ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 2 ตอนที่ 3-4
เมื่อเหลืออินซอบอยู่เพียงลำพัง เขาก็ถอนหายใจและเอนตัวพิงเบาะรถ แม้จะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไหล่ของเขากลับปวดจนตึง เพราะต้องคอยระวังอีอูยอน แม้จะขอร้องไม่ให้อีกฝ่ายแตะเนื้อต้องตัวข้างนอก แต่เขากลับตกอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดเพราะไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะยื่นมือออกมาเมื่อไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นอีอูยอนก็ยังรักษาสัญญา แม้จะยังพูดจาล้อเล่น แต่ก็ไม่ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดเหมือนเมื่อก่อน
อินซอบหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาจากกระเป๋าและเริ่มค้นหา เขาเริ่มจากเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้น แฟนคาเฟ่ และเว็บบอร์ดคอมมูนิตี้ไปตามลำดับพร้อมกันนั้นก็ค่อยๆ ไล่สายตาไปตามกระทู้ที่มีชื่อของอีอูยอน
“โล่งอกไปที…”
เมื่อไม่สะดุดตาเข้ากับเรื่องแปลกๆ อินซอบเบาใจ จากนั้นเขาก็หาข่าวของอีอูยอนที่ถูกโพสต์ลงในเว็บไซต์ก่อนจะกดปุ่มไลก์ให้กับคอมเมนต์ดีๆ ในตอนนั้นเองเขาก็สะดุดตาเข้ากับคอมเมนต์ว่าร้าย คำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมที่เคยบอกว่าแอนตี้แฟนเพิ่มขึ้นนั้นเป็นความจริง อินซอบกดปุ่มดิสไลก์ทีละคอมเมนต์อย่างตั้งใจ
อินซอบทำอย่างนั้นอยู่สักพัก ก่อนจะรู้สึกปวดไหล่จนต้องเงยหน้าขึ้นมาดูเวลา เวลาผ่านไปประมาณสามสิบนาทีแล้ว โดยทั่วไปการสัมภาษณ์จะเสร็จภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง ถ้าเผื่อเวลาที่ใช้ถ่ายรูปเข้าไปด้วยก็ตั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่งกว่าจะเสร็จ ยังเหลือเวลาอีกสี่สิบนาที อินซอบปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะออกไปนอกตัวรถ เขาคิดว่าจะไปสำรวจรอบๆ คาเฟ่เสียหน่อย
เนื่องจากเป็นช่วงเช้าของวันธรรมดาคาเฟ่จึงเงียบมาก การสัมภาษณ์ได้ยืมอาคารย่อยของคาเฟ่ และยังอยู่ในระหว่างการสัมภาษณ์ แถวนี้จึงไม่มีใครเลยสักคน อินซอบที่มองไปรอบๆ และเจอรถยนต์สีดำจอดอยู่ข้างๆ ที่จอดรถของคาเฟ่ เขาร้อง เอ๊ะ พลางหรี่ตาลง เขาคุ้นตากับป้ายทะเบียน ถ้าจำไม่ผิด นี่คือรถที่เคยจอดอยู่ข้างๆ ตอนที่เขาออกมาจากด่านเก็บค่าผ่านทางอย่างแน่นอน …ไม่สิ เขาเห็นรถคันนี้ตรงสี่แยกก่อนที่จะขับเข้ามาที่นี่ด้วย อยู่หลังรถเขาเลยล่ะ
อินซอบเดินเข้าไปใกล้รถยนต์สีดำอย่างไม่ลังเล เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะเคาะกระจกฝั่งคนขับ กระจกรถถูกเลื่อนลง และผู้ชายที่มีหนวดเคราก็เอ่ยถามว่ามีอะไรพร้อมกับยื่นใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยความรำคาญมาหา กล้องตัวใหญ่ที่วางอยู่ข้างๆ ที่นั่งคนขับรถโผล่เข้ามาในสายตาของอินซอบ
“ผมรู้นะครับว่าคุณตามผมมา”
“อะไร”
“ถึงจะไม่รู้ว่าคุณตามมาด้วยจุดประสงค์อะไร แต่ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ มันผิดกฎหมาย ช่วยลบรูปที่ถ่ายด้วยครับ”
“เฮอะ พูดอะไรเนี่ย คุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร”
