ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 2 ตอนที่ 4-12
น้ำเสียงที่นุ่มนวลของอีอูยอนต่ำลง เขาไม่รู้สึกถึงการล้อเล่นเหมือนปกติเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไม่ครับ ต้อง…”
เขาจะพูดว่าต้องไปสิครับ แต่กลับพูดไม่ออก
อินซอบนึกถึงภาพด้านหลังที่รักใคร่ของคนทั้งคู่ที่เห็นในลานจอดรถชั้นใต้ดินของโรงภาพยนตร์ และสายตาที่อีกฝ่ายมองเขาเมื่อวาน เขาอยากจะห้ามไม่ให้ไป ถึงเขาจะยังคิดไม่ออกว่าอยากกินอะไร แต่วันนี้เขาก็อยากจะกินข้าวที่ไม่ได้กินด้วยกันมานานกับอีกฝ่ายจริงๆ อินซอบหลับตาแน่นและลืมตาขึ้นมาทั้งที่ยังกำชายเสื้อเอาไว้
ในวินาทีที่เขากำลังจะแสดงความเห็นแก่ตัวที่โง่เขลาออกมา บทที่ถูกเสียบไว้ตรงช่องด้านข้างของที่นั่งคนขับก็โผล่เข้ามาในสายตาของอินซอบ มันคือบทที่เขายื่นให้อีกฝ่าย เขารู้ถึงความหมายของบทที่ถูกอ่านจนหน้าปกขาดรุ่งริ่งนั้น
“…ต้องไปอยู่แล้วสิครับ”
เป็นเขาเองที่บังคับให้อีกฝ่ายทนกับข่าวลือหลอกลวงเพื่อที่จะได้ร่วมเล่นละครตั้งแต่แรก
“การไปเยี่ยมด้วยตัวเองน่าจะดีกว่านะครับ”
อินซอบพูดต่อด้วยน้ำเสียงสุขุม
“ให้ผมไปด้วยไหมครับ ผู้จัดการส่วนตัวไปด้วยน่าจะดีกว่าหรือเปล่าครับ”
อีอูยอนมองอินซอบด้วยสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะหัวเราะในลำคอ
“ผมไม่อยากไปโรงพยาบาลกับคุณอินซอบครับ”
อินซอบเจ็บแปลบที่ใจ เพราะคำพูดทีเล่นทีจริงนั้น
“งั้นให้ผมสั่งช่อดอกไม้ไปส่งที่โรงพยาบาลไหมครับ”
“กลับมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยนะครับ พอแล้วล่ะครับ ทำไมผมต้องเอาดอกไม้ที่ไม่เคยให้คุณอินซอบไปให้ผู้หญิงคนนั้นด้วยล่ะครับ”
อีอูยอนปิดไฟฉุกเฉินก่อนจะออกรถอีกครั้ง
“ไม่จำเป็นต้องไปส่งที่บ้านหรอกครับ นั่งรถไฟไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว”
“ผมอยากไปส่งครับ”
ปากของอีอูยอนยิ้ม แต่ดวงตาของเขากลับไม่เป็นแบบนั้นเลยสักนิด อินซอบกล่าวขอบคุณ เพราะเขารู้ดีกว่าเขาไม่สามารถทำลายความตั้งใจของอีอูยอนได้ในเวลาแบบนี้
อากาศยามเย็นไหลเข้ามาผ่านหน้าต่างที่ถูกเปิดเอาไว้เล็กน้อย
“เมื่อกี้…”
อินซอบเป็นฝ่ายพูดก่อน อีอูยอนเลิกคิ้วแทนคำตอบ
“ที่บอกว่ามีเรื่องจะพูดน่ะครับ”
“อ๋อ เรื่องนั้น”
อีอูยอนหมุนพวงมาลัยเบาๆ
“ผมเป็นยังไงบ้างครับ”
“ครับ?”
