ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 1 ตอนที่ 2-3
“อินซอบ!”
พอเห็นอินซอบ กรรมการผู้จัดการคิมวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้ายินดี
“สวัสดีครับ”
อินซอบเข้ามาเพื่อตรวจสอบตารางงาน เขาโค้งทักทายอย่างสุภาพ
“มาพอดีเลย เข้ามาแป๊บหนึ่งสิ”
อินซอบรู้สึกเกร็งขึ้นมา และเดินตามหลังกรรมการผู้จัดการคิมไป พอเข้าไปในห้องทำงาน กรรมการผู้จัดการคิมก็เอ่ยถามอย่างกะทันหัน
“พอจะมีเวลาก่อนที่จะไปรับอีอูยอนไหม”
“ครับ ผมมีเวลาว่างประมาณสองชั่วโมงครับ”
อินซอบเผื่อเวลาไว้ก่อนออกจากบ้านเสมอเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องที่ไม่คาดคิด
“งั้นลองอ่านนี่ดูเดี๋ยวหนึ่งสิ”
กรรมการผู้จัดการคิมชี้ไปที่บทที่วางอยู่บนโต๊ะ
“เพิ่งเข้ามาวันนี้เหรอครับ”
บทที่เข้ามาหาอีอูยอนนั้นกรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาจะตรวจสอบก่อนเป็นอันดับแรก และอีอูยอนจะได้เลือกบทที่ผ่านการอนุมัติเป็นอันดับสุดท้าย กรรมการผู้จัดการคิมรู้ดีว่าอีอูยอนจะรับฟังคำแนะนำของอินซอบเป็นบางครั้ง
“อื้อ เป็นของที่เข้ามาวันนี้แหละ”
อินซอบนั่งลงบนโซฟา และเริ่มอ่านบทอย่างละเอียด
“ดีเลยนะครับ”
อินซอบปิดบทและรีบพูดต่อทันที เพราะเขาคิดว่าการแสดงความรู้สึกของตัวเองยังไม่พอ
“ดีมากๆ เลยครับ ตัวละครยังมีชีวิตอยู่ เนื้อเรื่องเรียบเรียงได้อย่างดี บทก็เยี่ยมมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ…”
“เหมาะกับอีอูยอนใช่ไหม”
ชเวอินซอบพยักหน้าให้กับคำถามของกรรมการผู้จัดการคิม เขากำลังคิดแบบนั้นอยู่พอดี
“บทตัวเอกใช่ไหมครับ”
“แน่อยู่แล้วสิ”
“เหมาะมากๆ เลยล่ะครับ”
แม้จะอ่านบทสั้นๆ แต่ก็เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์พอที่จะติดอยู่ในความทรงจำ เขาอยากเห็นอีอูยอนรับบทนี้ ไม่สิ เขาอยากให้นักแสดงอีอูยอนรับบทนี้
“นายเองก็คิดแบบนั้นใช่ไหม นายนี่อ่านบทเป็นจริงๆ ฉันนึกไว้อยู่แล้วว่านายจะต้องพูดแบบนี้ ไม่มีใครรู้จักอีอูยอนดีเท่านายอีกแล้ว”
“จะให้ผมเอาให้เขาดูไหมครับ”
“อืม เอาให้ดูก็ดี”
กรรมการผู้จัดการคิมกระแอมเล็กน้อย และชี้ไปที่หน้าปกของบท ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้มองตัวอักษรที่เขียนอยู่ที่บท
“เพราะเป็นละครที่ช่อง N วางแผนจะทำน่ะ”
“…ครับ”
“เฮ้อ ให้ตายสิ ฉันก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดจากลับกลอกหรอกนะ แต่นี่เป็นโอกาสที่น่าเสียดายจริงๆ นายรู้ไหมว่านักเขียนที่เขียนบทเรื่องนี้เป็นใคร โจยุนยอง คนคนนั้นน่ะเป็นบุคคลสำคัญระดับแนวหน้าในวงการนี้เลยนะ เป็นผลงานชิ้นใหม่ในรอบเกือบจะเจ็ดปีเลย ละครเรื่องนี้จะต้องเป็นผลงานที่ได้รับรางวัลใหญ่อย่างแน่นอน เรตติ้งก็เหมือนกัน!”
