ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 4 ตอนที่ 12-9
ใครกันนะ มือใหญ่และกว้างกว่ามือของแม่…ใครกันนะที่ลูบเราอย่างลึกซึ้งขนาดนี้
เขาพยายามจะลืมตา แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฤทธิ์ของยาและความง่วง มือที่ลูบผมอยู่ค่อยๆ ลูบหน้าผากกับแก้มของเขา
อินซอบปวดใจกับไออุ่นของมือนั้นที่เฉียดผ่านไปเพียงชั่วครู่ คนคนนั้นนี่เอง ตอนนี้คนคนนั้นกำลังลูบเราอยู่นี่นา
เราควรจะลืมตาแล้วบอกว่าเราไม่เป็นอะไร
‘ขอโทษนะครับคุณอินซอบ’
น้ำเสียงไพเราะของอีกฝ่ายสั่นไหวอยู่ในความมืด
‘ถึงจะเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ไม่สามารถตัดใจจากคุณอินซอบได้…’
เขาอยากจะถามว่า ‘คุณพูดอะไร นั่นหมายความว่ายังไง’
‘ถ้าตอนนี้ผมรั้งคุณอินซอบเอาไว้ แม้ผมจะรู้ว่ามันไม่ดีต่อคุณอินซอบ แต่ผมก็ยังจะเติมเต็มความต้องการของตัวเองอยู่ดี ด้วยการประมาทอย่างรุนแรงโดยจงใจ’
ประมาทโดยจงใจ ตอนที่ได้ยินคำนั้น เขาคิดว่าการที่ตนเองวนเวียนอยู่ข้างๆ อีอูยอนก็เป็นเรื่องที่ประมาทโดยจงใจเหมือนกัน เรื่องต่างๆ ที่เขาทำโดยเจตนา ทั้งเรื่องที่เขายอมทนอยู่ข้างๆ อีกฝ่าย ในขณะเดียวกันก็คาดว่าตนจะชอบอีกฝ่าย
‘…ไม่ต้องกังวลอะไรนะครับ ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี’
น้ำเสียงนั้นฟังดูไม่มั่นคงราวกับจะสลายหายไปในไม่ช้า ในขณะที่หลับตา เขาก็เกิดความกลัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
‘เพราะฉะนั้น…โชคดีนะครับ’
ริมฝีปากที่อ่อนนุ่มแตะที่หน้าผาก ก่อนจะที่ไออุ่นนั้นจะเลื่อนลงมาสัมผัสที่ริมฝีปากราวกับยังไม่พอใจกับการสัมผัสเพียงครั้งเดียวก่อนจะผละออกไป สัมผัสที่เลือนรางนั้นน่าสงสารและชวนให้ปวดใจจนอินซอบอยากจะกอดอีกฝ่ายไว้ แต่ตอนนี้เขาทำไม่ได้แม้แต่จะขยับปลายนิ้ว
ไม่นะ ก่อนที่เขาจะไป เราต้องตอบว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะผมไม่เป็นไร เราต้องพูดก่อนที่เขาจะออกไปจากห้องพักผู้ป่วย เราต้องลืมตา…
ในสติที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป อินซอบได้ยินเสียงประตูห้องพักผู้ป่วยถูกปิดและรู้สึกเศร้าใจ หลังจากนั้นสองวันเขาถึงได้สติ
จนกระทั่งเขาออกจากโรงพยาบาล อีอูยอนก็ไม่มาหาเขาเลย อินซอบมองกระถางดอกไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าต่างห้องพักผู้ป่วยก่อนจะได้รู้ว่าคำพูดที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ในคืนนั้นเป็นคำบอกลา
***
“เอาล่ะ ขอให้แข็งแรงนะ ฉันรู้สึกไม่ดีเลยที่นายกลับไปด้วยเรื่องแบบนี้”
หัวหน้าทีมชาที่ออกมาส่งตบบ่าอินซอบเบาๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมสิครับที่ต้องขอโทษที่สร้างแต่ความลำบากไว้ให้แล้วก็จากไป ผมเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลตั้งกี่รอบแล้วก็…”