“ถูกใจไหมครับ”
อินซอบไม่เข้าใจว่านี่มันคือสถานการณ์อะไรกันแน่ เขากะพริบตาก่อนจะถามกลับว่า ‘หมายถึงอะไรนะครับ’ อย่างลำบากยากเย็น
“ช่วงนี้ผมกำลังพยายามอยู่ เพราะอยากจะดูดีขึ้นในสายตาของคุณอินซอบน่ะครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างขี้เล่นเหมือนเด็กหนุ่ม
หัวใจของอินซอบเต้นตึกตัก จนเขากลัวว่าหัวใจที่ซ่อมแซมได้อย่างลำบากยากเย็นจะเกิดพังขึ้นมาอีกเพราะมันเต้นแรงเสียเหลือเกิน
“ถ้ามีอะไรที่ยังไม่ถูกใจก็บอกนะครับ ถ้าผมแก้ได้ ผมจะแก้ให้”
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกครับ”
อินซอบตอบเสียงเบา ทันใดนั้นอีอูยอนก็กุมมือข้างซ้ายของอินซอบเอาไว้ อินซอบตกใจพยายามจะชักมือออก แต่อีอูยอนกลับไม่ยอมปล่อย
“ข้างนอกมองไม่เห็นหรอกครับ”
“แต่…”
“งั้นผมจะจับจนกว่าจะถึงสะพานใหญ่บันโพครับ”
เขาหมุนพวงมาลัยรถด้วยมือข้างหนึ่งพลางเอ่ย พออินซอบขยับมือ อีอูยอนก็กางนิ้วออก และประสานมือเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น หัวใจของอินซอบแทบระเบิดจากอุณหภูมิที่ซึมผ่านซอกนิ้ว
เขาชอบผู้ชายคนนี้มาก และเพราะแบบนั้นเขาจึงเกิดความโลภ ความเห็นแก่ตัว และความกลัว แม้กระทั่งช่วงเวลาที่อีกฝ่ายแสดงความรักกับเขา เขาก็ยังกลัวว่าความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมนี้จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ดังนั้นเขาจึงอยากที่จะรวบรวมความกล้าออกไป
“คือ…”
อีอูยอนหันกลับมามองอยู่ครู่หนึ่ง และตอบรับการเรียกของอินซอบ
“ก่อนหน้านี้คุณเคยไปเจอกับคุณแชยอนซอบ้างไหมครับ”
เขาหวังว่าความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้จะเป็นความรู้สึกที่แท้จริง เหมือนอย่างที่เขาทำ
อินซอบรอคอยคำตอบของอีอูยอนด้วยความรู้สึกที่หวาดหวั่นเหมือนนักโทษที่กำลังจะถูกพิพากษา
“นอกจากงานที่เป็นทางการแล้ว วันนี้เป็นครั้งแรกครับ”
แสงสีส้มที่เข้ามาทางหน้าต่างฝั่งคนขับกระทบกับเส้นผมของอีอูยอน มันงดงามราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่ง อินซอบกะพริบตาอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล
มือที่จับกันอยู่ให้ความรู้สึกอุ่น และสายตาของผู้ชายที่กำลังมองมาทางเขาเป็นระยะก็อ่อนโยน เขามองไม่เห็นท่าทีว่าอีกฝ่ายกำลังโกหก หรือปิดบังอะไรอยู่เลย อีอูยอนลูบไล้นิ้วของอินซอบที่ประสานกันอยู่ทีละนิ้ว
“ผมชอบจังครับ”
คำพูดที่ดูเหมือนจะพูดกับตัวเองของอีอูยอนนั้นอินซอบไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้เลย
***
“วันนี้อากาศดีจังเลยนะครับ ดูท้องฟ้าที่สดใสนั่นสิครับ เป็นวันที่เหมาะจะซื้อคิมบับไปนั่งเล่นที่แม่น้ำฮันมากเลย”
คิมคังอูเหยียดร่างกายที่เมื่อยล้าพลางเงยหน้ามองท้องฟ้า
“วันนี้ไม่ไปไหนเหรอครับ”
“หืม?”
