ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 2 ตอนที่ 3-10
“ไม่กินเหรอครับ”
พออีอูยอนใช้ส้อมเคาะชามที่มีออมเล็ต อินซอบจึงกัดมุมออมเล็ตไปเล็กน้อย เห็นดังนั้น อีอูยอนก็ถอนหายใจเบาๆ
“กังวลอะไรอยู่เหรอครับ”
อินซอบเอ่ยถามทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้กลืนออมเล็ตลงไป
“รีบกินเถอะครับ”
อินซอบพยักหน้า เขาตักซีเรียลชุ่มนมเข้าปากและเคี้ยวช้าๆ ส่วนอีอูยอนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกังวลใจจนไม่รับรู้รสชาติอะไรเลย
“ผมเคยเลี้ยงหมานะครับ ตอนเด็กๆ”
สิ่งที่อีอูยอนพูดโพล่งขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้อินซอบถึงกับเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ บริบทของบทสนทนานั้นโดดเสียจนเขางง
“มันเหมือนเป็นธรรมเนียมของที่บ้านน่ะครับ พออายุครบกำหนดแล้วจะได้ของขวัญ เป็นสุนัขพันธุ์ดีที่ผ่านการผสมเทียมและได้รับการดูแลอย่างเข้มงวดเลยล่ะครับ”
“คงจะชอบน่าดูเลยสินะครับ”
“ผมแกล้งทำเป็นแบบนั้นครับ”
คำตอบที่ถูกส่งกลับมาเป็นคำตอบที่สมกับเป็นอีอูยอน
“ผมแกล้งทำเป็นดีใจ แล้วก็แกล้งทำเป็นรักหมาตัวนั้น แต่ผมก็ทำแบบนั้นได้แค่เดือนสองเดือนเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกรำคาญมันขึ้นเรื่อยๆ”
อินซอบวางช้อนที่ตักซีเรียลขึ้นมาลงตามเดิม เขาต้องเตรียมใจที่จะรับฟังคำพูดที่กำลังจะออกจากปากของอีอูยอน
“ผมไม่ได้ฆ่ามันหรอกครับ”
อีอูยอนทำลายจินตนาการที่ไม่ถูกต้องของอินซอบด้วยคำพูดสั้นๆ ความโล่งใจรางๆ ฉายอยู่ในดวงตาของอินซอบ
“มันไม่เหมาะที่จะฝัง เพราะมันตัวใหญ่น่ะครับ ตอนนั้นเป็นตอนที่ผมพอจะรู้เรื่องแล้วว่ามันจะยุ่งยากถ้าทำให้อะไรตาย”
อีอูยอนเคาะขมับของตัวเองพลางพูดต่อ
“แล้วผมก็ไม่ได้สนใจหมาตัวนั้นเลยหลังจากที่ผมเริ่มรำคาญมัน ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือผมไม่ได้สนใจมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมไม่แกล้งทำเป็นสนใจมันด้วยซ้ำ”
รูปปากของอินซอบบึ้งตึง อีอูยอนประทับใจจริงๆ กับความจริงที่ว่าอีกฝ่ายสามารถเกิดความรู้สึกที่หลากหลายได้มากขนาดนั้นเพียงแค่ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อมานานแล้ว
“แล้วหมาตัวนั้นเป็นยังไงต่อครับ”
อินซอบเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ผมได้ยินมาว่าเพราะผมไม่ยอมให้อาหาร มันก็เลยปฏิเสธอาหารที่คนอื่นเอาให้ และเอาแต่รออย่างเดียวน่ะครับ เพราะมันเป็นพันธุ์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความจงรักภักดีน่ะครับ จากนั้นมันก็ผอมลงทุกวันๆ”
“อ่า…”