กรรมการผู้จัดการคิมตะโกนอย่างตื่นเต้น และสามารถเดาเหตุผลที่เขายื่นบทให้อินซอบได้
“ผมจะลองพูดให้ครับ”
“ทำได้ใช่ไหม”
พอเจ้าตัวผู้ออกมา กรรมการผู้จัดการคิมก็ทำสีหน้าเป็นกังวล อินซอบพยักหน้า
“ครับ ผมจะลองพูดให้ครับ”
“ดี ถ้าเป็นนาย อีอูยอนจะกัดจะเลีย เฮือก ไม่ใช่แบบนั้น ฮ่าๆๆ เขาเชื่อฟังคำพูดของนายนี่นะ เพราะพวกนายสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆ เหมือนฉันกับหัวหน้าทีมชาไงล่ะ ฮ่าๆๆ”
อินซอบรู้สึกว่าตัวเองทำผิดศีลธรรมกับคำว่าเพื่อน ด้วยความรู้สึกแบบนี้ เขาไม่สามารถเป็นได้ทั้งเพื่อน และผู้จัดการส่วนตัว
“แล้วก็ไม่มีคนที่รักและเข้าใจอีอูยอนได้ดีเท่านายอีกแล้ว”
กรรมการผู้จัดการคิมเองก็จริงใจพอที่จะพูดคำนี้ นอกเหนือจากความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ คนที่เข้าใจนักแสดงอีอูยอนได้ดีที่สุดและให้คำชี้แนะให้เขาไปในทิศทางที่ดีก็คืออินซอบ ถึงแม้ว่าอาจจะเป็นเรื่องที่โชคร้ายสำหรับอินซอบ แต่เขาก็เป็นคนที่จะหลุดออกจากชีวิตของอีอูยอนไปไม่ได้
“…อย่างนั้นเหรอครับ”
อินซอบพึมพำด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“นี่ ถ้าลำบากใจที่จะพูดไม่ต้องพูดก็ได้”
กรรมการผู้จัดการคิดรู้จักนิสัยเฮงซวยและโสมมของอีอูยอนดีกว่าใครพูดเสริมอย่างระมัดระวัง
“ไม่ครับ ผมจะบอกให้ครับ”
อินซอบรับบทไป
“ก็ได้ วันนี้น่าจะวุ่นวายนิดหน่อย ถ้านายต้องการ จะให้เรียกโร้ดเมเนเจอร์มาเพิ่มอีกคนไหมล่ะ”
เช้าวันนี้ข่าวฉาวถูกปล่อยออกไปโดยไม่สนใจความเห็นของอีอูยอน และอีอูยอนก็สั่งให้ลงข่าวโต้แย้งในหนังสือพิมพ์ภายในวันนี้
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะจัดการอย่างดีเลยครับ”
“ได้ ฉันเชื่อนาย”
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ไประวังๆ ล่ะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นต้องโทรมานะ เข้าใจไหม”
ชเวอินซอบโค้งตัวลาพลางกอดบทเอาไว้ เขาทักทายทุกๆ คนที่เขาเจอระหว่างที่เดินออกจากออฟฟิศอย่างมีมารยาท คนอื่นๆ พูดกับเขาเกี่ยวกับข่าวฉาวของอีอูยอนที่ลงข่าววันนี้ เช่น ‘จริงเหรอคะ แต่ทั้งสองคนนั้นเหมาะกันมากเลยนะ’ ‘แล้วตัดสินใจว่าจะรับมือกับข่าวยังไงเหรอคะ’ อินซอบยิ้มเจื่อนๆ โดยไม่ตอบอะไร เพียงแค่ก้มหัวทักทายเท่านั้น พอเข้ามาในลิฟต์ ไหล่ของเขาก็ลู่ลง
“…เหนื่อยจัง”
อินซอบพึมพำคนเดียว และส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า ‘ไม่สิ’ เขานึกถึงคำพูดที่อีอูยอนพูดที่ดาดฟ้าเมื่อวาน คนคนนั้นบอกว่าจะเป็นนักแสดงที่ดีเพื่อเรา แต่เราดันมาบ่นว่าเหนื่อยกับเรื่องแบบนี้เนี่ยนะ
“สู้เขา! สู้! สู้!”
