ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 1 ตอนที่ 1-7
“อยู่ที่ไหนกันนะ”
อินซอบพลิกเบาะหลังที่ลองหามาสองสามครั้งแล้วอย่างละเอียดอีกครั้งพลางพึมพำ
“หินนำโชคของผมน่ะครับ ผมวางทิ้งไว้ที่เบาะหลัง คุณก็รู้นี่ครับว่าถ้าไม่มีหินนั้น ผมจะถ่ายทำไม่ได้”
ตอนนั้นเป็นครั้งเดียวที่อีอูยอนเอาหินนำโชคมาด้วย หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยพูดถึงหินนั้นอีกเลย แต่น้ำเสียงของอีอูยอนที่กำลังตามหาหินนำโชคน่าเห็นใจมาก อินซอบจึงพยักหน้าแล้วพูดออกไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังว่าจะหาให้เจอให้ได้
“เฮ้อ ไม่เห็นมีเลย”
เขาค้นทุกที่ ทั้งเบาะหลัง เบาะหน้า และแม้กระทั่งกล่องที่อยู่ท้ายรถ แต่อย่าว่าแต่หินนำโชคเลย แม้แต่สิ่งที่ดูคล้ายกับหินก็ยังไม่โผล่มาให้เห็น
กรณีแบบนี้เขาเรียกกันว่า ‘ผีร้องไห้[1]’ หรือเปล่านะ
อินซอบนึกถึงสำนวนที่เคยเรียนในชั่วโมงเรียน และลองจินตนาการดูว่าเสียงร้องไห้ของผีเป็นเสียงแบบไหน แต่เขาก็ต้องรีบหยุด เพราะกลัว
“ทำยังไงดี”
เขาไม่สามารถถามอีอูยอนที่กำลังถ่ายแบบอยู่ได้ อินซอบกัดริมฝีปากเบาๆ อยู่คนเดียว และนึกถึงคนที่เหมาะสมขึ้นมาได้ก่อนจะตบเข่าฉาด
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขโทรออกด่วน หลังจากที่สัญญาณรอสายดังอยู่สองสามครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากปลายสาย
[ฮัลโหล]
“หัวหน้าทีมชาครับ สวัสดีครับ ผมชเวอินซอบเองนะครับ”
[อ้อ อินซอบ มีเรื่องอะไรล่ะ…อีอูยอนก่อเรื่องอะไรอีกเหรอ]
น้ำเสียงของหัวหน้าทีมชาถูกกดให้เบาลง
“เปล่าครับ ไม่ได้มีเรื่องอะไร ขาดีขึ้นแล้วหรือยังครับ”
[ฮ่าๆๆ พอไม่ได้เห็นอีอูยอนก็รู้สึกว่าทั้งร่างกายและจิตใจแข็งแรงขึ้นมากเลยล่ะ]
น้ำเสียงของหัวหน้าทีมชาที่เพิ่งจะผ่าตัดเสร็จไม่นานดูอารมณ์ดีมาก
[ว่าแต่ นายไม่มีทางจะโทรศัพท์มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของฉันหรอก มีเรื่องอะไรล่ะ]
“ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมจะถามอะไรสักหน่อยน่ะครับ”
หัวหน้าทีมชาฮยอนคยูเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนมานานที่สุด เขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายต้องรู้แน่ๆ
“หัวหน้าทีมรู้ไหมครับว่าก้อนหินที่คุณอีอูยอนหวงอยู่ที่ไหน”
[…หินนำโชคเหรอ]
“ครับ เขาบอกว่าอยู่ที่รถ และให้ผมมาหาให้ แต่ผมหาไม่เจอเลยครับ”
แม้แต่ตอนที่คุยโทรศัพท์อยู่ อินซอบก็ค้นหาระหว่างซอกเบาะที่นั่งอย่างละเอียดไปด้วย ความเงียบที่น่าอึดอัดจากปลายสายดำเนินต่อไป อินซอบคิดว่า ‘สายหลุดไปแล้วหรือเปล่านะ’ และลองเรียกหัวหน้าทีมชาอีกครั้งว่า ‘ฮัลโหล’
[คุณอินซอบ บอกมาตรงๆ ก็ได้นะ ทะเลาะกับอีอูยอนเหรอ]
“ครับ? เปล่านะครับ”
อินซอบตอบกลับไปอย่างตกใจ
