ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 2 ตอนที่ 3-1
“ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนใช่ไหมครับ”
อินซอบเข็นรถเข็นพลางสังเกตสีหน้าของหัวหน้าทีมชา
และเอ่ยถาม
“ฉันสบายดี แค่ขาหักเฉยๆ ไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงซะหน่อย นอกจากขาแล้ว ทุกส่วนก็แข็งแรงดี ฮ่าๆๆๆ”
หัวหน้าทีมชาตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผิวของเขาเปล่งปลั่งมันวาวราวกับไข่ต้มเหมือนเป็นข้อพิสูจน์คำพูดของเจ้าตัว
“เห็นคุณดูดีแล้วผมก็โล่งอกครับ”
“นั่นสิๆ ระบบย่อยอาหารก็ดี แถมความเจ็บปวดก็หายแล้วด้วย โอ้ โลกที่มีความสุขในชีวิต”
หัวหน้าทีมชาหลับตาพึมพำราวกับดื่มด่ำไปกับแสงแดดที่สาดส่องลงมา ในขณะเดียวกันเขาก็หันกลับไปมองอินซอบเหมือนนึกอะไรออกก่อนจะเอ่ยถาม
“ว่าแต่มีเรื่องอะไรล่ะ จู่ๆ ถึงมา”
“ขอโทษด้วยนะครับที่ช่วงที่ผ่านมาผมไม่สามารถแวะมาหาได้”
“ฮ่าๆๆ พอได้เห็นหน้าสักครั้งในโอกาสแบบนี้ ฉันก็ดีใจแล้วล่ะ ว่าแต่ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรใช่ไหม”
“ครับ ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรครับ”
แม้จะตอบอย่างนั้นแต่น้ำเสียงของอินซอบกลับฟังดูไร้เรี่ยวแรงเสียเหลือเกิน หัวหน้าทีมชาเองก็รู้เรื่องข่าวลือการคบหาดูใจของอีอูยอนผ่านทางกรรมการผู้จัดการคิม ข่าวฉาวที่ใช้ในการปิดหูปิดตามีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ในวงการนี้ และคู่รักที่อยู่ในสภาพแต่งงานกันด้วยสัญญาก็หาได้ไม่ยาก
แต่อินซอบกำลังคบหาดูใจอยู่กับต้นเหตุของข่าวฉาวต่างๆ คนที่รู้ความจริงข้อนั้นมีแค่สองคนเท่านั้นคือเขากับกรรมการผู้จัดการคิม ถึงจะบอกว่าเป็นข่าวฉาวที่เป็นการแสดง แต่ถึงอย่างไรอินซอบก็ต้องรู้สึกเป็นทุกข์แน่นอนอยู่แล้ว ต่างจากอีอูยอนที่มีจิตใจแข็งแกร่ง
“ไอ้…ไม่สิ อีอูยอนทำให้ทุกข์ใจมากเลยใช่ไหม”
“ไม่ครับ ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยนะครับ กลับกันเป็นผมเสียอีกที่สร้างความลำบากให้”
อินซอบส่ายหน้าอย่างลนลาน
นี่เขาเรียกว่านิสัยดีและน่ารักมากใช่ไหมนะ
หัวหน้าทีมชารีบใช้แขนเสื้อของชุดผู้ป่วยเช็ดตาที่เปียกชื้น ถึงคนอื่นจะไม่รู้ แต่เขารู้ ว่าอีอูยอนที่แสดงนิสัยที่แท้จริงออกมาทำตัวแย่แค่ไหนกับผู้จัดการส่วนตัว
“สร้างความลำบากอะไรล่ะ ไปพูดกับกรรมการผู้จัดการคิมแล้วขอเงินเดือนมาเยอะๆ เลย ถ้าเขาบอกว่านายเป็นแค่พนักงานชั่วคราว แล้วเอาแต่ผลประโยชน์ฝ่ายเดียวก็มาบอกฉันนะ ฉันจะต่อว่าเขาแทนนายเอง”