ชายคนนั้นแสร้งกลั้นหัวเราะราวกับไม่อยากจะเชื่อ ไม่รู้ว่าชเวอินซอบไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้ตอบกลับอย่างเย็นชาว่าไม่รู้ จากนั้นชายคนนั้นก็ลงจากรถ
“คุณเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนเหรอ”
“ครับ ใช่ครับ”
“มาทำแบบนี้กับผมก็ไม่เป็นผลดีหรอกนะ ผมเสียเวลามาทั้งวันจนหงุดหงิดจะแย่แล้ว”
อินซอบถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ในใจเพราะคำว่าเสียเวลา
“รบกวนด้วยนะครับ ต้องทำเรื่องขอสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการเสียก่อนถึงจะให้ถ่ายรูปได้ครับ”
ชายคนนั้นใช้ปากคาบบุหรี่ไว้ก่อนจะจุดไฟ ควันบุหรี่ลอยมาเหนือศีรษะของอินซอบ อินซอบไอเบาๆ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นี่คุณผู้จัดการส่วนตัว คุณทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากเลยนะ เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นานเท่าไรเหรอ คุณนี่ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ สินะ”
อินซอบเห็นสีฟ้าของรอยสักเก่าๆ ใต้แขนเสื้อแขนสั้นของชายผู้นี้ ทั้งลักษณะการพูด และลักษณะการแต่งตัวดูไม่เหมือนนักข่าวธรรมดาๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถปล่อยไปได้ ยิ่งถ้าอีกฝ่ายเป็นคนที่คังยองโมส่งมา เขาก็ยิ่งต้องทำแบบนี้
“รบกวนทำเรื่องขอสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการไปที่บริษัทด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นผมไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปและลงข่าวครับ”
ชายคนนั้นพูดว่า ‘นี่’ พร้อมกับตบไหล่ของอินซอบ
“ดูเหมือนคุณจะคิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียวนะ คนที่ต้องขออนุญาตถ่ายภาพคือคุณไม่ใช่เหรอ พวกเราน่ะถ้าให้ถ่ายก็ถ่าย ถ้าไม่ให้ถ่ายก็จะไม่ถ่าย บริษัทเองก็รู้เรื่องนั้นดีถึงได้ปล่อยไป อย่าทำตัวเข้มงวดโดยไม่จำเป็นเลยน่า เป็นผู้จัดการส่วนตัวแท้ๆ แต่มองสถานการณ์การไม่ออกหรือไง”
“ผมแค่พูดถึงสิ่งที่คุณทำไม่ได้เท่านั้นเองครับ”
เมื่ออินซอบที่แม้จะดูสุภาพแต่กลับไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ สีหน้าของชายคนนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นดุดัน
“รู้ไหมว่าพอดาราที่นายดูแลมีชื่อเสียงแล้ว นายจะถูกเรียกว่าอะไร ก็กลายเป็นไอ้ข้ารับใช้ที่คอยเลียรูตูดของคนดังยังไงล่ะ”
“ผมหวังว่าคุณจะไม่ไล่ตามเราด้วยวิธีแบบนี้อีกนะครับ รบกวนด้วยครับ”
แม้อินซอบจะขอร้องอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา แต่ชายคนนั้นก็ยังโยนก้นบุหรี่ใส่ปลายเท้าของอินซอบ และเริ่มกระแหนะกระแหน
“เพราะดังก็เลยมาตามไง วงการนี้น่ะถ้าชื่อเสียงลดลงก็จะไม่มีอะไรเลย แล้วจากนั้นก็คงต้องจ่ายเงินขอร้องอ้อนวอนให้ช่วยถ่ายรูปให้”
“ไว้ถึงตอนนั้นผมจะไปขอร้องด้วยตัวเองเลยครับ”
เสียงที่ได้ยินจากทางด้านหลังเรียกให้อินซอบและชายคนนั้นหันไปมองต้นเสียงด้วยความตกใจ อีอูยอนยื่นกาแฟเย็นให้อินซอบ
“ถ้ารู้ว่าคุณนักข่าวอยู่ด้วย ผมคงซื้อกาแฟมาเพิ่มอีกแก้วไปแล้วล่ะครับ”
อีอูยอนว่าพลางดื่มกาแฟที่ถืออยู่ในมือ แม้วิธีการพูดจะสุภาพอ่อนโยน แต่อินซอบกลับรู้สึกได้ถึงความเย็นชาที่ผ่านเข้ามาในดวงตา
“…เสร็จงานแล้วเหรอครับ”
“เป็นช่วงพักสั้นๆ น่ะครับ”
