็นคนที่กำลังยิ้ม แต่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรน่ากลัวหรือเปล่า…’
คิมคังอูนึกถึงคำชี้แนะที่เป็นเหมือนกฎที่ต้องรักษาอย่างเคร่งครัดที่พี่เขยคนที่สองพูดให้ฟัง เขาต้องการที่จะมีชีวิตรอดตามสัญชาตญาณ
“อ้อ จริงด้วยสิ ฮยองนิมบอกว่าวันนี้จะไปเดทน่ะครับ”
“คุณอินซอบเหรอครับ”
อีอูยอนถามกลับ
“ครับ อากาศก็ดี แถมยังได้เลิกงานเร็วอย่างที่ไม่ได้มีมานานด้วย ก็เลยบอกว่าจะไปเดทน่ะครับ จะไปที่ดีๆ หรือเปล่านะ”
‘พูดเรื่องอินซอบไปโดยไม่มีข้อแม้เลย แต่อย่าให้เขารู้สึกว่านายสนิทกับอินซอบนะ พูดถึงของที่อินซอบกิน สิ่งที่อินซอบเล่น หรืออย่างน้อยพูดมุกตลกไร้สาระที่อินซอบเล่นก็ได้ แล้วนายจะรอด’
แม้จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่คิมคังอูก็พูดเรื่องของอินซอบไปตามที่ถูกแนะนำ
“คุณอินซอบพูดแบบนั้นเหรอครับ”
บรรยากาศที่ห้อมล้อมอีอูยอนไว้อย่างแปลกประหลาดเบาลงอย่างเห็นได้ชัด
“ครับ พูดเมื่อกี้เองครับ”
ไม่ต้องพูดเรื่องที่เขาบอกว่าช่วงนี้บรรยากาศกับคนรักไม่ดีก็ได้มั้ง คิมคังอูพึมพำต่อ
“ผมบอกให้เขาไปเที่ยวที่ริมแม่น้ำฮันน่ะครับ เห็นว่าอากาศดี”
อีอูยอนเหลือบมองนอกหน้าต่างเพื่อเช็กสภาพอากาศ
“ดีจริงๆ ด้วยครับ”
อีอูยอนโยนกล่องบุหรี่ลงถังขยะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็เดินออกไป คิมคังอูเอียงคอไปมา เมื่อเห็นภาพด้านหลังของอีกฝ่ายที่ดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างประหลาด และเดินตามหลังไป
“ให้ไปส่งที่บ้านไหมครับ”
“ไม่ต้องครับ เลิกงานก่อนได้เลยครับ”
“เอารถมาเหรอครับ”
วันนี้เป็นวันที่อีอูยอนเอารถมาทำงานอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ
“ผมจะกลับเองครับ ไม่ต้องห่วง”
เมื่อประตูลิฟต์เปิด อีอูยอนเข้าลิฟต์ไปก่อน และกดไปยังชั้นที่เป็นห้องทำงาน
“งั้นผมกับฮยองนิมขอเลิกงานก่อนนะครับ”
ขณะที่คิมคังอูพูดพลางทำท่าจะก้าวเข้ามาในลิฟต์
“คุณคังอู”
การออกเสียงนั้นชัดเจนมาก แม้กระทั่งผู้ประกาศก็ยังต้องยอมแพ้ให้กับความสามารถของอีอูยอน
“ครับ คุณนักแสดง”
คิมคังอูตอบกลับด้วยเสียงขึงขัง
“แย่แล้ว ดูเหมือนผมจะลืมมือถือไว้ในห้องเก็บของน่ะครับ”
อีอูยอนค้นกระเป๋าและทำสีหน้าเป็นทุกข์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขอร้องก่อน
“เดี๋ยวผมจะไปหาให้ครับ”
คิมคังอูออกจากลิฟต์ไปอย่างยินดี
“เดี๋ยวหาเจอแล้ว…”
เขากำลังจะพูดว่า ‘จะตามไป’ ถ้าอีอูยอนไม่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเริ่มกดโทรออกเสียก่อน
“อะ…”
สถานการณ์ที่งงงวยทำให้คิมคังอูพูดอะไรไม่ออก อีอูยอนอุทานสั้นๆ เหมือนเพิ่งรู้สึกตัว
แล้วหลังจากนั้น
“หาเจอแล้วครับ”
รูปตายืดขยายออกอย่างง่ายดายก่อนจะวาดตัวเป็นเส้นโค้งสวยงามพลางส่งยิ้มให้ แล้วประตูก็ปิดลงทั้งอย่างนั้น