“ไม่เลยครับ เขาให้เยอะมากจนผมรู้สึกผิดด้วยซ้ำ”
อินซอบยิ้มร่าในขณะที่ตอบ
“แล้วร่างกายนายดีขึ้นบ้างหรือยัง ดูๆ ไปแล้วเหมือนว่าหน้าจะตอบลงไปหน่อยนะ”
พอเห็นอินซอบมีสีหน้าหม่นหมองกว่าผู้ป่วยที่ขาหัก หัวหน้าทีมชาก็รู้สึกละอายใจ
“ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นครับ พอดีเมื่อวานไม่ได้นอน ผมไม่เป็นไรครับ”
“เมื่อวานเหรอ มัวแต่ทำอะไรอยู่ล่ะถึงไม่ได้นะ…อ่า ฮ่าๆๆ นั่นสินะ ไม่ได้นอนสินะ อากาศร้อนก็ทำให้นอนไม่ค่อยหลับได้นี่เนอะ”
ข้อความที่กรรมการผู้จัดการคิมส่งมาเมื่อวานโผล่ผุดขึ้นมาในหัวของหัวหน้าทีมชา เป็นคำด่าหนึ่งถ้วยเต็มเกี่ยวกับการที่อีอูยอนขโมยเอาบัตรเครดิตของอีกฝ่ายไปจองห้องสวีทของโรงแรม ส่วนจะใช้ห้องสวีทกับใครก็เป็นเรื่องที่แน่ชัดอยู่แล้วโดยไม่ต้องสงสัย
“ตอนนี้น่าจะยุ่งขึ้นแล้วสินะ หนังเปิดตัวแล้วนี่นา”
หัวหน้าทีมชารีบกลับคำพูด
“ครับ คงจะยุ่งขึ้นครับ มะรืนนี้ก็จะเริ่มโปรโมทหนังแล้ว”
“หนังคราวนี้ดีมากเลยนะ กระแสตอบรับในงานเปิดตัวรอบปฐมทัศน์กับสื่อก็ดี”
“เหมือนจะออกมาดีจริงๆ ครับ ผมอยากให้เปิดตัวเร็วๆ แล้วล่ะครับ หลายๆ คนจะได้ดู”
ท่าทีตื่นเต้นปรากฏชัดเจนอยู่ในเสียงของอินซอบ
“คุณอินซอบนี่เป็นแฟนคลับของอีอูยอนจริงๆ ด้วย ดูเหมือนจะคาดหวังยิ่งกว่าตัวของอีอูยอนเองซะอีก”
“ครับ ผมก็ต้องคาดหวังอยู่แล้วสิครับ…เพราะผมเป็นแฟนคลับนี่นา”
อินซอบรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลอกหัวหน้าทีมชาด้วยการบอกว่าตัวเองเป็นแฟนคลับของอีอูยอน และรู้สึกผิดขึ้นมา
“อะแฮ่มๆ คือว่านะคุณอินซอบ”
หัวหน้าทีมชากระแอมก่อนจะเปิดปากพูด
“ถึงคราวก่อนจะพูดไปแล้ว แต่ถ้ามีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดหรืออะไรทำนองนั้นก็พูดกับฉันได้นะ คิดซะว่าฉันเป็นพี่ชายก็ได้”
พอเห็นอินซอบทำตาโต หัวหน้าทีมชาก็เกาแก้มเหมือนเขิน
“ขอโทษที อายุฉันเยอะเกินไปที่จะนับว่าเป็นพี่หรือเปล่า”
“ไม่เลยครับ ผมตื่นเต้นเพราะไม่เคยมีพี่มาก่อนต่างหากครับ”
“เป็นลูกคนเดียวเหรอ”
“เป็นลูกคนโตครับ”
อินซอบพึมพำเสียงเบา ถึงจะเป็นเรื่องน่าอาย แต่เวลาไปไหนมาไหนเขาไม่เคยได้ยินคนบอกว่าเขาเหมือนพี่คนโตมาก่อนเลย ร่างกายก็อ่อนแอ นิสัยก็ขี้ขลาด ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ดูไม่เหมือนลูกคนโตสักนิด
“มีน้องด้วยเหรอ กี่คนล่ะ”
“สามครับ”
“ว้าว ครอบครัวใหญ่เลยนะเนี่ย เหมือนนายจะสนิทกับน้องๆ นะ ไม่มีรูปเหรอ”