ตอนนั้นเองอินซอบที่จมอยู่กับความคิดถึงได้เงยหน้าขึ้นมา
“นานๆ จะได้เลิกงานเร็วสักทีนี่ครับ ก็ต้องไปเดทสิ แต่มันเป็นช่วงเช้าของวันธรรมดานี่นา แฟนของฮยองนิมคงไม่ว่าง”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก…”
“งั้นก็ไปเจอกันสิครับ ช่วงนี้งานเสร็จดึกอยู่เรื่อย น่าจะเจอกันได้ยาก”
พวกเขาเจอหน้ากันทุกวันต่างหาก อินซอบอ้ำอึ้งก่อนจะพึมพำว่า ‘อย่างนั้นเหรอ’
“ทะเลาะกันเหรอครับ”
“…ไม่ได้ทะเลาะกันหรอก”
เมื่อวานเขานอนแทบไม่หลับ และพลิกไปพลิกมาทั้งคืน
ก่อนหน้านี้อีอูยอนได้เจอกับแชยอนซอแน่ๆ แล้วทำไมอีกฝ่ายต้องโกหกเขาด้วยล่ะ อินซอบถอนหายใจก่อนจะเอ่ยเรียกอีกฝ่ายว่า ‘คังอู’
“ครับ ฮยองนิม”
“ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหม ถ้าเป็นคำถามที่ลำบากใจที่จะตอบก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะ”
“โอ๊ย นอกจากรหัสสมุดบัญชีเงินฝากแล้ว ผมจะบอกทุกเรื่องเลยครับ มีอะไรเหรอครับ ถามมาเลยครับ”
คิมคังอูตอบรับอย่างไม่เหนียมอาย
“คนที่เคยคบกันก่อนหน้านี้เคยโกหกนายไหม แต่ไม่ใช่คำโกหกที่ไม่ดีอะไรนะ”
อินซอบถามคิมคังอูอย่างระมัดระวังอย่างมาก
เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เกินความสามารถของอินซอบ เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และไม่ว่าเขาจะคิดเท่าไรก็ไม่ได้คำตอบ คนที่เขาจะสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องแฟนได้รอบๆ ตัวก็มีแค่คิมคังอูเท่านั้น
“เคยอยู่แล้วครับ”
คิมคังอูแสยะยิ้ม อินซอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“คนเราจะพูดแต่ความจริงทุกวันได้ยังไงกันล่ะครับ”
“งั้นเหรอ”
เขาคงมีเหตุผลอะไรบางอย่าง อินซอบตอบรับแล้วพูดแบบนั้นกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา เขาไม่อยากสงสัยอีอูยอน
“แต่มันก็มีลางนะครับ”
“ลางอะไรเหรอ”
“ผมเล่นเทควอนโดจนถึงช่วงม.ปลายน่ะครับ แต่ก็ไปได้ไม่สวย เพราะอาการบาดเจ็บ ผมก็เลยเข้าวิทยาลัยพละโดยไม่คิดอะไรมาก ผมไม่มีสิ่งที่อยากทำ ไม่เคยคิดเกี่ยวกับอนาคต คงจะดูน่าสมเพชในมุมของแฟนน่ะครับ”
อินซอบรู้สึกเจ็บแปลบกับคำพูดที่บอกว่าไม่มีสิ่งที่อยากทำ และไม่ได้มีความกังวลอะไรเป็นพิเศษ
“เธอคงจะเริ่มเหนื่อยขึ้นทีละนิด เพราะอย่างนั้นเธอก็เลยแสดงเค้าลางต่างๆ ออกมาให้เห็นทีละน้อยน่ะครับ ทั้งเลื่อนนัด หรือบอกว่าติดต่อไม่ได้ หรือโกหกอย่างที่พูดถึงเมื่อกี้นี้”
“โกหกแบบไหนเหรอ”
“ก็อย่างเช่นบอกว่านอนแล้ว แต่ออกไปที่ไหนสักที่ หรือไม่ก็บอกว่าไปห้องสมุดคนเดียว แต่กลับไปดูหนังกับน้อง สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และเป็นเรื่องที่คิดว่าทำไมต้องโกหกด้วยล่ะน่ะครับ”
“…”
“พักหลังๆ ผมสงสัยในตัวเธอบ่อยมาก แย่ที่สุดเลยใช่ไหมล่ะครับ สุดท้ายพวกเราก็เลิกกันไปน่ะครับ”