แววตาของอินซอบสั่นไหวเหมือนคนที่เห็นสุนัขที่กำลังจะอดตายอยู่ตรงหน้า
“อย่าห่วงไปเลยครับ คนสวนเอามันไปเลี้ยงแล้วล่ะครับ พอได้รับการดูแลด้วยความรักและความเอาใจใส่ ความจงรักภักดีของมันก็หายไปครับ จบลงอย่างมีความสุข”
เรื่องเล่าที่เริ่มขึ้นอย่างกะทันหันก็จบลงอย่างกะทันหันเช่นกัน อินซอบกะพริบตาที่กลมโตก่อนจะเอ่ยถาม
“จบลงอย่างมีความสุขเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิครับ ผมไม่ต้องรำคาญอีกต่อไปแล้ว ส่วนหมาก็ได้เจอกับเจ้าของที่มอบความรักให้มันไม่ขาด มีตอนจบที่มากกว่านี้อีกเหรอครับ”
“แต่…มันไม่รอเจ้าของเดิมเหรอครับ”
“อาจจะรอก็ได้มั้งครับ”
อีอูยอนใช้ส้อมตักออมเล็ตป้อนให้อินซอบก่อนจะพูดต่อ
“มันจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่ดีครับ”
อินซอบเคี้ยวออมเล็ตที่ถูกส่งเข้ามาในปากพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
พอได้เจอกับความเฉยชาจนน่าขนลุกของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
ดวงตากลมโตของอินซอบหมองลงอย่างเศร้าสร้อย อีอูยอนเท้าแขนกับโต๊ะพลางมองอินซอบก่อนจะเอ่ยเรียก
“คุณอินซอบครับ”
“ครับ?”
อีอูยอนโน้มตัวมาข้างหน้า ริมฝีปากที่เข้ามาใกล้เชื่อมติดกันเบาๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผละออก อินซอบมองอีอูยอนอย่างเหม่อลอย อีอูยอนที่ดูเด็กกว่าปกติเพราะไม่ได้เซตผมส่งตายิ้มหวานเชื่อมมาให้ นี่เป็นใบหน้าปกติของอีกฝ่าย แต่คำพูดที่ออกมาหลังจากนั้นกลับเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง
“พักงานสักพักเถอะครับ”
***
ชเวอินซอบมาที่โรงพยาบาลรักษาสัตว์ในช่วงเช้าเพื่อดูอาการของจอห์น เขาฟังคำอธิบายของสัตวแพทย์ที่บอกว่ามันกำลังดีขึ้นในทุกๆ วัน และมองจอห์นที่อยู่อีกด้านหนึ่งของกรงอยู่ครู่หนึ่งจึงกลับ
วันนี้เป็นวันที่เขามีนัดเข้าไปเยี่ยมโลอิสกับลูกแมว แม้ยุนอารึมจะเป็นฝ่ายนัด แต่เขากลับซื้อของขวัญจนเต็มสองมือ เพราะตนได้รับความช่วยเหลืออย่างใหญ่หลวง และตอนนี้เขาก็กำลังไปที่บ้านของหญิงสาว
อินซอบเดินไปตามซอย เขาวางของลงและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู ยังคงไม่มีการติดต่ออะไรจากอีอูยอนเช่นเดิม
ตอนที่อีอูยอนซึ่งกำลังเล่าเรื่องสุนัขบอกให้เขาพักงานอย่างกะทันหัน อินซอบทั้งตกใจและหวาดกลัว เขาตามไม่ทันเลยว่าเรื่องราวดำเนินมาจนถึงจุดนี้ได้อย่างไร อินซอบตั้งสติในทันทีและปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาด
‘ผมไม่สามารถรับข้อเสนอนั้นได้ครับ’
มันไม่ใช่แค่วันเดียว แต่เป็นสักระยะหนึ่ง การที่เขาปฏิเสธย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว อีอูยอนเลิกคิ้วให้กับคำพูดของอินซอบก่อนจะเอ่ยตอบ