อินซอบใช้ฝ่ามือตบแก้มจนเกิดเสียงดังพร้อมกับเรียกพลังกายและใจ
“ทำอะไรอยู่ตรงนั้นครับ”
“เฮือก”
อีอูยอนที่ยืนอยู่หน้าประตูยกหมวกที่สวมลงต่ำขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับยิ้ม
“มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”
“ก็คุณอินซอบไม่ยอมมารับผม ผมก็เลยแวะมาที่นี่ เพราะคิดว่าถูกทิ้งแล้วหรือเปล่าน่ะสิครับ”
ชเวอินซอบคิดว่าตัวเองอาจจะคาดการณ์เวลาผิด เลยมองนาฬิกาอย่างรีบร้อน
“ล้อเล่นน่ะครับ เพราะพวกนักข่าวมาออกันอยู่หน้าบ้าน ผมก็เลยเรียกแท็กซี่ออกมา ถ้านั่งรถตู้ออกมาตอนนี้ อาจจะถูกดักที่หน้าทางเข้าที่จอดรถน่ะครับ”
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ทันได้คิดไปถึงเรื่องนั้นเลย”
อีอูยอนจับคางของอินซอบ เขาพลิกหน้าของอีกฝ่ายไปมาเพื่อมองก่อนจะเดาะลิ้นเหมือนไม่พอใจ จากนั้นเขาก็ใช้นิ้วโป้งถูแก้มของอินซอบที่มีรอยแดงๆ เหลืออยู่
“ทำไมถึงทิ้งรอยมือไว้บนของของคนอื่นโดยไม่ได้อนุญาตล่ะครับ”
อินซอบไม่เข้าใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน และถามกลับไปว่า ‘ครับ?’ ส่วนที่ยากที่สุดในภาษาเกาหลีคือคำพูดที่เกี่ยวกับสำนวน แม้เขาจะใช้เวลาศึกษาเองแล้ว แต่คำพูดที่เขาไม่เข้าใจก็ยังมีอีกมาก
“ก็คุณอินซอบเป็นของผมนี่ครับ”
“…!”
ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่ตรงตัว
แม้จะไม่เห็นตาของอีอูยอน เพราะเจ้าตัวดึงหมวกลงต่ำ แต่เหมือนว่าเขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบไหนอยู่ ช่วงนี้บางครั้งอีกฝ่ายก็ยิ้มเหมือนกับเป็นเด็กหนุ่ม และทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น ความขี้เล่นของอีอูยอนจะเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า
“ผมเองยังเสียดายจนไม่กล้าแตะเลยนะครับ ทำไมคุณถึงทิ้งรอยไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตล่ะครับ ผมเสียใจนะ”
อินซอบเหงื่อตกเพราะกลัวว่าใครจะได้ยิน เขาหันไปมองรอบๆ
“ไม่มีใครได้ยินหรอกครับ แล้วถ้าได้ยินจะเป็นอะไรเหรอครับ”
“เบาเสียงหน่อยครับ คำพูดน่ะ ตอนกลางวันหนูจะได้ยิน ส่วนตอนกลางคืนนกจะได้ยิน[1]นะครับ”
พอได้ยินอินซอบพูดสำนวนผิดๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง อีอูยอนก็หัวเราะออกมา
“อย่ากังวลไปเลยครับ ไม่ว่าจะหนู หรือนก ผมก็จะรับผิดชอบจัดการมันเอง”
“…”
พอนึกภาพอีอูยอนถือหนูไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งถือนก เขาก็ขนลุกซู่ขึ้นมา
“รออยู่ตรงนี้เดี๋ยวได้ไหมครับ ผมจะไปเอากุญแจรถก่อน”
“ครับ? ผมเอากุญแจรถมาแล้วนะครับ”
อีอูยอนเดินเข้าไปในลิฟต์ในระหว่างที่อินซอบค้นกระเป๋า เขาบอกว่า ‘ขึ้นไปแป๊บเดียวครับ’ และขึ้นไปด้านบนทันที
ผ่านไปไม่นานอีอูยอนก็ปรากฏตัวพร้อมกับควงกุญแจรถยนต์ไว้ที่มือข้างหนึ่ง ส่วนด้านข้างมีกรรมการผู้จัดการคิมที่ร้องไห้คร่ำครวญเกาะมาด้วย
“ไม่นะ ไม่ได้เด็ดขาด นั่นเป็นรถที่ฉันหวงที่สุดเลยนะ”