“…แฟนเป็นคนขอเลิกก่อนเหรอ”
“ครับ”
คิมคังอูพยักหน้าอย่างเศร้าๆ
“ดังนั้นผมก็เลยรู้สึกเสียใจน่ะครับ”
“อะไรเหรอ”
“ผมรู้นะครับว่ามันจบไปแล้ว แต่ผมก็มองข้าม เพราะไม่อยากจะยอมรับความจริงนั้น เธอถามผมหลายครั้งมากเลยครับ ว่าไม่มีอะไรที่อยากจะพูดเหรอ ผมต้องเป็นคนบอกเลิกด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายผมก็โยนบทตัวร้ายให้เธอไป ผมรู้สึกผิดมากๆ เลยครับ”
คิมคังอูพึมพำด้วยสีหน้าอ่อนล้าอย่างไม่เหมือนปกติ
“นายทำดีที่สุดแล้วล่ะ”
“การทำดีที่สุดไม่ได้ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนะครับ สิ่งที่เรียกว่าการคบหาดูใจกันน่ะ”
“…นั่นสินะ”
พออินซอบตอบรับอย่างอ่อนแรง คิมคังอูก็เผยสีหน้าเป็นห่วง
“ทำไมจู่ๆ ถึงถามล่ะครับ ความสัมพันธ์กับแฟนสาวไม่ค่อยดีเหรอครับ”
“ไม่รู้สิ”
ถ้ามองแค่ท่าทีของอีอูยอนละก็ ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีมากๆ
อีกฝ่ายทั้งอ่อนโยน อ่อนหวาน และทำตัวเป็นสุภาพบุรุษจนเขาคิดว่าฝ่ายนั้นเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วหรือเปล่า
“แต่คบกันนานแล้วนะครับ ความสัมพันธ์ของคนเราก็มีทั้งวันที่ดี และวันที่มืดครึ้มเหมือนกับอากาศแหละครับ เธอไม่ได้ไม่อยากเจอ หรือว่าทำตัวเย็นชาใส่ใช่ไหมครับ”
“อืม ไม่นะ ไม่เลย เขาอ่อนโยนมากๆ”
อินซอบส่ายหน้าอย่างตั้งใจ และปฏิเสธเสียงแข็ง คิมคังอูหัวเราะ เขาโบกมือพร้อมกับพูดว่า ‘พอแล้วครับ’ จากนั้นเขาก็ลดเสียงลงก่อนจะพูดต่อ เพราะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“นี่เป็นเรื่องที่ผมได้ยินมาจากพวกเพื่อนๆ นะครับ ถ้าไม่ยอมทำเรื่องนั้นด้วยละก็ ชัวร์ครับ”
“เรื่องนั้น?”
คิมคังอูใช้มือป้องปากก่อนจะพูด เพราะกลัวว่าใครจะมาได้ยิน
“เรื่องอย่างว่าไงครับ ถ้าเริ่มเบื่อหน่าย จำนวนครั้งที่มีอะไรกันก็จะลดลงน่ะครับ”
อินซอบพยายามนึกว่าเขาทำเรื่องแบบนั้นกับอีอูยอนครั้งสุดท้ายเมื่อไร จำนวนครั้งที่มีอะไรกันในตอนที่ทำครั้งสุดท้ายเยอะถึงขนาดที่นับไม่ได้ด้วยสองมือ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเกือบจะหนึ่งเดือนก่อน
…นี่เป็นกรรมตามสนอง เพราะคนที่ขอให้ระวังตัวก็เป็นเขาเอง พอมันตรงกันกระทั่งเรื่องแบบนี้ ส่วนหนึ่งในจิตใจของเขาก็เย็นวาบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ได้ยินมาว่าจะไม่อยากให้จับมือด้วยครับ”
อินซอบก้มลงมองมือของตัวเอง เขานึกถึงอีอูยอนที่ขับรถพร้อมกับจับมือประสานกันไปด้วย งั้นก็คงยังไม่เบื่อหรอกมั้ง
แม้จะสมเพชตัวเองที่โล่งใจเพราะความคิดแบบนั้น แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาชอบอีอูยอน แค่นั้นจริงๆ
“คุยอะไรกันจริงจังขนาดนั้นอยู่เหรอครับ”
อินซอบกลั้นหายใจดังเฮือก เพราะเสียงที่ได้ยินจากทางด้านหลังอย่างกะทันหัน
