ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 2 ตอนที่ 3-6
อีอูยอนเอ่ยถามในสภาพที่ตาปรือเปิดเพียงครึ่ง ปลายจมูกของพวกเขาแตะกันอย่างน่าหวาดเสียว
“แต่ตารางงานพรุ่งนี้เริ่มแต่เช้า…”
“เพราะงั้นผมถึงได้ชวนค้างไงครับ ทำไมต้องไปกลับให้ยุ่งยากด้วยล่ะ”
อินซอบส่ายหน้า ดูเหมือนว่านักข่าวแปลกๆ คนนั้นที่เขาเจอเมื่อไม่กี่วันก่อนจะกำลังยืนเฝ้าอยู่หน้าบ้าน
“คุณกังวลใจและเป็นแบบนี้เพราะข่าวใช่ไหมครับ ข่าวนั่นไม่ใช่เรื่องของผมสักหน่อย เป็นเรื่องของแชยอนซอต่างหาก คุณก็รู้นี่ครับ”
เมื่อเห็นสีหน้าของอินซอบหมองลงไปอีกครั้ง อีอูยอนก็ปลอบอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องระวังไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีนะครับ”
หมู่นี้อินซอบรับรู้ได้เลยว่าความสามารถด้านการจินตนาการของตนยอดเยี่ยมแค่ไหน เขามีความสามารถที่โดดเด่นในการจินตนาการฉากแย่ๆ เป็นพิเศษ
“ถึงจะโดนถ่ายรูป แต่ถ้าบอกว่านอนค้างเพราะมีตารางงานตอนเช้าก็ไม่มีใครคิดว่าแปลกแล้วล่ะครับ มันเป็นเรื่องปกติจะตายไป”
อีอูยอนพูดคำโกหกที่ไม่น่าเชื่อถือด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาสาบานเลยว่าในระหว่างที่ทำงานในฐานะนักแสดง นอกจากอินซอบแล้วเขาไม่เคยพาผู้จัดการส่วนตัวเข้าบ้านเลยสักครั้ง แม้แต่หัวหน้าทีมชาที่จะเอาเอกสารมาให้ เขายังให้อีกฝ่ายเข้ามาถึงประตูหน้าบ้านแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
“ก็เผื่อไว้ยังไงล่ะครับ”
อินซอบไม่อาจเออออไปกับคำพูดของอีอูยอนได้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มักจะคิดอะไรแปลกๆ
“…ผมต้องให้ข้าวแมวน่ะครับ”
อินซอบหยิบยื่นข้ออ้างอื่นให้ฟังทันทีด้วยน้ำเสียงบางเบา อีอูยอนหรี่ตาลงแวบหนึ่งก่อนอมยิ้มให้กับความคิดที่อยู่ในหัวทันที
“พวกแมวนี่ดีจังเลยนะครับ คุณอินซอบใส่ใจพวกมันมากถึงขนาดนี้”
“มะ ไม่ใช่นะครับ ผมแค่ให้น้ำกับอาหารเป็นบางครั้งเท่านั้นเอง”
“บางทีถ้าไม่มีคุณอินซอบ แมวพวกนั้นก็คงจะอดตายนะครับ”
“ครับ?”
อินซอบทำสีหน้าเป็นเชิงถามว่าพูดเรื่องน่ากลัวอะไรออกมา
“ผมได้ยินมาว่าปกติแล้วแมวที่มีคนให้อาหารหนึ่งครั้งจะไม่สามารถหาอาหารกินเองได้น่ะครับ คุณไม่รู้เหรอ”
“ครับ ผมไม่รู้เลย …เมื่อวานผมก็ไม่ได้ให้ด้วย เพราะมันดึกมากแล้ว ทำยังไงดีล่ะครับ”
อินซอบกระวนกระวายอย่างกับว่าแมวจะอดตายในทันที อีอูยอนจับมืออินซอบและพยุงอีกฝ่ายขึ้นมา
“เพราะฉะนั้นคุณอินซอบต้องดูแลมันตลอดไปนะครับ ห้ามไปไหนเลยนะ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อีอูยอนหยีตาเล็กน้อยราวกับพออกพอใจ การเพิ่มเหตุผลที่ทำให้อินซอบไม่สามารถไปจากเกาหลีได้ทีละอย่างเป็นวิธีที่ดี
“งั้นรีบกลับไปก่อนที่จะดึกเถอะครับ พวกแมวน่าจะรอคุณอยู่”
อีอูยอนหยิบเสื้อคลุมที่อีกฝ่ายพาดไว้กับเก้าอี้ขึ้นมา และสวมให้อินซอบ อินซอบงงเล็กน้อยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเขาก่อนจะสวมเสื้อคลุม
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