[งั้นก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ว่าแต่เขาขอให้หาของอันนั้นเหรอ]
อินซอบกะพริบตาปริบๆ เพราะเขาไม่เข้าใจปฏิกิริยาของหัวหน้าทีมชา
“ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ”
พอเขาถามแบบนั้นออกไป หัวหน้าทีมชาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
[เพิ่งจะเคยเจออีอูยอนแค่วันสองวันเหรอ คนแบบนั้นดูเหมือนคนที่เชื่ออะไรบ้าๆ แบบนั้นหรือเปล่าล่ะ คิดว่าหมอนั่นมันเหลือเศษเสี้ยวของความรู้สึกที่บริสุทธิ์แบบนั้นอยู่หรือไง]
“…”
แม้จะอยากเข้าข้างอีอูยอน แต่เขากลับอ้าปากไม่ออก
[นั่นเป็นอุบายของหมอนั่นเวลาจะไล่ผู้จัดการส่วนตัวที่ไม่ถูกใจออกต่างหากล่ะ หมอนั่นจะข่มเหงคนอื่นด้วยหินนำโชคหรืออะไรก็ตามน่ะ]
“ไล่ผู้จัดการส่วนตัวที่ไม่ถูกใจออกเหรอครับ…”
หัวหน้าทีมชาคิดว่าเขาพูดอะไรผิดไปจึงกลั้นหายใจดัง เฮือก เขาพูดว่าไม่ทันที และเปลี่ยนคำพูดเป็น ‘ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ถูกใจคุณอินซอบนะ’
“ไม่หรอกครับ ขอบคุณนะครับที่บอก คุณยุ่งอยู่แท้ๆ ขอโทษด้วยนะครับที่รบกวน”
[ขอโทษอะไรกันล่ะ อันที่จริงงานนั้นเป็นงานของฉัน…ไม่สิ ไม่ใช่งานของฉัน ก็แค่โดนกรรมการผู้จัดการคิมหลอกน่ะ]
หัวหน้าทีมชากัดฟัน อินซอบเองก็รู้ว่าหัวหน้าทีมชาตกลงทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนแค่ชั่วคราว
“งั้นก็ขอให้หายไวๆ นะครับ ผมจะกลับเข้าไปแล้วล่ะครับ เขากำลังถ่ายแบบอยู่”
[โอเค ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรศัพท์มานะ]
อินซอบกล่าวขอบคุณก่อนจะวางสายไป
“เฮ้อ…”
อินซอบเอนหลังพิงกับเบาะ เขาเสียเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง เพราะมัวแต่หาหินที่ไม่มีอยู่จริง อย่างนั้นก็หมายความว่าเรื่องในสวนสนุกก่อนหน้านี้ก็เป็นเรื่องที่อีอูยอนสร้างขึ้นเพื่อที่จะไล่เขาออกอย่างนั้นเหรอ ตอนนั้นเขานึกว่าหัวใจจะหยุดเต้นไปแล้ว เขากลัวมากจริงๆ
อินซอบนั่งเงียบๆ และนึกถึงเรื่องในตอนนั้น นึกถึงอีอูยอนที่เดินเข้ามาหาพร้อมกับบอกว่า ‘จะหาด้วยครับ’ และตัวเขาที่เหมือนคนโง่ที่พยายามจะหาหินนำโชคในน้ำที่เย็นเหมือนกับเป็นน้ำแข็งอย่างสุดชีวิต และหาในชิงช้าสวรรค์ที่หมุนอยู่หลายรอบ จากนั้นอินซอบก็ตระหนักได้ว่า…
เขาไม่สามารถเกลียดอีกฝ่ายได้จริงๆ
อินซอบลุกขึ้นจากเบาะและลงจากรถ เขาล็อกประตูรถและตรวจดูถึงสองรอบ
หลายอย่างเปลี่ยนไป แม้อีอูยอนจะไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนที่ชอบเล่นลูกไม้แผลงๆ แต่เขาก็ไม่ได้กลัวหรือแค้นใจเหมือนกับตอนนั้นแล้ว
แน่นอนว่ามีสิ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย
“…คนนิสัยไม่ดี”
อินซอบพึมพำปนถอนหายใจ และเขาก็เริ่มเดินไปหาคนนิสัยไม่ดีคนนั้น
***
อินซอบลืมตาที่หลับอยู่ขึ้นมา เพราะเสียงใครบางคนเคาะกระจกรถ