อินซอบหารูปภาพครอบครัวในคลังภาพของโทรศัพท์และเอาให้หัวหน้าทีมชาดู หัวหน้าทีมชาทำตาโต และมองอินซอบสลับกับหน้าจอโทรศัพท์
“น่ารักใช่ไหมล่ะครับ”
“ฮ่าๆๆๆ…ตัวโตนี่”
อินซอบดูเด็กที่สุดในบรรดาพี่น้องที่สูงกว่าเขาหนึ่งช่วงหัว คำว่าน่ารักไม่เหมาะกับพวกน้องๆ แต่เหมาะกับอินซอบมากกว่า
“ก็โตแค่ตัวนั่นแหละครับ ที่เหลือก็เด็กทั้งนั้น ถ้าได้รวมตัวกัน ไม่มีทางรู้เลยล่ะครับว่าจะเสียงดังหนวกหูขนาดไหน”
ความรักเอ่อล้นเต็มดวงตาของอินซอบขณะมองดูรูปในโทรศัพท์มือถือ
“ไม่คิดถึงครอบครัวเหรอ”
“…คิดถึงสิครับ”
อินซอบเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าไปในกระเป๋าตามเดิม
“ที่อเมริกาน่าจะสบายกว่าที่เกาหลีใช่ไหม”
“ครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ปรับตัวได้เยอะแล้วนะครับ”
“ถ้าเรียนจบแล้วจะกลับอเมริกาหรือเปล่า”
“ไม่ครับ ไม่ใช่ว่าจะไม่กลับ…แต่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจเลยครับ”
เขาแค่บอกว่าพ่อแม่ว่าอยากเรียนที่เกาหลีเท่านั้น และเขาก็ยังไม่ได้วางแผนชีวิตหลังจากนั้นอย่างเป็นรูปธรรมเลย ถ้าอยากอยู่กับอีอูยอนที่นี่ เขาก็ต้องหางานทำอย่างจริงๆ จังๆ
“ผมกำลังคิดนั่นคิดนี่อยู่น่ะครับ ถึงขั้นกังวลเลยก็ว่าได้”
มีเสียงถอนหายใจปนมาในคำพูดที่พูดต่อท้าย หัวหน้าทีมชาอยากจะบอกอีกฝ่ายว่าช่างคิดอะไรไร้ประโยชน์เสียจริง ทั้งที่ตัวเองอยู่ข้างๆ ผู้ชายที่มีเงินเยอะถึงขั้นที่ต่อให้ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปทั้งชีวิตก็ยังมีเงินเหลือให้บูด แต่แล้วเขาก็ต้องปิดปากเงียบ เพราะเขามีลางสังหรณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากว่าถ้าเป็นอีอูยอนแล้วล่ะก็ หลังจากที่ปักหลอดลงไป ยืดหลังของตัวเองอย่างเปิดเผย และดูดไขกระดูกเข้าไปอึกหนึ่งแล้ว คงต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงมาก
“กลับอเมริกาก่อนจะหมดปิดเทอมแล้วค่อยกลับมาไหมล่ะ”
“ผมต้องขอดูสถานการณ์ก่อนถึงค่อยตัดสินใจครับ เพราะตอนนี้ยุ่งมาก”
อินซอบรีบยิ้มให้ดู
“งั้นนายก็ใช้วันหยุดแล้วไปตากลมเล่นที่ไหนสักที่กับเพื่อนๆ สิ ฉันจะบอกกรรมการผู้จัดการให้ แค่วันสองวันไม่เป็นไรหรอก”
อินซอบยิ้มเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร หัวหน้าทีมชาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“อย่าบอกนะว่านายไม่มีเพื่อนที่ติดต่อกันที่เกาหลี”
อินซอบพยักหน้าน้อยๆ
“ไม่มีสักคนเลยเหรอ?”