“ผมจะหวงให้มากกว่าเองครับ”
“ฉันจะเชื่อคำพูดของฆาตกรฆ่ารถเบนซ์ได้ยังไง ไม่รู้จักคำพูดที่ว่าเมียกับรถไม่ใช่สิ่งที่จะให้ยืมกันได้เหรอ”
“เอ๋ แต่คุณก็ให้หัวหน้าทีมชายืมอย่างดีทั้งสองอย่างเลยนี่ครับ”
ถ้าการแทงคนด้วยปลายลิ้นเป็นความผิด กรรมการผู้จัดการคิมยืนยันได้เลยว่าอีอูยอนคงจะติดคุกติดตะรางไปแล้ว ส่วนหัวหน้าทีมชาก็คงจะแย้งอย่างเกรี้ยวกราดว่า ‘พูดอะไรน่ะครับ ไอ้หมอนั่นมันใช้ลิ้นแทงคนอย่างเดียวหรือไง’
“แล้วนายกับหัวหน้าทีมชาเป็นคนคนเดียวกันเหรอ! ไม่สิ ไม่ใช่แบบนี้ ยังไงก็ไม่ได้ รถคันนี้น่ะ แค่ประตูบานเดียวก็ตั้งหลายวอนแล้วนะ”
“โชคดีไปนะครับที่มีแค่สองบาน”
กรรมการผู้จัดการคิมหน้าซีดปากสั่นระริก
แม้อยากจะตะโกนว่า ‘ฉันจะไล่คนอย่างนายออก’ เป็นร้อยครั้ง แต่ชื่ออีอูยอนมีมูลค่าในตัวเองอยู่มาก ละครที่ถ่ายเมื่อไม่นานนี้ถูกบันทึกว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในจีน และกำไรที่เขาหาได้ก็มหาศาล คนในวงการเรียกอีอูยอนระคนแซวเล่นว่าเครื่องผลิตเงินหยวนเดินได้
“คือว่าผมเองก็มีกุญแจรถนะครับ”
อินซอบเอ่ยแทรกอย่างระมัดระวัง
“วันนี้นั่งรถคันนั้นไปไม่ได้หรอกครับ พวกนักข่าวน่าจะรวมตัวกันอย่างกับฝูงสุนัข”
“ไอ้บ้านี่ พูดแบบนั้นแล้วจะขับรถเฟอร์รารี่สีแดงออกไปเหรอ มันก็เหมือนกับการประกาศให้คนมองมาที่นายนั่นแหละ!”
“ถึงไม่ประกาศ เขาก็น่าจะมองอยู่แล้วนะครับ”
“ถ้าเป็นแบบนี้ นายไม่ออกไปโต้งๆ เลยล่ะ”
กรรมการผู้จัดการคิมโกรธจนเลือดขึ้นหน้าพร้อมกับแผดเสียง อีอูยอนหัวเราะออกมาขณะเดียวกันก็ใช้มือข้างหนึ่งจับคางเอาไว้ พวกคนที่ไม่รู้อะไรมักจะชอบบอกว่าแค่ได้ยินเสียงหัวเราะของอีอูยอนก็หายเครียดแล้ว
“ฮ่าๆๆ กรรมการผู้จัดการ”
แต่สำหรับคนที่รู้สถานการณ์ดีแล้ว นี่เป็นฉากหนึ่งของภาพยนตร์สยองขวัญ
“จะให้ออกไปเลยไหมล่ะครับ”
“…”
“ผมทำได้ดีอยู่แล้วล่ะครับ กรรมการผู้จัดการเองก็ช่วยทำดีๆ กับผมหน่อยนะครับ”
อีอูยอนจัดเสื้อผ้าของกรรมการผู้จัดการคิมให้เรียบร้อยพลางพูดต่อ
“ทำไมถึงลืมว่าข่าวจะออกวันนี้ล่ะครับ ผมเสียใจนะ”
ชเวอินซอบมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายจงใจมาที่บริษัทเพื่อปล้นกุญแจรถยนต์ที่กรรมการผู้จัดการคิมหวงแหน
“คุณคงจะยุ่งเพราะต้องเรียบเรียงเนื้อหาในข่าวตอบโต้ งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะครับ”
อีอูยอนสะบัดมือของกรรมการผู้จัดการคิมออกอย่างเย็นชา และโยนกุญแจรถให้อินซอบ อินซอบรับกุญแจรถมาอย่างไม่คาดฝัน เขามองกรรมการผู้จัดการคิมและอีอูยอนสลับกันไปมา
“…ขับช้าๆ นะ”
กรรมการผู้จัดการคิมสั่งเสียด้วยน้ำเสียงที่เศร้าที่สุดในโลกเหมือนกับปลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง อินซอบพยักหน้าอย่างตั้งใจ เพื่อให้กรรมการผู้จัดการคิมสามารถเบาใจขึ้นได้แม้เพียงเล็กน้อย
[1] คำพูดตอนกลางวันนกจะได้ยิน ส่วนตอนกลางคืนหนูจะได้ยิน เป็นสำนวนที่ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง