ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 4 ตอนที่ 12-3
“อีอูยอนไม่ใช่เหรอ”
“ไม่มีทาง”
“เหมือนจะใช่นะ ถ่ายหนังอยู่เหรอ”
นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีที่จำอีอูยอนได้พูดซุบซิบ ในบรรดาคนพวกนั้นมีคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปเขาด้วยเหมือนกัน อีอูยอนลูบหน้าผากที่ชื้นเหงื่อและมองไปรอบๆ แม้จะบอกว่าเป็นในเมือง แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่าอินซอบอยู่ที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีอะไรรับรองเลยว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในเมืองไปตลอด
เขาอาจจะไปสนามบินแล้วก็ได้ หรือถ้าได้พาสปอร์ตอีกครั้ง และไปประเทศอื่นที่ไม่ใช่อเมริกา…เราจะหาเขาเจอไหม
พอคิดว่าเขาอาจจะไม่ได้เจอชเวอินซอบอีกแล้วก็ได้ หัวของเขาก็ปวดเหมือนกับถูกผ่าแยกออกจากกัน อีอูยอนใช้มือกุมหัว และพยายามคิดว่าเขาจะต้องเริ่มหาอีกฝ่ายจากตรงไหน จะต้องไปที่ไหนถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะหาชเวอินซอบเจอสูงกันนะ ถ้าหาเจอแล้ว ถ้าหาเจอแล้ว เราต้องทำยังไงกับไอ้หมอนั่นดี
จะต้องเจอชเวอินซอบ เขาคิดว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องหาอีกฝ่ายให้เจอให้ได้ จะต้องหาให้เจอให้ได้
“…ฉันจะฆ่านายแน่”
อีอูยอนพึมพำด้วยหัวใจที่ถูกเผาไหม้จนเป็นสีดำ และกำลังเดือดพล่าน ถ้าเจอชเวอินซอบ เขาจะมัดขากับแขนผอมๆ นั่นไว้ และทำให้อีกฝ่ายไปไหนไม่ได้ เขาจะตัดข้อเท้าอีกฝ่ายทิ้ง เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ทิ้งเขาไปไหนไม่ได้อีก
ถ้าเจอ ถ้าเจออีกฝ่ายละก็
อีอูยอนหายใจไม่ออก ความโกรธของเขาพลุ่งพล่านถึงขนาดที่หายใจไม่ออก เพราะไอ้คนไร้ค่านั่นคนเดียว เขารู้สึกว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายกำลังลุกชัน เพราะความโกรธที่อัดแน่น
เขาไม่มีทางให้อภัยชเวอินซอบที่ยื่นมือเข้ามาเหมือนว่าเข้าใจเขา แต่ก็หนีเขาไปเด็ดขาด ตอนที่ครอบครัวหันหลังให้ อีอูยอนไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่สิ เขากลับคิดว่าโล่งใจซะด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่เคยคาดหวังกับคนอื่นอยู่แล้ว
แล้วเราคาดหวังอะไรจากชเวอินซอบกันแน่ เราคิดไปเองเหรอว่าหมอนั่นจะเข้าใจเราและรับเราได้ทั้งหมด
“ฮ่าๆ…ฮ่าๆๆ…”
เขาหัวเราะอย่างเสแสร้ง ต่อให้วิ่งจนปอดฉีก อย่าว่าแต่หาชเวอินซอบเจอเลย เขาคงไม่เจอแม้แต่ผมสักเส้นของหมอนั่นด้วยซ้ำ เขาตกใจกับความจริงที่ว่าเขาเชื่อใจชเวอินซอบมากถึงขนาดนี้ หมอนั่นเป็นคนที่เคยทรยศเรามาแล้วครั้งหนึ่งนะ ทำไมเราถึงคิดว่ามันเป็นคนที่น่ารักน่าเอ็นดูมากๆ เหมือนกับพระแม่มารีย์อย่างนี้ล่ะ
“…ฮ่าๆ…”
นั่นสิ เป็นคนแบบนั้นนี่นา เป็นคนที่แทงมีดใส่หลังเราในขณะที่บอกว่าชอบเรา แล้วทำไมเราถึงเชื่ออย่างนักแน่นว่าจะกำเขาไว้ในมือได้กันล่ะ
อีอูยอนสั่นสะท้านกับความไม่รอบคอบของตัวเอง
“เอ่อ…ใช่อีอูยอนหรือเปล่าคะ”
ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวยื่นกล้องมาพร้อมกับพูดอย่างระมัดระวัง
“ช่วยถ่ายรูปด้วยกันหน่อยได้ไหมคะ”
อีอูยอนไม่ตอบอะไร และหันหน้าหนีไป หญิงสาวที่ขายหน้ากับปฏิกิริยาของเขาทำปากยื่นพลางพูดว่า ‘อะไรเนี่ย เฮงซวยชะมัด’ ขณะเดินกลับไปหาเพื่อนๆ ‘เขาก็เป็นได้แค่ดาราเท่านั้นแหละ เฮงซวย ไปกันเถอะ นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย ไอ้คนไร้มารยาท กลับบ้านไปนะ ฉันจะเขียนข้อความลงในอินเทอร์เน็ต’ เสียงพูดกระซิบกระซาบกระทบหูอีอูยอน
อีอูยอนหันกลับไป และเดินตรงไปยังจุดที่ผู้หญิงพวกนั้นรวมตัวกัน พอเขาเข้าไปใกล้ ผู้หญิงพวกนั้นก็หันหน้าหนีไป
“ลงเลยครับ”
อีอูยอนพูด
“คะ?”