‘ข้อเสนอ? ผมพูดแบบนั้นตอนไหนเหรอครับ’
ท่าทีของอีกฝ่ายหมายความว่าจะไม่มีการต่อรองอีกต่อไป หลังจากกินข้าวเสร็จ อีอูยอนก็เอ่ยขอตัวกลับและลุกขึ้น อินซอบเอ่ยว่า ‘ถ้าผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจ ผมจะแก้ไขทันทีครับ’ ดวงตาของอีอูยอนเป็นประกายขึ้นมาทันทีด้วยราวกับเห็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ อีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นอยู่สักพักก่อนจะลูบผมที่ชี้ไม่เป็นทรงของเขาและเอ่ยว่า
‘ตอนจบที่มีความสุขแบบนั้นคงไม่มีวันเกิดขึ้นกับคุณอินซอบหรอกครับ’
อีอูยอนทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่เขาไม่เข้าใจก่อนจะเดินออกจากบ้านไป และแล้ววันนี้ก็กลายเป็นวันที่สองของวันหยุดที่ถูกยืดระยะเวลาออกไปอย่างกะทันหัน
“น่าจะได้เวลาย้ายที่ทำงานแล้วนะ”
อินซอบนึกถึงตารางงานของอีอูยอน เขาคำนวณระยะในการเคลื่อนตัวของอีกฝ่ายก่อนจะส่งข้อความไป ตอนนี้ไม่ใช่เวลาออกอากาศ เขาจึงคิดว่าฝ่ายนั้นคงจะติดต่อกลับมา แต่สุดท้ายก็ยังเงียบหายไปอยู่ดี
ก่อนหน้านี้อีอูยอนก็เคยโกรธอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อินซอบคุยกับผู้หญิง หรือคุยกับผู้ชาย หรือตอนที่เขาแสดงน้ำใจกับผู้หญิง หรือแสดงน้ำใจกับผู้ชาย …แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฝ่ายนั้นโกรธขนาดนี้ อีอูยอนไม่เคยเว้นระยะห่าง เพราะทุกครั้งที่โกรธ เขามักจะให้อินซอบข้างๆ และทำให้ไปไหนไม่ได้เสมอ
“…โกรธมากเลยเหรอ”
ในขณะที่กำลังคิดว่าควรทำอย่างไรดีให้อีกฝ่ายหายโกรธ เขาก็เดินมาถึงประตูรั้วบ้านของยุนอารึม หลังจากมาที่เกาหลี นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาบ้านของคนอื่นนอกจากอีอูยอน เขามองเวลาแล้วพบว่าตนมาถึงก่อนเวลานัดไปห้านาที อินซอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาผ่อนลมหายใจออกแล้วกดกริ่ง อินเตอร์โฟนเปิดขึ้น ในขณะเดียวกันประตูรั้วก็ถูกเปิดดัง แกร๊ก พร้อมเสียงพูดว่า ‘เชิญเข้ามาเลยค่ะ’ พอเขาผลักประตูและเข้าไปข้างใน สุนัขที่นอนอยู่ตรงสวนหน้าบ้านก็เห็นอินซอบ มันส่ายหางเป็นใบพัดพร้อมกับเดินเข้ามาหา
“สบายดีไหม”
อินซอบวางของในมือข้างหนึ่งลง และลูบหัวของเจ้าสุนัข ยุนอารึมเปิดประตูหน้าบ้านและยื่นหน้าออกมา
“ไว้ค่อยมาเล่นกับเจ้าคงก็ได้ค่ะ ขึ้นมาทางนี้เลยค่ะ”
อินซอบทิ้งสุนัขที่ครางหงิงๆ ไว้ข้างหลัง และเดินขึ้นบันไดไป อินซอบถอดรองเท้าไว้ที่ประตูหน้าบ้านพร้อมกับพูดว่า ‘ขอรบกวนด้วยนะครับ’
“มาเร็วเหมือนกันนะคะเนี่ย”