[ปีเตอร์! รีบมาเร็วๆ ถึงเวลาที่จะต้องไปแล้วนะ]
[เดี๋ยวไปครับ รอสักครู่นะครับ]
พอได้ยินภาษาอังกฤษหลุดออกจากปากของอินซอบอย่างเป็นธรรมชาติ หัวหน้าทีมชาก็จิ๊ปากไม่ชอบใจ แม้จะเป็นภาพที่เห็นหลายครั้งแล้วที่ห้องพักผู้ป่วย แต่เขาก็อดรู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้อยู่ดี
“งั้นกลับอเมริกาไปแล้วจะทำอะไรต่อไปในอนาคตล่ะ”
“ผมคิดว่าผมจะพักให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยลองคิดในระหว่างนั้นน่ะครับ”
“จะไม่กลับมาที่เกาหลีแล้วเหรอ”
อินซอบเบิกตาโพลงให้กับคำถามนั้นก่อนจะตอบอย่างอ้อมแอ้มว่า ‘ก็ไม่รู้สิครับ’ หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินพวกพยาบาลคุยกันเสียงดังไม่หยุดก่อนที่อินซอบจะได้รู้ความจริงว่าอีอูยอนสร้างความวุ่นวายอันใหญ่หลวงขึ้นอีกแล้ว
ข่าวร้อนที่ใหญ่โตแพร่ไปทั่ววงการบันเทิง ในขณะที่ผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนถูกสตอล์กเกอร์ทำร้าย กระแสสังคมที่เรียกร้องให้บัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับสตอล์กเกอร์ใหม่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีข่าวที่น่าอบอุ่นใจเขียนว่าอีอูยอนร้องไห้เอะอะและเกาะตัวหมอเอาไว้เพื่อผู้จัดการส่วนตัวที่ตกอยู่ในอันตรายเพราะตนเอง แต่เนื่องจากมีผู้เห็นเหตุการณ์อยู่มาก คราวนี้จึงมีคำพูดลับหลังที่รุนแรง พวกพยาบาลกระซิบกระซาบกันว่าแค่เห็นอีอูยอนก็ขนลุกแล้ว เพราะวันนั้นเขาก่อความวุ่นวายด้วยสภาพที่ไม่มีสติอยู่กับตัว
จนกระทั่งเขาออกจากโรงพยาบาล ชเวอินซอบก็ไม่เห็นอีอูยอนที่โรงพยาบาลเลย ในฐานะชเวอินซอบที่รู้ดีว่านั่นหมายความว่าอย่างไร จึงไม่สามารถพูดได้อย่างไม่ลังเลว่าเขาจะกลับมาที่เกาหลี
“ไม่ต้องมาทำงาน แต่มาเที่ยวเล่นเฉยๆ ก็ได้ ถ้ามาเที่ยวเล่นก็ติดต่อฉันมาแล้วกัน ฉันจะให้ที่นอนแล้วก็จะทำข้าวให้กินด้วย เพราะ…ฉันคงจะได้รับโบนัสเยอะมาก เพราะต้องเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนไปสักระยะหนึ่ง”
สีหน้าของหัวหน้าทีมชาที่พูดแบบนั้นว้าวุ่นเป็นอย่างมาก เขาเศร้าใจที่ต้องมาส่งอินซอบแบบนี้ ในขณะเดียวกันเขาก็ดีใจที่จะได้รับโบนัส แต่พอต้องดูแลอีอูยอนอย่างหมดหวังแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว้าวุ่นใจ
“อินซอบ!”
กรรมการผู้จัดการคิมที่วิ่งเข้าในสนามบินสายโบกมือให้พลางเดินเข้ามาหา
“ยุ่งอยู่นี่ครับ แล้วมาได้ยังไง”
เขาได้ยินว่ากรรมการผู้จัดการคิมอาจจะมาไม่ได้ เพราะวันนี้มีการประชุมปรึกษาหารือเรื่องการสร้างที่สำคัญ
“ไม่ว่ายังไงนายก็จะไปแล้ว ฉันก็ต้องมาสิ ว่าแต่ไอ้อีอูยอนมันไม่มาเหรอ”
ใบหน้าของอินซอบเศร้าลง เพราะคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิม เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะมาส่ง เพราะไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว แต่เขาก็ไม่เห็นอีกฝ่ายเลย