“หลับอยู่เหรอครับ”
เป็นอีอูยอนนั่นเอง
“ขอโทษครับ ผมแค่พักสายตาสักครู่เท่านั้น”
อินซอบลุกขึ้นทันทีก่อนจะลงจากรถ
“ผมหาจนทั่วรถแล้วครับ แต่ผมไม่เจอหินนำโชคเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจหรอก มันอาจจะอยู่ที่ไหนก็ได้นี่ครับ”
อินซอบพยักหน้า อีอูยอนเอ่ยถามในขณะที่เอียงคอ เพราะสีหน้าที่ดูเศร้าเล็กนั้น
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”
“เปล่าครับ ผมไม่เป็นไรครับ”
“เพราะไม่ได้ทำมานาน ก็เลยเป็นแบบนี้เพราะเหนื่อยหรือเปล่าครับ”
“…ครับ ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”
อีอูยอนขยี้ผมอินซอบเบาๆ
“งั้นก็พักในรถสักหน่อยนะครับ ผมถ่ายแบบเสร็จแล้ว แต่เดี๋ยวผมขอไปคุยกับผู้กำกับสักพัก แล้วจะกลับมานะครับ”
“ผมจะไปด้วยครับ”
อีอูยอนส่ายหน้าให้กับคำพูดของอินซอบ
“ยังไงผมคุยเสร็จก็ต้องกลับมาอยู่แล้ว ผมไปแป๊บเดียวเองครับ อยู่ที่นี่แหละ”
“…ครับ”
อีอูยอนจากไปทันที อินซอบถอนหายใจพลางเอนตัวพิงกับรถ
เขาโกหก เขาไม่ได้หลับ อินซอบได้ฟังความจริงเกี่ยวกับหินนำโชค เขาจึงเดินกลับเข้าไปในสตูดิโอพร้อมกับหัวเราะไปด้วย เขาคิดว่าจะถามอะไรเล็กน้อยกับอีอูยอนที่ขอร้องในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
คุณคิดอะไรอยู่กันแน่ครับ ตั้งแต่นี้ต่อไปผมจะไม่เชื่อคำหลอกลวงแบบนั้นแล้วครับ
…คำพูดโหดร้ายไปหรือเปล่านะ อินซอบนึกคำที่จะพูดกับอีอูยอนในใจพลางก้าวเดินไปด้วย วินาทีที่เขาเข้ามาในสถานที่ถ่ายทำ อินซอบก็ต้องตกใจ บรรยากาศแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง นอกจากเสียงชัตเตอร์แล้ว เขาไม่ได้ยินเสียงลมหายใจเลยแม้แต่เสียงเดียว ทันใดนั้นอินซอบก็ได้รู้ถึงสาเหตุของความเงียบที่น่าอึดอัดนั้น
อีอูยอนกับนางแบบกำลังนัวเนียกันอยู่ในท่าทางที่เร้าอารมณ์ ปกติแล้วเมื่อถ่ายภาพเสร็จ และตรวจดูในจอมอนิเตอร์แล้ว พวกเขาจะเปลี่ยนท่าโพส แต่การถ่ายทำนี้กลับดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครพูดอะไรเลย
อีอูยอนยื่นแขนออกมากอดเอวของหญิงสาวไว้ และเอาตัวของเธอมาแนบชิดกับเขา ริมฝีปากของอีอูยอนกับนางแบบสาวที่สวมชุดเดรสผ้าซาดินที่เกือบจะเห็นหน้าอกแหล่มิเห็นแหล่แนบชิดกันอย่างน่าหวาดเสียว
เลือดของอินซอบเย็นเฉียบ เขารู้สึกเหมือนมีใครเอาน้ำที่มีน้ำแข็งเย็นเฉียบมาราดใส่เขาตั้งแต่กระหม่อมลงมา เขาต้องกำมือที่เย็นเฉียบและกางออกอยู่ถึงหลายครั้ง ถ้าเป็นขนาดนี้ เราเป็นคนที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้หรือเปล่านะ ถึงขนาดที่ตัวเขาเองก็ยังตกใจเหมือนกัน แต่แล้วเขาก็ได้รู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอีอูยอนตอนทำงานหลังจากที่ยืนยันความรู้สึกของกันและกันจนหมดแล้ว
ริมฝีปากของอีอูยอนคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากของหญิงสาวทั้งยังเปื้อนด้วยรอยยิ้ม
ไม่ชอบเลย…
อินซอบถูมือเย็นๆ เข้ากับกางเกงอยู่ตลอดเวลาก่อนจะก้มหน้าลง เป็นแบบนี้ เขาคงไม่มีแม้แต่หน้าที่จะไปเจอกรรมการผู้จัดการคิม หัวหน้าทีมชา และอีอูยอนแน่ๆ
เขากลับไปที่รถ อยู่ที่นั่นและร้องไห้ออกมาตลอดเวลา
โง่เง่า
นั่นเป็นงานนะ เป็นภาพที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เมื่อก่อน และก็เป็นภาพที่จะต้องเห็นอีกมากในอนาคตด้วย สมองของเขาเข้าใจ แต่ความรู้สึกแย่ๆ กลับไม่หายไปง่ายๆ อินซอบเอนตัวพิงกับเบาะที่นั่งคนขับและหลับตาลง
ลืมมันซะ ลืมมันซะ ลืมมันไปให้หมด
แต่ยิ่งเขาพูดซ้ำไปซ้ำมามากเท่าไร ภาพที่เห็นเมื่อกี้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
อีอูยอนรู้เรื่องนี้ ถึงได้บอกให้เรามาหาหินนำโชคที่ไม่มีอยู่จริงงั้นเหรอ ถ้าอีกฝ่ายคิดว่าเราเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่มีความเป็นมืออาชีพ เขาก็ไม่น่าจะขอร้องแบบนั้นนี่…เราขาดคุณสมบัติในหลายๆ ด้านจริงๆ
สุดท้ายตอนที่อีอูยอนซึ่งถ่ายแบบเสร็จแล้วกลับมา อินซอบก็พูดโกหกออกไป เขาทำเหมือนว่าเขาไม่เคยเห็นภาพในสถานที่ถ่ายทำมาก่อน
แล้วทำไมอีอูยอนที่บอกว่าจะไปแป๊บเดียวถึงยังไม่กลับมาอีกล่ะ หรือว่าเขา…กับนางแบบคนนั้น อินซอบรีบส่ายหน้า อีอูยอนไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก นี่เราเอาความเพ้อฝันของตัวเองมาสงสัยคนอื่นโดยไม่จำเป็นหรือนี่
“เฮ้อ ใช้ไม่ได้จริงๆ”
อินซอบพึมพำก่อนจะเคาะปลายเท้ากับส่วนที่ขรุขระของลานจอดรถ เขาทำแบบนั้นอยู่สักพัก แล้วเขาก็ได้ยินสัญญาณที่บอกให้รู้ว่ามีคนมา เป็นผู้จัดการส่วนตัวของนางแบบที่ถ่ายแบบกับอีอูยอนนั่นเอง พวกเขาสบตากัน อินซอบก้มหัวทักทายอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว ส่วนทางด้านนั้นก็ทักทายผ่านทางสายตา เพราะจำอินซอบได้เหมือนกัน
จากนั้นอินซอบก็ตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังหวังให้อีอูยอนออกมาเร็วๆ เขากัดริมฝีปากเบาๆ
นี่เราทำตัวเป็นเด็กๆ หรือเปล่านะ
ตอนนั้นเองเสียงฝีเท้าก็เข้ามาใกล้ พอเงยหน้าขึ้นมา ไนม่าก็ยืนอยู่ตรงหน้าของอินซอบแล้ว อินซอบมึนงงกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ทำได้แค่มองหญิงสาว
[ฉันขอเบอร์โทรศัพท์ของคนคนนั้นได้ไหมคะ]
“เอ่อ…”
พอเห็นว่าอินซอบไม่สามารถตอบได้ อีกฝ่ายก็เดาว่าเขาคงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และใช้มือทำท่าทางเป็นคุยโทรศัพท์
ทำยังไงดีล่ะ
เสียงหัวใจเต้นตึกตักๆ ดังอยู่ในหู เหงื่อของเขาก็ไหล เขาต้องตอบอย่างเหมาะสมในฐานะของผู้จัดการส่วนตัว แต่ปากของเขากลับอ้าไม่ออก
พอเห็นอินซอบยืนนิ่งหน้าซีดเผือด ไนม่าก็ทำไม้ทำมือขอให้ผู้จัดการส่วนตัวเอากระเป๋ามาให้ เธอหยิบกระดาษกับปากกาออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็เขียนเบอร์โทรศัพท์ยื่นให้อินซอบ
[Give it to him. (เอาให้เขา)]
เป็นคำพูดที่แม้จะจบแค่มัธยมต้นก็สามารถเข้าใจได้ ภาษาเกาหลีของอินซอบใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ เพราะเขาเรียนจากพ่อและศึกษาเองตั้งแต่ยังเด็ก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยู่ในระดับของชาวต่างชาติอยู่ดี ภาษาแม่ของอินซอบคือภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เขาคุ้นเคยมากกว่า ถึงขนาดที่เขาเคยเปิดซีรีส์อเมริกันทิ้งไว้และหลับด้วยความคิดถึงในตอนที่มาเกาหลีครั้งแรก
“เอ่อ คือ…ไอ แค้นท์…สปีค อิงลิช”
หลังจากได้ยินคำตอบของอินซอบ ไนม่าก็หัวเราะออกมา
อินซอบไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้ เขาก้มหน้าที่เห่อร้อนเป็นสีแดงลง ไนม่าพูดทิ้งท้ายไว้ว่าแล้วเจอกัน ก่อนจะจากไปพร้อมกับผู้จัดการส่วนตัว
…อยากตาย
อินซอบทรุดตัวลงไปนั่งในสภาพที่กุมหน้าเอาไว้ เพราะความรู้สึกสมเพชตัวเองที่ตีตื้นขึ้นมา ไอ แค้นท์ สปีค อิงลิชเหรอ ตอนนี้เขาอยากจะวิ่งไปแล้วบอกว่า ‘ผมไม่สามารถให้เบอร์โทรศัพท์ของคุณอีอูยอนซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวได้ แต่ถ้าคุณมีอะไรจะพูด ฝากให้ผมบอกให้ไหมครับ’
อินซอบมองดูกระดาษ ชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ และคำพูดง่ายๆ ว่าหวังว่าจะได้เจอกันคราวหน้านะคะ ซึ่งถูกเขียนไว้ด้วยลายมือที่สวยงาม
“ทำอะไรอยู่ตรงนั้นครับ”
เสียงที่ดังขึ้นเหนือหัวทำให้อินซอบเผลอยัดกระดาษใส่กระเป๋าโดยไม่รู้ตัว
“อะไรเหรอครับ นั่นน่ะ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ คุยเสร็จแล้วเหรอครับ”
อินซอบรีบลุกขึ้นยืนก่อนจะตอบกลับไปอย่างเป็นผู้ใหญ่
“ครับ ผู้กำกับคุยนานเลย”
อีอูยอนยิ้มทั้งๆ ที่แอบนิ่วหน้า
“เหนื่อยหน่อยนะครับ”
อินซอบรีบเปิดประตูรถให้ ขณะที่เขากำลังจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ อีอูยอนก็แย่งกุญแจรถที่อยู่ในมือเขาไป
“วันนี้ผมจะขับเองครับ”
“ครับ?”
อีอูยอนไม่ชอบขับรถ เขาจะจับพวงมาลัยแค่ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น และเกลียดการขับรถตู้เป็นพิเศษด้วย อินซอบเคยลองถามเหตุผลนั้นครั้งหนึ่ง และได้คำตอบที่ชัดเจนกลับมาว่า ‘ผมไม่อยากเอารถเข้าไปชนตอนเห็นคนขับรถเหี้ยๆ บนถนนน่ะครับ โดยเฉพาะรถตู้น่ะ มันใหญ่ ก็เลยไม่ง่ายเลยที่จะขับเข้าไปชน’ หลังจากนั้นอินซอบจึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ส่งอะไรให้อีอูยอนเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวงมาลัยของรถตู้
[1] ผีร้องไห้ หมายถึง เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดไม่รู้ที่มาที่ไป คล้ายๆ กับสำนวนผีบังตาของไทย