“ผมมาเร็วไปเหรอครับ ขอโทษนะครับ”
เขาตั้งใจค้นหาในอินเทอร์เน็ต และนี่ก็เป็นเวลาที่เขาคิดว่าเหมาะสมแล้ว แต่เขากลับลืมคิดไปว่าแต่ละคนอาจจะมีมาตรฐานที่ต่างกัน
“เปล่าค่ะ ฉันนึกว่าคุณจะมาสายสักหน่อยน่ะค่ะ เห็นบอกว่าช่วงนี้งานยุ่ง”
“ผมได้พักสองสามวันน่ะครับ”
แม้จะบอกว่าพัก แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่ามันจะดีหรือเปล่า อินซอบจึงพึมพำตอบออกไป เพราะเขานึกคำที่ถูกต้องไม่ออก ขณะที่เป็นแบบนั้น เขาก็นึกถึงของขวัญที่ถืออยู่ในมือ และรีบยื่นให้ยุนอารึม
“นี่ของขวัญครับ”
“ถืออะไรมาเยอะขนาดนี้ล่ะคะ”
“อันนี้เป็นขนมของเจ้าคง ส่วนอันนี้เป็นขนมของโลอิสกับพวกเด็กๆ อันนี้คือของขวัญสำหรับคุณยุนอารึม นี่เป็นของขวัญสำหรับคุณแม่ ส่วนนี่…เป็นของขวัญสำหรับคุณพ่อครับ”
อินซอบวางของลงตามลำดับ และยื่นอาหารเพื่อสุขภาพที่ทำจากโสมแดงให้ยุนอารึมเป็นอย่างสุดท้าย
เขาได้ยินมาว่าพ่อของยุนอารึมคัดค้านตอนที่บอกว่าจะดูแลแมวชั่วคราว ส่วนเหตุผลก็คือเจ้าคงอาจจะเครียดได้ พอได้ยินอย่างนั้นอินซอบก็รู้สึกผิดอย่างมาก จึงบอกไปว่าจะรีบหาบ้านเพื่อย้ายเดี๋ยวนี้ แต่ยุนอารึมกลับบอกว่ารออีกสองสามวันก็ได้ราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
“คุณพ่ออยู่บ้านหรือเปล่าครับ”
เขาจงใจบอกว่าจะมาในเวลาที่พ่อของยุนอารึมอยู่บ้าน เพื่อที่จะได้มาพบ ขอโทษ ขอบคุณ และทักทายด้วยตัวเอง
“อยู่ค่ะ อยู่ทางด้านนั้นน่ะค่ะ ตามมาสิคะ”
อินซอบเดินตามหลังหญิงสาวไปทั้งๆ ที่เต็มไปด้วยความประหม่า
“คุณพ่อยังไม่พอใจอยู่เหรอครับ”
ได้ยินดังนั้น ยุนอารึมก็จงใจทำสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณอินซอบคะ ฉันมีเรื่องจะเตือนเพราะคุณอาจจะไม่รู้ แต่อย่าพูดเรื่องจะพาแมวไปเด็ดขาดเลยนะคะ”
อินซอบพยักหน้าอย่างลืมตัว
“คุณพ่อ มีแขกมาค่ะ”
หลังจากเคาะประตูเบาๆ หญิงสาวก็บิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูเข้าไป ผู้ชายที่กำลังขยับของเล่นแมวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมหันหน้ามาหา
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้พบครับ”
อินซอบรีบก้มหัวทักทาย โลอิสกับลูกๆ จำเขาได้จึงส่งเสียงร้อง เหมียว พร้อมกับวิ่งมาหา พวกเด็กๆ เริ่มปีนขาอินซอบเหมือนเป็นต้นไม้ ในขณะที่โลอิสถูตัวพร้อมกับส่งเสียงคราง อินซอบที่โดนแมวทั้งสามตัวเกาะอย่างคาดไม่ถึงนิ่งค้างในท่ากึ่งยืนกึ่งนั่งพลางยิ้มเจื่อนๆ
พ่อของยุนอารึมมองอินซอบด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวดระวังก่อนจะเอ่ยปากพูด
“เธอเป็นเจ้าของแมวเหรอ”
“เปล่าครับ ผมไม่ใช่เจ้าของแมวหรอกครับ…”