แม้จะสัมภาษณ์อยู่ แต่อีอูยอนกลับเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างและไม่ยอมละสายตาไปจากอินซอบ เขาหยุดการสัมภาษณ์กลางคันและออกมาด้านนอกทันทีที่เห็นว่าอินซอบเคาะประตูรถยนต์สีดำ
“กลับเข้าไปได้นะครับ เดี๋ยวผมจัดการเองครับ”
แม้จะได้ยินดังนั้นแต่อีอูยอนกลับไม่แม้แต่จะขยับ เขาหันหน้าไปทางชายคนนั้น
“พวกคุณทั้งคู่กำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอครับ”
“ดูเหมือนจะมีเรื่องให้คุณผู้จัดการส่วนตัวเข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะครับ”
ชายคนนั้นยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางเอ่ยตอบ
“ไม่ใช่นะครับ เห็นได้ชัดเลยว่า…”
อินซอบพยายามที่จะพูด แต่อีอูยอนกลับยกมือขึ้นมาห้าม
“ถ้าผู้จัดการส่วนตัวของผมทำอะไรผิดไป ผมต้องขอโทษแทนด้วยนะครับ”
“อย่าพูดเลยครับ เขาดูไม่เหมือนจะเป็นแบบนั้นเลย แต่กลับทำตัวเข้มงวดมาก”
“ผู้จัดการส่วนตัวของผมเป็นพวกค่อนข้างเข้มงวดนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องงานน่ะครับ”
คำพูดของอีอูยอนทำให้ใบหน้าของชายคนนั้นซีดเผือด เขาคิดว่าตอนนี้พวกเขาคงพูดกันรู้เรื่องแล้ว
ความจริงการแอบตามถ่ายรูปด้วยวิธีแบบนี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน แต่ผู้คนย่อมต้องการที่จะรู้ถึงชีวิตส่วนตัวของคนดัง และคนดังเองก็ได้รับความสนใจจากผู้คนจากการบริโภคชีวิตส่วนตัวของตนเอง และคนที่มีบทบาทเหมือนกับนกจระเข้[1] ในความสัมพันธ์นี้ก็คือปาปารัซซี่ ถึงขนาดมีคำพูดที่ว่าปริมาณของรูปที่โดนปล่อยคือมาตราวัดความนิยม ด้วยเหตุนี้ทางต้นสังกัดจึงได้ลืมตาข้างหลับตาข้าง
“ว่าแต่คุณนักข่าวรู้เรื่องของจินซูมีที่เป็นสตอล์กเกอร์ของผมไหมครับ”
“ก็ต้องรู้อยู่แล้วสิครับ”
เหตุการณ์การโดนสะกดรอยตามของอีอูยอนเป็นสัญญาณเตือนให้กับวงการบันเทิง และเรื่องนี้ยังทำให้เกิดการขับเคลื่อนร่างกฎหมายเกี่ยวกับซาแซงแฟน[2] ขึ้นเลยทีเดียว แม้จะถูกตำรวจสายสืบเปิดโปงว่าเป็นเหตุทำร้ายร่างกายโดยการใช้มีดแทงคน แต่ทางฝั่งของอีอูยอนกลับฟ้องร้องจินซูมีด้วยข้อหาละเมิดชีวิตส่วนตัวและทำร้ายร่างกาย รวมไปถึงเลือกและมอบหมายหน้าที่ให้บริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมายขนาดใหญ่เรียกร้องเงินชดเชยค่าเสียหายทางด้านจิตใจอีกด้วย ทางบริษัทประกาศว่าต้องไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก และเขาจะไม่ผ่อนปรน หรือตกลงกับอะไรทั้งนั้น
แม้จะเป็นแค่เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น แต่การจัดการของอีอูยอนนั้นเรียกได้ว่ารุนแรงผิดปกติในวงการนี้ และตราตรึงอยู่ในจิตใจของบรรดานักข่าว
“ถึงคุณจะรู้อยู่แล้ว แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นทางบริษัทของผมจะไม่ผ่อนปรนกับเรื่องสตอล์กเกอร์อีก”
“เอ่อ…ครับ”
ชายคนนั้นตอบด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ ในตอนที่อีอูยอนโผล่มาทีแรก เขาคิดว่าการพูดคุยจะแก้ปัญหาได้ด้วยดี แต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ
“งั้นผมเชื่อว่าคุณคงจะเข้าใจนะครับ”
พูดจบอีอูยอนก็ยื่นกาแฟที่ถืออยู่ให้อินซอบ จากนั้นเขาก็ยื่นมือเข้าไปในรถและหยิบกล้องออกมา
“เดี๋ยว คุณจะทำอะไรครับ!”
ชายคนนั้นตะโกนอย่างร้อนรน แต่ไม่ว่าอย่างไร อีอูยอนก็ยังคงดึงเมมโมรี่การ์ดออกมา ก่อนจะหักมันเป็นสอนท่องต่อหน้านักข่าวและทุ่มกล้องลงกับพื้น อินซอบตื่นตกใจจนกลั้นหายใจดัง เฮือก
“เฮ้ย! รู้ไหมว่านี่ราคาเท่าไร!”
ชายคนนั้นหยิบกล้องที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ขึ้นมา เขาจ้องอีอูยอนเขม็งพร้อมกับขึ้นเสียงใส่
“เรียกร้องค่ากล้องกับทางบริษัทของผมได้เลยครับ”
“นี่คุณคิดจะทำอะไรกันแน่!”
ใบหน้าของชายคนนั้นแดงจัดด้วยความโกรธ เขาเข้าไปขยำคอเสื้อของอีอูยอน แม้อินซอบจะพยายามห้าม แต่อีอูยอนกลับใช้แขนกันอินซอบไว้
“คุณผู้จัดการส่วนตัวอยู่เฉยๆ ครับ”
น้ำเสียงของอีอูยอนเย็นชามาก แม้แต่ความรู้สึกเล็กน้อยก็ไม่ปรากฏในดวงตาที่อ่อนโยนคู่นั้น
อีอูยอนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามีรถยนต์สีดำตามมา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ แค่โดนถ่ายรูปสองสามรูปไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไป แต่เขาได้ยินคำที่ไอ้นักข่าวน่ารังเกียจนั่นพูดกับอินซอบ และเขาก็ไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้
แม้จะถูกด่าว่า ‘ไอ้ตัวเลียตูดของคนอื่น’ แต่อินซอบก็ยังก้มหน้า ความจริงคนที่เลียก้นของอินซอบก็คือเขาต่างหาก
อีอูยอนกลั้นเสียงหัวเราะที่พุ่งขึ้นมาไว้
“เมื่อกี้ผมก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
อีอูยอนคว้ากาแฟที่ฝากอินซอบไว้กลับมาถือเองตามเดิม ก่อนจะจิบเข้าไปอึกหนึ่งแล้วพูดต่อ
“ว่าจะไม่มีการผ่อนปรนอะไรทั้งนั้น”
***
“นายบ้าไปแล้วเหรอ! ไอ้คนป่าเถื่อนเอ๊ย”
กรรมการผู้จัดการคิมตบโต๊ะพร้อมกับแผดเสียง
“ทำห้องทำงานแบบเก็บเสียงนี่ก็ดีเหมือนกันนะครับ”
แม้จะโดนด่าซึ่งๆ หน้า แต่อีอูยอนก็ยังตอบกลับโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด มีแค่ชเวอินซอบที่ยืนอยู่ข้างๆ เท่านั้นที่ทำตัวไม่ถูก
“ฉันบอกนายกี่ครั้งแล้วว่าห้ามทำให้นักข่าวกลายเป็นศัตรู!”
“ก็ไม่รู้สิครับ น่าจะประมาณสิบครั้งได้มั้ง”
“แล้วนี่นายทำอะไรลงไป หา!”