อีอูยอนมองอินซอบที่เอ่ยลาและพุ่งออกไป จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความต้องการที่กดไว้อย่างยากลำบากกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา
ถ้าได้กินสักคำก็คงจะดี
อีอูยอนยืนพิงประตูพลางยิ้มและโบกมือให้
“ฝากทักทายพวกแมวด้วยนะครับ”
“ครับ ผมจะบอกให้นะครับ”
อินซอบทำหน้าเหมือนมีภารกิจสำคัญ และหายลับไปจากประตูหน้าบ้าน อีอูยอนได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ห่างออกไป จากนั้นเขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออก
นี่คงเป็นคืนที่เขานอนหลับไม่ได้ง่ายๆ
***
“ถึงแล้วครับคุณลูกค้า”
อินซอบซึ่งหลับไม่สนิทสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจเพราะเสียงของคนขับรถแท็กซี่
“ขอโทษครับ”
“ดูเหมือนจะเหนื่อยมากเลยนะครับ”
อินซอบหยิบธนบัตรหมื่นวอนจากกระเป๋าสตางค์ยื่นให้ หลังจากได้รับเงินทอนแล้ว อินซอบก็บอกลาคนขับรถแท็กซี่อย่างตรงไปตรงมา
“ขอให้ขับรถอย่างปลอดภัยนะครับ ขอบคุณมากครับ”
อินซอบลงจากรถแท็กซี่และขึ้นไปที่บ้าน ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในบ้าน ขาของเขาก็หมดแรง เขานอนหลับไม่สนิทมาสองสามวันแล้ว และต่อให้นอนอยู่ เขาก็จะตื่นขึ้นมาด้วยเกรงว่าจะมีข่าวอะไรถูกโพสต์ออกไป และใช้โทรศัพท์มือถือค้นหาชื่อของอีอูยอนทันที แม้จะเช็กจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีเรื่องสำคัญอะไร แต่เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ความกังวลใจของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนคนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ และสิ่งที่ยากที่สุดคือการที่เขาต้องแกล้งทำตัวนิ่งเฉยต่อหน้าอีอูยอน
วันนี้ตอนที่กรรมการผู้จัดการคิมเอาข่าวที่นักข่าวเขียนด้วยเจตนาร้ายให้ดู เขาคิดว่าหัวใจของเขาจะหยุดเต้นไปเสียแล้ว ตลอดทางที่ขับรถจากบริษัทไปที่บ้านของอีอูยอน เขาก็เอาแต่คิดถึงข่าวนั้น คังยองโมจะอ่านข่าวนั้นหรือเปล่านะ แล้วเขาจะใช้ข่าวนี้เผยแพร่ข่าวลือแปลกๆ หรือเปล่า แล้วถ้าอีอูยอนรู้เรื่องนั้น…
ใช่ว่าเขาจะไม่หวั่นไหวตอนที่อีอูยอนชวนให้นอนค้าง พรุ่งนี้เขาต้องขับรถตั้งแต่เช้ามืด เพราะมีงานที่ต่างจังหวัด ถ้าได้นอนเพิ่มอีกสักชั่วโมง เขาก็อยากจะขายวิญญาณให้ แต่เขาก็ได้แต่เตือนตัวเองว่าทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่อยากเห็นคนรอบข้างเจ็บตัวเพราะความอ่อนแอของเขาอีกเป็นครั้งที่สอง
“เราต้องตั้งสติสิ”
อินซอบตบแก้มตัวเองสองสามทีก่อนจะลุกขึ้น เขาอดทนต่อความยั่วยวนที่อยากจะตรงไปที่เตียงนอนในทันที และหยิบน้ำกับอาหารแมวขึ้นมา เขานึกถึงคำพูดของอีอูยอนที่บอกว่าแมวที่มีคนให้อาหารครั้งหนึ่งจะไม่สามารถหาอาหารกินเองได้ ระหว่างที่เดินขึ้นบันได เขาตั้งใจว่าต่อไปนี้ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน เขาก็ต้องเอาข้าวไปให้แมวกิน
ตอนที่เขาเดินขึ้นบันไดไปยังดาดฟ้าได้ประมาณครึ่งทาง เขาก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่บอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ อินซอบไม่คิดว่าเขาจะเจอใครในเวลาแบบนี้จึงยืนตัวแข็งอยู่กับที่