“แล้วทำไมลูกๆ ของฉันถึงตามเธอล่ะ”
“ครับ? เอ่อ…”
อินซอบหันกลับไปมองยุนอารึม เธอกำลังปิดปากเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะที่จะระเบิดออกมา
“น่าจะเป็นเพราะผมให้ข้าวมันกินน่ะครับ”
อินซอบรีบนึกเหตุผลที่เหมาะสมก่อนจะเอ่ยตอบ
“ฉันเองก็ให้ข้าวมันกินเหมือนกัน”
พ่อของยุนอารึมบ่นงึมงำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“บอกว่าไม่ชอบ แต่แค่วันเดียวก็เป็นแบบนั้นไปแล้วล่ะค่ะ ไม่ใช่หนึ่งวันสิ ยังไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำค่ะ แล้วลูกๆ ของฉันเนี่ยคืออะไรกันคะ”
ยุนอารึมใช้น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขบขันตำหนิพ่อตัวเองอย่างหยอกล้อ
“เข้ามาในบ้านฉันแล้วก็ต้องเป็นลูกๆ ของฉันสิ”
“พ่อนี่ล่ะก็ เดี๋ยวเราต้องหาเจ้าของให้พวกมันทั้งหมดแล้วนะคะ”
พ่อของยุนอารึมทำสีหน้าเคร่งขรึมพลางส่ายหน้าให้กับคำพูดของเธอ
“จะส่งสิ่งมีชีวิตให้กับคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเหรอ คิดบ้างไหมว่าเขาจะทำอะไรกับลูกๆ ของพ่อบ้าง”
“เพราะแบบนั้นไงคะเราถึงต้องดูให้ดีก่อนที่จะยกให้”
แม้จะเป็นคำพูดของลูกสาว แต่สีหน้าของคนเป็นพ่อกลับไม่ยอมผ่อนคลาย อินซอบอุ้มไอแซกที่ปีนมาจนถึงต้นขาและวางลงบนพื้น พ่อของยุนอารึมรีบอุ้มแมวทันที จากนั้นก็มองอินซอบตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งมาให้
“ฉันยุนซอกจุน เป็นพ่อของอารึม”
“ผมชเวอินซอบครับ”
อินซอบจับมือที่ยุนซอกจุนยื่นมาให้ก่อนจะก้มหัว
“เป็นอะไรกับลูกของฉันล่ะ”
อินซอบอ้ำอึ้ง ไม่ได้ตอบทันที เพราะเขาไม่รู้ว่าคำว่าลูกของฉันที่ยุนซอกจุนพูดนั้นหมายถึงใครกันแน่
“เป็นคนที่รู้จักกันตอนทำงานค่ะ”
ยุนอารึมตอบแทน
“งาน? ดูเหมือนเด็กนักเรียนมากกว่านะ”
“ก่อนหน้านี้ผมเคยทำงานอยู่พักหนึ่งครับ แต่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่”
“ม.ปลายเหรอ”
“…เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยครับ”
ยุนซอกจุนยังคงมองอินซอบด้วยสายตาไม่ไว้ใจเล็กน้อย
ถ้ามีบัตรนักเรียนเขาคงจะหยิบให้ดูไปแล้ว แต่อีอูยอนบอกว่างานเอกสารล่าช้า และไม่ยอมคืนบัตรประชาชนให้เขาง่ายๆ
“แล้ววันนี้มาทำอะไรล่ะ”
“เฮ้อ ให้ตายสิ เขาแค่มาเยี่ยมเด็กๆ เฉยๆ ค่ะ”
“ครับ ใช่ครับ ผมมาทักทายครอบครัวของคุณยุนอารึมน่ะครับ เพราะดูเหมือนผมจะสร้างความลำบากให้ไม่น้อยเลย”
“ไม่ได้จะมาเอาแมวไปเหรอ”
ยุนซอกจุนกอดแมวที่อยู่ในอ้อมกอดไว้แน่นก่อนจะถามซ้ำๆ อินซอบพยักหน้าอย่างตั้งใจ ตอนนั้นเองยุนซอบจุนถึงได้คลายการปกป้องลง เขายิ้มอย่างเอ็นดูพลางเอ่ยถาม
“อืม เธอกินข้าวมาหรือยังล่ะ”