กรรมการผู้จัดการคิมตวาดพลางหันหน้าจอโน้ตบุ๊กมาทางอีอูยอน บนหน้าจอปรากฏเป็นข่าวเปิดโปงตัวตนที่เย่อหยิ่งของเขาพร้อมด้วยพาดหัวข่าวที่ว่า ‘ดาราดังสองหน้าอีอูยอน’
“มีอย่างที่ไหน! การฉายภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ก็ใกล้เข้ามาแล้ว แต่แกดันไปทำลายกล้องของนักข่าวเพราะโดนแอบถ่ายรูปนิดหน่อยเนี่ยนะ ตัดสินใจจะลาออกจากวงการตอนนี้เลยหรือไง”
“ออกจากวงการอะไรกันล่ะครับ ผมแค่ทำตามที่กรรมการผู้จัดการบอกเท่านั้นเอง”
อีอูยอนคลี่ยิ้มเนิบช้า วินาทีที่สบตากัน กรรมการผู้จัดการคิมก็ขนลุกซู่ ในที่สุดหมอนี่มันก็บ้าจนใช้การไม่ได้แล้วเหรอ
“ก็บอกว่าอยากเห็นแต่บนหน้าข่าวบันเทิงไม่ใช่เหรอครับ นี่ก็ไม่ใช่หน้าข่าวสังคมซะหน่อย”
“…อยากตายหรือไง”
อีอูยอนหัวเราะร่าเบาๆ พร้อมกับเสยผมขึ้นไป
“เอาจริงๆ ถ้ามันไม่ใช่นักข่าว ผมคงทุบหัวมันไปแล้ว แต่ผมก็ทนไว้ได้นะครับ นี่ผมไม่ควรจะได้รับคำชมเหรอครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมจ้องอีอูยอนเขม็งอยู่พักหนึ่งก่อนจะส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
“ก็ได้ อีอูยอนนายทำอย่างนั้น แล้วอินซอบล่ะ นายทำอะไรอยู่”
อินซอบก้มหน้าลงด้วยสีหน้าที่บอกว่า ในที่สุดก็ถึงตาเราแล้วสินะ
“ขอโทษครับ คือผม…”
“คุณอินซอบทำอะไรผิดกันครับ มันเป็นความผิดของผมทั้งหมดต่างหาก”
อีอูยอนพูดแทรกขึ้นมาทันควัน แม้จะกำลังยอมรับความผิดของตัวเอง แต่แววตาของอีอูยอนที่มองกรรมการผู้จัดการคิมกลับดูดุดัน
“ไม่ครับ เป็นความผิดของผมเอง ขอโทษนะครับ ผมจะยอมรับคำตำหนิทุกรูปแบบด้วยความเต็มใจเองครับ”
อินซอบประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันและขอโทษ เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่มากเกินไปเพราะคังยองโม
“ได้โปรดใช้เงินเดือนของผมจ่ายค่ากล้องเถอะนะครับ แล้วต่อไปผมจะทำงานโดยไม่รับเงินเดือนครับ ไม่สิ ไล่ผมออกเลยก็ได้ครับถ้ากรรมการผู้จัดการต้องการ”
“ไล่ออกอะไรกันล่ะครับ”
อีอูยอนมองกรรมการผู้จัดการคิมและพูดต่อ
“ช่วยปล่อยข่าวออกไปว่าผมอ่อนไหวเพราะบาดแผลทางจิตใจจากเรื่องสตอล์กเกอร์ทีนะครับ บอกไปว่าผมเป็นทุกข์จนถึงขั้นต้องเข้ารับคำปรึกษา ผมเองก็ไม่ติดอะไรนะครับถ้าจะเปิดประวัติการรักษาถ้าต้องการ จากนั้นกระดานจะพลิกทันทีเลยล่ะครับ ยังไงผู้คนมักจะเปลี่ยนมายืนอยู่ข้างคนที่อ่อนแอกว่าอยู่แล้วนี่นา”
[1] นกจระเข้ คือ การเปรียบเทียบความสัมพันธ์ที่ได้รับประโยชน์ร่วมกัน โดยอิงจากระบบนิเวศ กล่าวคือจระเข้เป็นแหล่งอาหารของนก และการที่นกก็ช่วยกำจัดเศษอาหารตามซอกฟันให้กับจระเข้
[2] ซาแซงแฟน คือ แฟนคลับที่มีพฤติกรรมตามติด และอยากใกล้ชิดกับศิลปินหรือคนดังตลอด 24 ชั่วโมง