“อ๋อ ห้อง 501”
“สวัสดีครับ”
เป็นลูกชายของเจ้าของบ้านนั่นเอง ชายที่ดูเหมือนอายุจะเลยสี่สิบไปเล็กน้อยสวมกางเกงวอร์มกับเสื้อยืดย้วยๆ ทุกครั้งที่เจอ และเขากำลังสูบบุหรี่อยู่ ตอนนี้กลิ่นบุหรี่ที่มีกลิ่นควันเสียดแทงเข้ามาในจมูก แม้จะคิดว่าไม่ควรตัดสินคนที่ภายนอก แต่อินซอบกลับวางตัวลำบากเป็นพิเศษ และหลีกเลี่ยงชายตรงหน้า
“จะไปไหนในเวลานี้ล่ะ”
“จะไปดาดฟ้า…”
อินซอบรีบซ่อนอาหารสัตว์ไว้ข้างหลังพลางเอ่ยตอบ โชคดีที่บันไดมืด
“ดาดฟ้าเหรอ ไปทำไม”
อินซอบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า ‘ไปสูบบุหรี่ครับ’ ในขณะเดียวกันก็คิดว่าถ้ามีแค่ความสามารถด้านการโกหกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คงแย่แน่ ขืนยังหลอกคนอยู่แบบนี้ เขาคงได้รับโทษหนัก
“บุหรี่เหรอ ไอ้ของเล็กๆ นั่นมันบุหรี่อะไรกัน หน้าด้านกว่าที่เห็นนะเนี่ย”
ลูกชายเจ้าของบ้านว่าพลางยิ้มละไม อินซอบถามย้อนกลับไปว่า ‘ครับ?’ เขาไม่เข้าใจว่าหน้าด้านที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
“อย่าบอกนะว่าคนที่ไม่ยอมเก็บก้นบุหรี่ไปทิ้งมาตลอดคือนาย”
“ไม่ใช่นะครับ ถ้าสะ…สูบเสร็จแล้วผมจะทิ้งทันทีครับ”
แม้ว่าที่จริงเขาจะไม่สูบบุหรี่ แต่เขากลับเก็บก้นบุหรี่ไปทิ้งจนหมดเกลี้ยงเท่าที่เห็นด้วยกลัวว่าพวกแมวอาจจะกินเข้าไป
“นี่ นายได้เลี้ยงแมวหรือเปล่า”
“ครับ? ปะ เปล่าครับ”
อินซอบส่ายหน้าไปมา เขาไม่ได้โกหก หลังจากที่โลอิสมาคลอดลูกทิ้งไว้ที่ซอกดาดฟ้า อินซอบก็แค่มาจับจองพื้นที่ และเอาของกินมาให้เป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง แม้เขาจะเก็บกวาดให้เรียบร้อยอยู่เสมอ เพราะคิดว่าการที่เขาเอาของกินให้แมวอาจสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นได้ แต่หัวใจของเขาก็ยังเต้นแรงอยู่ดี
“โอเค งั้นต่อไปก็เก็บก้นบุหรี่ไปทิ้งให้ดีด้วยนะ”
อีกฝ่ายตบไหล่อินซอบพร้อมกับลงบันไดไป อินซอบรีบวิ่งขึ้นไปที่ดาดฟ้า เขามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นพวกแมวเลย อินซอบหยิบชามใส่อาหารออกมา และเทอาหารลงไป
“โลอิส โลอิส”
อินซอบเขย่าถุงพลาสติกที่ใส่อาหารไว้พลางเอ่ยเรียกแม่แมว เมื่อเขาทำแบบนี้ โลอิสควรจะพาพวกลูกๆ ออกมาจากตรงไหนสักที่แล้ว คำพูดของลูกชายเจ้าของบ้านที่เอาแต่พูดเรื่องแมวซ้ำไปซ้ำมาทำให้หัวใจของอินซอบส่งเสียงดังไม่หยุดด้วยความกังวลใจว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกแมว
“โลอิส…”
เขาได้ยินเสียงแมวร้องจากที่ไหนสักแห่ง พอหันไปมองด้านหลัง แม่แมวกับลูกแมวก็ปรากฏตัวขึ้น และเดินมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
“ฉันเป็นห่วงนะ มานี่เร็ว”
อินซอบเทอาหารใส่ชามจนเต็ม เขาเทน้ำใส่ถ้วยเปล่าและวางไว้ข้างกัน อินซอบมองพวกลูกแมวตั้งใจใช้ลิ้นเล็กๆ ดื่มน้ำอย่างมีความสุข แต่จู่ๆ เขาก็หันหน้าไป
“โลอิส ทำไมแกไม่กินล่ะ”
อย่าว่าแต่อาหารเลย มันไม่เข้ามาใกล้ๆ เขาด้วยซ้ำ แม่แมวยืนห่างออกไปไกลพลางส่งเสียงร้องเหมียวเบาๆ
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ ไม่สบายตรงไหนเหรอ”