“…เขายุ่งนี่ครับ”
หัวหน้าทีมชาศอกใส่สีข้างของกรรมการผู้จัดการคิมก่อนจะส่งสายตาไปให้
“อ๋อ จริงด้วยๆ วันนี้เขาบอกว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างกับพวกคนญี่ปุ่น แล้วก็บอกว่ายุ่งมากนี่นะ”
อินซอบพยายามยิ้มก่อนจะพยักหน้า เพราะรู้ว่าความจริงแล้วนั่นเป็นคำชี้แจงเพื่อตนเองทั้งหมด
“โอเค ระวังตัวด้วยนะ ไว้ถ้ามาที่เกาหลี ต้องติดต่อมานะ”
“ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมานะครับ”
อินซอบก้มหัวอย่างมีมารยาทให้กับคนทั้งคู่ กรรมการผู้จัดการคิมที่รู้สึกแสบบริเวณดวงตาใช้มือเช็ดน้ำตาจึงรีบหันหน้าไป หัวหน้าทีมชาเองก็ปลายจมูกแดง และตบไหล่ของอินซอบโดยไม่พูดอะไรเหมือนกัน
“อ้อ จริงสิ ช่วยรับไว้หน่อยนะครับ”
ชเวอินซอบยกกระถางดอกไม้ที่วางอยู่ตรงปลายเท้าขึ้นมายื่นให้หัวหน้าทีมชา
“ผมอยากให้ช่วยเอาสิ่งนี้มอบให้คุณอีอูยอนให้หน่อยน่ะครับ”
“อันนี้เหรอ แค่เอาให้เฉยๆ ใช่ไหม”
“…ครับ”
คนที่เอาเคทมาไว้ที่ห้องพักผู้ป่วยจะต้องเป็นอีอูยอนอย่างแน่นอน อินซอบจึงอยากทิ้งสิ่งนี้ไว้ข้างตัวอีอูยอน เขาคิดว่าถ้าวันนี้อีอูยอนมา เขาจะมอบให้ด้วยตัวเอง แต่กลายเป็นว่าเขาต้องยื่นให้หัวหน้าทีมชาอย่างช่วยอะไรไม่ได้ อินซอบส่งเคทให้หัวหน้าทีมชาก่อนจะทิ้งคำพูดฝากฝังที่ไม่สามารถบอกกับอีอูยอนได้ไว้ให้
“บอกให้เขารดน้ำสามวันครั้ง แล้วก็วางไว้ในที่ที่อากาศถ่ายเทดีนะครับ…แล้วก็บอกให้เขาลูบอย่างพอดีด้วยนะครับ เพราะถ้าใช้มือกวนมันมากๆ มันจะตายได้…แม้เขาจะไม่ลูบมันก็ตาม”
“ได้เลย สามวันครั้ง ระบายอากาศ อย่ากวนมัน โอเค”
หัวหน้าทีมชารับกระถางดอกไม้ไปถือไว้ก่อนจะพยักหน้า อินซอบก้มหัวหน้าให้คนทั้งคู่ และเดินไปที่เกทที่ครอบครัวกำลังยืนอยู่ อินซอบหันหลังและมองไปรอบๆ หลายรอบราวกับเศร้าใจ เพราะเขารู้ดีว่าถ้าเขาเดินผ่านเครื่องตรวจเข้าไปด้านในแล้ว เขาจะไม่สามารถออกมาได้อีก
เขาไม่เจออีอูยอนอย่างที่คิด เขาเหลือไว้แต่ความรู้สึกเสียดายและเดินตามพ่อแม่เข้าไปในด่านตรวจคนขาออก พวกเขาสามารถเข้าไปนั่งที่นั่งได้เร็วกว่าคนอื่น เพราะทางบริษัทได้ซื้อตั๋วเครื่องบินเฟิร์สคลาสให้กับอินซอบและพ่อแม่ของเขา
พออินซอบนั่งตรงริมหน้าต่าง แม่ของเขาก็หยิบผ้าห่มออกมาและช่วยคลุมขาให้เขา เขาได้ยินเสียงประกาศที่บอกให้รู้ว่าเครื่องบินกำลังจะขึ้น และเครื่องบินก็ค่อยๆ ลอยขึ้น พอได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังหึ่ง เขาก็นึกถึงคนที่ช่วยจับมือของตนไว้ใต้ผ้าห่มขึ้นมา ตาของอินซอบแดงขึ้นมาอีกครั้ง
[เศร้าเหรอที่จะต้องไปจากเกาหลี]
[…ไม่รู้เหมือนกันครับ]
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเศร้าที่จะต้องไปจากเกาหลี หรือว่าเศร้าที่ไม่ได้เจออีอูยอน อินซอบไม่เข้าใจเลยว่าอีอูยอนสามารถปล่อยเขากลับอเมริกาได้โดยไม่มาเจอหน้าเขาสักครั้งได้อย่างไร
เขาเบื่อเราแล้วเหรอ เราพูดคำที่ไม่ควรพูดกับเขาไปหรือเปล่า…ไม่รู้เลยว่าที่บอกว่ารักออกไป จะสร้างความลำบากใจให้เขาหรือเปล่า เรานึกว่าตัวเองจะตายแล้ว ก็เลยรวบรวมความกล้าพูดออกไป ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เราจะไม่พูดอะไรเลย
[อ๋อ จริงสิ เพื่อนของลูกขอให้เอาสิ่งนี้มาให้น่ะ]
[เพื่อนเหรอครับ]
แม่หยิบสมุดโน้ตเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า และยื่นให้อินซอบ ดวงตาของอินซอบที่ได้เห็นสมุดโน้ตที่คุ้นตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
[เพื่อนคนไหนเหรอครับ ใครเป็นคนเอามาให้เหรอครับ]
[เขาบอกว่าชื่อฟิลลิปน่ะ เป็นเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน เขาเอามาให้ตอนที่ลูกกำลังคุยอยู่เมื่อกี้แล้วก็ไป]
อินซอบลุกขึ้น
[จะไปไหน! ตอนนี้เครื่องบินกำลังลอยอยู่กลางอากาศนะ]
[จะต้องไปครับ ผมยังไม่ได้บอกลาคนคนนี้เลย]
[ไปตอนนี้ก็ไม่เจอหรอก ปีเตอร์ นี่เป็นที่ที่ลูกจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าลูกอยากมานะ]
อินซอบทรุดลงนั่งเพราะคำพูดของแม่ มาตอนไหนกัน แล้วไปอยู่ที่ไหนมา…ทำไมถึงไม่มาลากันเลย…คนนิสัยไม่ดี
อินซอบพ่นคำด่าใส่อีอูยอนอยู่ในใจในขณะที่เห็นว่าเครื่องบินค่อยๆ ห่างออกมาจากสนามบินอินชอนขึ้นเรื่อยๆ ไอ้คนเย็นชา บอกว่าอยู่ไม่ได้โดยไม่มีเรา บอกว่าจะไปโรงพยาบาลจิตเวช ไอ้คนชั่ว ไอ้คนไม่ดีที่ไม่ซื้อกระเช้าผลไม้มาให้เราสักอัน คนไม่ดี…ไอ้ชั่วเอ๊ย
อินซอบมองให้แน่ใจว่าแม่หลับไปแล้ว เขากลั้นน้ำตาไว้และกางสมุดโน้ตที่อีอูยอนยื่นให้ มันเต็มไปด้วยโน้ตเล็กๆ ที่เขาจดไว้เกี่ยวกับอีอูยอนในช่วงที่ผ่านมา ในวินาทีที่ได้เห็นสิ่งนั้นเขาก็จมอยู่กับความคิดทั้งหมด และน้ำตาที่กลั้นเอาไว้อย่างยากลำบากก็ไหลออกมา เขาใช้หลังมือเช็ดน้ำตา และในตอนนั้นเองอะไรแปลกๆ ก็โผล่เข้ามาในสายตาของเขา
มีเครื่องหมายคำถามสีแดงถูกเขียนไว้ใต้โน้ตเกี่ยวกับ CD ที่อีอูยอนชอบและนักเขียนที่เขาสนใจอยู่ช่วงนี้ อินซอบเริ่มอ่านโน้ตที่ถูกเขียนไว้ในสมุดโน้ตอย่างละเอียดอีกครั้ง
ใครบางคนใช้ปากกาแดงวงกลมชื่อของหนึ่งในนักเขียนที่ถูกเขียนไว้ในสมุดโน้ต และวาดเครื่องหมายคำถามทิ้งไว้ ชเวอินซอบไม่มีทางที่จะไม่รู้ความจริงว่าใครคนนั้นคืออีอูยอน
เขาเปิดไปดูหน้าต่อไปของสมุดโน้ต ตรงนั้นมีอาหารต่างๆ กับร้านอาหารที่อีอูยอนชอบกินเขียนเอาไว้ให้สามารถอ่านเข้าใจได้ในครั้งเดียว และเขาก็ทิ้งร่องรอยที่พยายามคิดว่าจะเลือกขนมปังแบบไหนดีในทุกๆ วันเอาไว้ด้วย ปากกาสีแดงเขียนเครื่องหมายกากบาทไว้ตรงร้านอาหารสองสามที่ ส่วนตรงชื่อขนมปังก็มีเครื่องหมายกากบาทและวงกลมถูกเขีนนไว้สลับกัน
นี่มันอะไรกันแน่
อินซอบพลิกไปหน้าต่อไป นี่ก็เหมือนกัน ตรงข้อมูลต่างๆ ที่เขาเก็บรวบรวมไว้เพื่ออีอูยอนถูกตรวจแก้ด้วยสีแดงไว้แน่นเอี้ยด
ไม่ใช่แค่ประโยคยาวๆ หรือคำศัพท์ แต่มีการระบุถึงขนาดอันนี้ดี อันนี้ไม่ดีเอาไว้ และเขาตรวจดูทุกอันโดยไม่พลาดไปแม้แต่อันเดียว อินซอบคิดว่านี่เป็นการล้อเล่นของอีอูยอนหรือเปล่า แต่เขาก็เปิดสมุดโน้ตต่อไป เพราะรู้ว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะเสียเวลากับเรื่องแบบนี้
ตอนนั้นเองกระดาษที่ถูกสอดไว้ตรงกลางก็หล่นลงมา อินซอบกางกระดาษที่หล่นลงมาตรงตักออกอ่าน มันคือเอกสารสัญญา อีอูยอนใช้ปากกาสีแดงขีดเส้นใต้ไว้ตรงระยะเวลาของสัญญาในเอกสารสัญญาที่ทำขึ้นล่าสุด …หมายความว่าเขาจะขอค่าชดเชยสำหรับความเสียหายในการยกเลิกสัญญาเหรอ
อินซอบวางเอกสารสัญญาลง และเขาก็เจออะไรบางอย่างถูกซ้อนไว้ใต้นั้นก่อนจะต้องกลั้นหายใจดังเฮือก
นั่นคือรูปถ่าย เป็นรูปถ่ายในซอยของอีอูยอนที่ถูกเขาใส่ไว้ในช่องลับด้านในของสมุดโน้ต
อีอูยอน…อีอูยอนรู้แล้วเหรอว่าเรามีรูปใบนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่…เขาให้สิ่งนี้กับเราอีกครั้งเหรอ ถ้าเราเอาไปทำอะไรแปลกๆ จะทำยังไงล่ะ จะบอกว่าเชื่อใจเราเหรอ ไม่รู้ว่า…
…คิดอะไรอยู่กันแน่ เราเดาความคิดของคนคนนี้ไม่ได้เลย
อินซอบเลิกที่จะพยายามเข้าใจภายในหัวของอีอูยอน
“ทำไมถึงให้รูปนี้…”
อินซอบตรวจดูอีกครั้งว่ามีใครมองอยู่รอบๆ หรือไม่ และใช้ปลายนิ้วหยิบรูปใบนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง อีอูยอนในรูปกำลังยืนอยู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ตอนแรกเขาคิดว่าอีอูยอนในรูปถ่ายใบนี้น่ากลัวมากๆ แต่พอได้เห็นตอนนี้ เขากลับรู้สึกคุ้นเคย
สิ่งที่เรียกว่ามนุษย์เนี่ย…เป็นสัตว์ที่ปรับตัวได้ยอดเยี่ยมจริงๆ สินะ
อินซอบประทับใจกับการปรับตัวของตัวเองพร้อมกับพิจารณารูปภาพไปด้วย ในระหว่างนั้นเขาก็มองเห็นลายเซ็นที่ถูกเขียนไว้ตรงมุมภาพ
“…”
เซ็นลายเซ็นบนรูปแบบนี้แล้วส่งมาให้อย่างนั้นเหรอ…ช่างสมกับเป็นอีอูยอนจริงๆ
อินซอบถอนหายใจก่อนจะพับรูปเพื่อสอดไว้ในสมุดโน้ต ตอนนั้นเองเขาก็ได้โน้ตง่ายๆ ที่อีอูยอนทิ้งไว้ที่ด้านหลังของรูป เขาพลิกรูปและกางออก ลายมือที่ถูกเขียนไว้ด้วยปากกาสีแดงติดอยู่ในตาของอินซอบ
[Enjoy your vacation.]
ด้วยคำๆ นั้นอินซอบก็เข้าใจความหมายที่อีอูยอนยื่นสมุดโน้ตให้ตนได้ทันที
‘ผมจะให้วันหยุดคุณ พักแล้วกลับมานะครับ
ระยะเวลาสัญญากับคุณยังเหลืออีกสามสิบปีนะครับ
ต่อไปก็ฝากรสนิยมที่ซับซ้อนของผมด้วยนะครับ’
“ฮ่าๆ… …ฮ่า…”
เขาหัวเราะออกมา แม้เขาจะเจ็บตึงแผลที่หลังทุกครั้งที่หัวเราะ แต่เขากลับหยุดหัวเราะไม่ได้ น้ำตาอุ่นๆ ก็ซึมออกมาบนหน้าทันที
อินซอบพิงเบาะที่นั่งอย่างสบายใจได้แล้ว เพราะเขารู้ว่าข้อความที่อีอูยอนส่งให้ตนไม่ใช่จุดจบ แต่หมายถึงการเริ่มต้นใหม่
การท่องเที่ยวที่ยาวนานได้เริ่มขึ้นแล้ว
***