“…ขอโทษครับ”
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษหรอกนะ ให้ตาย เด็กคนนี้นี่”
หัวหน้าทีมชาทำหน้าตาสงสารจากใจ
“ผมไม่ค่อยถนัดกับเรื่องแบบนั้นน่ะครับ แล้วผมก็ไม่รู้วิธีเข้าหาคนอื่นด้วย”
“แต่นายเข้าหาอีอูยอนได้นี่ เพราะฉะนั้นนายก็น่าจะเข้าหาใครต่อใครได้หมดนั่นแหละ”
อินซอบหัวเราะให้กับการพูดเล่นที่มีความจริงใจซ่อนอยู่ของหัวหน้าทีมชา
“ฉันพูดจริงนะ ถ้าตั้งใจแล้วล่ะก็ นายสามารถมีเพื่อนได้ประมาณร้อยคนเลย”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิครับ”
อินซอบค่อยๆ เข็นรถเข็นไป
“งั้น…เพื่อนก็มีแค่อีอูยอนเหรอ”
“เอ่อ ครับ…ใช่ครับ”
อินซอบเลื่อนสายตาลงช้าๆ ก่อนจะตอบ
“คือว่านะอินซอบ ฉันไม่ได้พูดเพราะโคตรจะเกลียดอีอูยอนหรอกนะ แต่ฉันพูดเพราะนึกถึงคุณอินซอบ…ได้คุยกับอีอูยอนหรือเปล่า”
“…”
อินซอบพลาดช่วงเวลาที่จะตอบไปแล้ว หัวหน้าทีมชาถอนหายใจเหมือนรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนั้น
“รู้สึกเหมือนคุยกับกำแพงใช่ไหม”
“ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นบ่อยๆ หรอกครับ”
อีอูยอนสอบตกในเรื่องของการมีความรู้สึกร่วม แม้เจ้าตัวจะปกปิดด้วยการแสดงที่เหมาะสมต่อหน้าคนอื่น แต่กลับไม่แม้แต่จะพยายามแสดงต่อหน้าคนที่รู้จักนิสัยของตนเลยสักนิด ความรู้สึกร่วมเกี่ยวกับเรื่องที่ละเอียดอ่อนและเล็กน้อยมากๆ นั้นบกพร่องเป็นพิเศษ แม้พูดแบบนี้จะทำให้เขารู้สึกผิดกับอีอูยอนมากขนาดไหน แต่อินซอบก็รู้สึกเหงาทุกครั้งที่อีกฝ่ายเป็นแบบนั้น เราจะไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจในปัญหาแบบนี้จากคนคนนี้ไปชั่วชีวิตสินะ
“ไม่เหงาเหรอ”
คำถามนั้นราวกับเจาะเข้ามาดูภายในหัวสมองของเขา
“…ก็มีบ้างครับ”
ดังนั้นอินซอบจึงเผลอเปิดเผยความในใจที่ตรงไปตรงมาออกมาโดยไม่รู้ตัว
“น่าต้องรีบคบคนใหม่ก่อนที่จะโดนจูงจมูกแล้วล่ะ…”
“ครับ?”
อินซอบถามกลับเพราะตกใจ
“ปะ เปล่า…ที่ฉันจะพูดก็คือ…ให้ไปมีเพื่อนคนอื่นน่ะ ถ้าอยากมีความมั่นคงก็ต้องมีรากเยอะๆ ความสัมพันธ์ของคนเราก็เหมือนกัน ถ้ามีแค่รากเดียว ต่อให้หนาและแข็งแรงแค่ไหนก็ถูกลมถอนออกได้อย่างกับไม่มีรากยังไงล่ะ”
อินซอบพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฉันทำตัวขี้บ่นมากไปหรือเปล่า”
“ไม่ครับ ไม่ใช่เลยครับ คนที่จะพูดแบบนี้กับผมก็มีแค่หัวหน้าทีมเท่านั้น ผมรู้สึกขอบคุณจริงๆ ครับ”
“ฉันบอกแล้วไงว่าให้คิดซะว่าฉันเป็นพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ที่แก่มากๆ น่ะ”
“ขอบคุณครับ”
อินซอบรู้สึกดีมากๆ จนหน้าแดงไปถึงต้นคอ
“อืม ไม่มีเรื่องที่จะปรึกษาถึงความกังวลใจกับพี่เหรอ”
เขานึกว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าไม่เป็นไรกลับมา แต่อินซอบกลับลังเลพร้อมกับกระดิกมือไปมา หัวหน้าทีมชากระตุ้นอินซอบพร้อมกับพูดว่า ‘ลองพูดมาสิ’
“เรื่องคุณคังยองโมน่ะครับ”
“คังยองโม?”