อินซอบเดินเข้าไปอยู่ข้างๆ แม่แมวก่อนจะลูบหัวมัน แมวหลบมือของอินซอบพร้อมกับร้องเหมียว อินซอบขมวดคิ้วให้กับการกระทำที่ผิดปกติ เขามองมือของตัวเองก่อนต้องกลั้นหายใจ
“บาดเจ็บตรงไหนเหรอ ทำไมมีเลือดล่ะ”
อินซอบรีบอุ้มแม่แมวขึ้นมาและสำรวจให้ทั่ว แต่เขาไม่เจอแผลตรงไหนเลย อินซอบหันกลับไปมองพวกลูกแมว เขาไม่เห็นจอห์น มีบ้างเหมือนกันที่มันจะเข้ามากินอาหารช้า แต่เขาไม่อาจสลัดความรู้สึกไม่สบายใจนี้ทิ้งไปได้เลย
“จอห์นอยู่ไหน”
แม่แมวร้องเหมียวยาวๆ เหมือนเป็นคำตอบ อินซอบปล่อยแมวลง จากนั้นแม่แมวก็เริ่มเดินนำหน้าไปเหมือนจะสั่งให้เขาเดินตาม อินซอบเดินตามแม่แมวไป แม่แมวหยุดอยู่หน้าคอมเพรสเซอร์แอร์ที่กำลังหมุนส่งเสียงดังก่อนจะเงยหน้ามองอินซอบ เขามองเห็นขนลายทางอยู่ระหว่างคอมเพรสเซอร์แอร์
“จอห์น ทำไมถึงเข้าไปอยู่ตรงนั้นอีกแล้วล่ะ”
จอห์นตัวเล็กและอ่อนแอที่สุดจึงมักจะช้ากว่าลูกแมวตัวอื่นๆ เสมอ ถึงขนาดที่เขาต้องแยกอาหารออกมาให้ต่างหากในตอนที่กินอาหาร ด้วยเหตุนั้นอินซอบจึงใส่ใจจอห์นที่สุด
“จอห์น กินข้าวกัน มานี่เร็ว”
อินซอบเรียกชื่อเจ้าแมวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนอย่างที่ไม่ทำให้มันตกใจ แต่จอห์นกลับไม่ขยับเลย
“ถ้าไม่รีบกิน พี่น้องของนายจะ…”
อินซอบหยุดพูดทันที เขาเพิ่งรู้สึกได้ว่าร่างของจอห์นที่เขาคิดว่ากำลังหมอบอยู่ในซอกนั้นนอนแผ่อยู่ที่พื้น อินซอบยื่นมือเข้าไปช่องนั้น และจับลำตัวของลูกแมว จากนั้นก็ต้องขมวดคิ้วให้กับสัมผัสที่อุ่นและเป็นก้อน เขาเอาแมวออกมาอย่างยากลำบาก
“…”
ขณะที่เห็นภาพตรงหน้าเขาถึงกับสูญเสียการรับรู้ไปครู่หนึ่ง ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเห็นอะไร ขนสีขาวนุ่มเปียกชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม
“…เลือด”
มือที่จับร่างเล็กๆ ซึ่งเต็มไปด้วยเลือดนั้นสั่นระริก ข้างๆ กันนั้นแม่แมวได้ร้องเสียงแหลมและยาวพร้อมกับเอาตัวมาถูกับอินซอบ สมองของเขาขาวโพลน เขารู้สึกคลื่นไส้จนเหมือนจะอ้วก ร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดขยับขึ้นลงเบาๆ พร้อมเสียงหายใจแผ่วๆ เขาต้องทำอะไรสักอย่าง อินซอบใช้มือสั่นๆ ค้นกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
“ต้องโทรไปที่ 911 ไม่ใช่สิ 119 ต่างหาก โรงพยาบาลสัตว์ที่เปิด…”
อินซอบรีบค้นหาโรงพยาบาลรักษาสัตว์ยี่สิบสี่ชั่วโมง แม้เขาจะเจอโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ และต่อสายไปหา แต่กลับติดต่อทางโทรศัพท์ไม่ได้ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขาคิดว่าคงต้องหาที่อื่นจึงวางสายและพยายามค้นหาอีกครั้ง แต่เลือดก็ทำให้โทรศัพท์ลื่นหลุดจากมือและตกลงไปบนพื้น
อินซอบรีบหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาได้ปิดกั้นกางมองเห็นของเขาไปแล้ว อินซอบตบแก้มตัวเองอย่างแรง นี่ไม่ใช่เวลามาร้องไห้ ยิ่งเป็นช่วงเวลาแบบนี้ เรายิ่งต้องใจเย็นๆ สิ ถ้าช้าไปแม้แต่นิดเดียว จอห์นอาจจะตายไปทั้งๆ อย่างนี้เลยก็ได้
อินซอบนึกถึงคนที่จะสามารถช่วยตัวเองได้ เขาหาเบอร์โทรศัพท์อย่างใจเย็นและกดโทรออก