“สัมภาษณ์เสร็จแล้วเหรอครับ”
“ครับ วันนี้เสร็จเร็วน่ะครับ”
แม้คิมคังอูจะเป็นคนถาม แต่อีอูยอนกลับมองอินซอบก่อนจะเอ่ยตอบ
“งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปร่ำลาด้านในหน่อยนะครับ”
อินซอบจะเข้าไปในคาเฟ่ แต่อีอูยอนกลับขวางหน้าไว้ และส่งสายตาหาคิมคังอู
“ผมจะไปเอารถมาเดี๋ยวนี้เลยครับ”
คิมคังอูหลบฉากไปอย่างคนช่างสังเกต พอเหลือกันอยู่สองคน อีอูยอนกอดอกมองอินซอบพร้อมกับยิ้มออกมา
“นอนไม่หลับเหรอครับ ตาบวมเชียว”
อีอูยอนใช้นิ้วโป้งลูบไล้ใต้ตาที่แดงเล็กน้อยของอินซอบเบาๆ
“เอ่อ ครับ นิดหน่อย…”
อินซอบรีบหันหน้าหนี เพราะรู้สึกถึงความร้อนวูบตรงบริเวณตา
“มัวแต่ทำอะไรอยู่”
“ผมอ่านหนังสือนิดหน่อยก็เลยนอนดึกน่ะครับ”
“หนังสืออะไรล่ะ หนังสือโป๊หรือเปล่า”
แม้จะรู้ดีว่าไม่มีหนังสือผู้ใหญ่วางอยู่บนชั้นวางหนังสือของอินซอบแม้แต่เล่มเดียว แต่อีอูยอนก็ยังเอ่ยถามอย่างเย้าแหย่
“มะ ไม่ใช่นะครับ ผมไม่อ่านอะไรแบบนั้นหรอกครับ”
“ถ้าอ่านแล้วจะเป็นอะไรไปล่ะครับ ถ้ามีเรื่องที่สนุกๆ ก็ให้ผมยืมด้วยนะครับ ผมจะลองอ่านดู”
“…ถึงจะไม่ได้อ่าน แต่ถ้าหาเจอ ผมจะเอามาให้ยืมนะครับ”
อีอูยอนมองอินซอบที่ตอบอย่างจริงจัง แม้แต่กับการล้อเล่นแบบนี้พลางกลั้นขำ
รถตู้สีดำมาถึงแล้ว อินซอบรีบเปิดประตูให้
“ผมก็มีมือนะครับ คราวหลังห้ามเปิดให้”
คิมคังอูอดไม่ได้ที่จะประทับใจกับคำพูดที่อีอูยอนพูดขณะเข้ามาในรถ เขาไม่มีทางรู้ว่าความจริงแล้วทุกครั้งที่ขึ้นรถตู้ที่หัวหน้าทีมชาขับ อีอูยอนจะปล่อยมือทั้งสองข้างที่สมบูรณ์ดีเอาไว้ และไม่กระดิกแม้แต่นิ้วเดียว
พออินซอบเปิดประตูทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับ คิมคังอูก็ส่ายหน้า
“วันนี้ฮยองนิมนั่งข้างหลังนะครับ นี่เป็นโบรชัวร์ที่ผู้ช่วยโจฝากมาน่ะครับ ผมเพิ่งไปรับมาก่อนที่จะจอดรถเมื่อสักครู่นี้ เพราะร้านอยู่แถวๆ นี้พอดี ผมเอามาวางไว้ข้างหน้าเพราะฉุกละหุกน่ะครับ”
คิมคังอูชี้ไปที่กล่องที่วางอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับพลางเอ่ย
“ฉันจะเอาไปไว้ข้างหลังเอง”
พออินซอบกำลังจะย้ายกล่อง อีอูยอนก็เปิดประตูออกกว้าง
“ขึ้นมาสิครับ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมย้ายแล้วไปนั่งข้างนะ…”
“เมื่อไรจะย้ายเสร็จล่ะครับ ผมเหนื่อยแล้ว”
อีอูยอนเอ่ยเร่งด้วยใบหน้าที่ไม่รู้สึกถึงความอ่อนล้าเลยสักนิด
อินซอบเอากล่องกลับไปวางไว้ที่เดิม และขึ้นไปตรงที่นั่งด้านหลังโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ คิมคังอูบอกว่า ‘จะออกรถแล้วนะครับ’ ก่อนจะหมุนพวงมาลัย อินซอบล็อกเข็มขัดนิรภัยก่อนจะมองไปด้านหน้า ส่วนอีอูยอนก็กางหนังสืออ่านด้วยความเคยชิน แม้ระยะห่างระหว่างที่นั่งของพวกเขาจะอยู่ในระยะที่คนน่าจะเดินผ่านได้ แต่อินซอบกลับรู้สึกประหม่าอย่างประหลาด