คนที่รู้ความจริงในวันนั้นมีแค่กรรมการผู้จัดการคิม หัวหน้าทีมชา และชเวอินซอบเท่านั้น และชื่อของคังยองโมก็เป็นสิ่งต้องห้ามระหว่างทั้งสามคน
“คังยองโมทำไมเหรอ มีเรื่องอะไรล่ะ อีอูยอนสร้างปัญหาอีกแล้วเหรอ”
หัวหน้าทีมชาถอนหายใจอย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยถาม นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีสีหน้าเหมือนคนป่วยหลังจากเข้าโรงพยาบาล
“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนครับ ก็แค่…คนคนนั้นมีอิทธิพลค่อนข้างมากในวงการหรือเปล่าครับ”
“แน่นอนสิ เขาแสดงได้เก่ง แถมประธานบริษัทต้นสังกัดของเขาก็เป็นคนทางบ้านเมีย แล้วบริษัทต้นสังกัดของเขาก็ใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย”
แม้แต่ในขณะที่ตอบ หัวหน้าทีมก็ไม่สามารถซ่อนความไม่สบายใจเอาไว้ได้
“จะมีเรื่องให้คุณคังยองโมมาเจอคุณอีอูยอนบ่อยๆ หรือเปล่าครับ”
“ถึงจะบอกไม่ได้ว่าไม่มี แต่เราก็พยายามทำให้พวกเขาไม่ต้องเจอกันให้ได้มากที่สุดน่ะ…ไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ เหรอ”
อินซอบลังเลอยู่พักหนึ่ง ถ้าหากบอกคำพูดที่คังยองโมพูดกับเขาออกไป ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่ตัวเขาที่เปิดเผยตัวแต่ตน แต่อีอูยอนก็จะโดนเปิดเผยไปด้วย แม้จะบอกว่าหัวหน้าทีมชากับกรรมการผู้จัดการคิมเป็นคนที่ไว้ใจได้ขนาดไหน แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“ครับ ไม่มีครับ ผมแค่ลองถามดู เพราะกังวลเท่านั้นครับ”
อินซอบคิดว่าโชคดีที่เขากำลังเข็นรถเข็นอยู่ เพราะเขาต้องไม่กล้าโกหกอย่างไม่สะทกสะท้านต่อหน้าหัวหน้าทีมชาแน่ๆ
“นั่นสิ โล่งอกไปทีนะ”
หัวหน้าทีมชาถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พูดต่อว่า ‘ว่าแต่’
“ถ้าเกิดนะ ถ้าเกิดมีเรื่องที่อีอูยอนต้องเจอคังยองโมขึ้นมา คุณอินซอบช่วยห้ามไว้ทีนะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องลากไปที่อื่น ถ้าเป็นคำพูดของคุณอินซอบล่ะก็ อีอูยอนจะฟังน่ะ”
อินซอบคิดว่าจะลองขอร้องกรรมการผู้จัดการคิมให้ใช้ผู้จัดการส่วนตัวคนอื่นดีไหม แต่เขาก็ต้องล้มเลิกด้วยคิดว่าถ้าทำแบบนั้น ก็เหมือนจะเป็นการทำให้เข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น และถ้าเหตุการณ์สมมตินั้นเกิดขึ้นมาจริงๆ คนที่จะห้ามอีอูยอนได้ก็มีแต่ตนเท่านั้นอย่างที่หัวหน้าทีมชาพูด
“เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบพยักหน้าราวกับให้สัญญากับตัวเองก่อนจะเอ่ย
“ถึงอย่างนั้นก็โชคดีจริงๆ นะที่มีคนแบบคุณอินซอบอยู่ข้างๆ อีอูยอน”
คำพูดของหัวหน้าทีมชาทำให้อินซอบไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้
ตอนที่ลืมตาขึ้นมาในช่วงเช้ามืดวันนี้ เดิมทีอินซอบคิดว่าเขาฝันไป สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือใบหน้าของอีอูยอนที่กำลังหลับใหล หลังจากมองไปได้สักพัก เขาก็ได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ฝัน น่าประหลาด นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาตื่นก่อน ผมของอีอูยอนกระเซอะกระเซิง เพราะหลับไปโดยไม่ได้จัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อยหลังอาบน้ำ เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเด็กลงกว่าปกติ อีอูยอนยิ้มเหมือนเป็นเด็กหนุ่มบ้างเป็นบางครั้ง แม้เจ้าตัวจะไม่รู้ตัว แต่อีกฝ่ายมักจะยิ้มแบบนั้นตอนที่แกล้งหรือแซวอินซอบ และเขาก็ชอบท่าทางนั้นอย่างมาก ทุกครั้งที่อีอูยอนยิ้มแบบนั้นให้เขา เขาจะมึนงง และหัวใจก็เต้นตึกตักเหมือนคนโง่
เขาอยากให้อีอูยอนยิ้มแบบนั้นให้ตลอดไป
อินซอบเหม่อมองอีอูยอนก่อนจะกลืนความปรารถนาที่เปล่าประโยชน์ลงไป ในวินาทีนั้นเองอีอูยอนก็ลืมตาขึ้นมาราวกับโกหก อีกฝ่ายทอดสายตามองอินซอบนิ่งๆ อยู่พักหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาเหมือนเด็กหนุ่ม