“ผมบอกให้ลงเลยครับ บนอินเทอร์เน็ตน่ะ”
“วะ ว่าไงนะคะ”
อีอูยอนแสยะยิ้ม ใบหน้ายิ้มของอีอูยอนงดงามจนทำให้หัวใจของคนที่เห็นเต้นตึกตัก แม้จะอยู่ในสภาพสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเปื้อนเลือด ใบหน้าก็เปื้อนเลือด ผมของเขาก็เปียกเหงื่อจนเกาะกันเป็นก้อนก็ตาม
“ลงให้ได้นะครับ ผมจะได้ฟ้องในข้อหาทำลายชื่อเสียงของผม”
พูดจบ อีอูยอนก็เดินไปตามทางที่เดินมาอีกครั้ง แม้จะได้ยินเสียงต่อว่าจากทางด้านหลัง แต่สายตาของเขาก็มองไปที่อื่นเรียบร้อยแล้ว
ผู้ชายผมดำที่สวมเสื้อสีเบจกำลังเดินฝ่าฝูงชน อีอูยอนวิ่งเหมือนคนบ้า เขาจะต้องหาชเวอินซอบให้เจอให้ได้ ถ้าเขาทำให้อีกฝ่ายอยู่ในกำมือได้อีกครั้งละก็ แค่ทำให้อยู่ในกำมือของเขาก็พอ
“…!”
อีอูยอนที่วิ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชนเอื้อมมือออกไป และคว้าไหล่ของผู้ชายตรงหน้า
***
ชเวอินซอบเอ่ยทักทายว่า ‘hi’ กับคู่สามีภรรยาชาวต่างชาติที่มองตนด้วยสายตาแปลกๆ แต่พวกเขากลับไม่ได้ตอบอะไร
ชั้นสิบสองมีห้องพักแขกแค่ห้าห้องเท่านั้น และก็เป็นห้องสวีทหมดเลยด้วย พอมีผู้ชายแต่งตัวซอมซ่ออย่างเขามานั่งเหม่อลอยอยู่หน้าประตูแบบนี้ก็คงจะดูแปลกสินะ
อินซอบเปิดกล่องเค้กออกดูอย่างระมัดระวัง ถึงแม้จะยังดูไม่เป็นอะไร แต่ครีมก็เริ่มที่จะละลายแล้ว
“…ยังถ่ายอยู่อีกเหรอ”
เขาพูดคนเดียวอย่างกระวนกระวายใจ อินซอบปิดกล่องเค้กอีกครั้ง เป็นเรื่องดีที่เขาได้ออกไปซื้อเค้กในเมือง แต่พอมาถึงหน้าห้อง เขาก็ได้รู้ความจริงว่าตัวเองไม่ได้เอากุญแจออกมาด้วย ปัญหาก็คือเขาไม่ได้ทิ้งแค่กุญแจของห้องชั้นสิบสองไว้ แต่ทิ้งกุญแจของห้องตัวเองที่อยู่ชั้นเก้าไว้ด้วย อินซอบจึงนั่งลงหน้าห้องของอีอูยอน และรออีกฝ่ายโดยทำอะไรไม่ได้ เขาอาจจะสวนทางกับอีอูยอนก็ได้ เพราะที่ล็อบบี้ของโรงแรมมีคนเยอะ ถ้าเขารีบมาก็ดีสิ เค้กจะละสายหมดไม่ได้นะ
อินซอบคิดแบบนั้นพลางเบนสายตาไปทางทางเดินที่มีลิฟต์อยู่ เขาได้ยินเสียงดัง ติ๊ง ทุกครั้งที่ลิฟต์หยุด อินซอบคิดว่าถ้าหยุดที่ชั้นสิบสองก็คงจะดี และหันหน้าไปมอง แต่เขาก็ไม่เห็นวี่แววของอีอูยอนเลย บางทีลิฟต์อาจจะหยุดที่ชั้นอื่น
เพราะไม่มีมือถือ ก็เลยลำบากแบบนี้สินะ พวกคนในสมัยที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือเจอกันยังไง แล้วมีชีวิตอยู่กันได้ยังไง เหมือนโทรศัพท์มือถือจะเริ่มแพร่หลายได้ไม่นานนี้เอง…
“…?”
อินซอบเห็นรองเท้าที่คุ้นตาปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาจึงเงยหน้าขึ้น เป็นอีอูยอนนั่นเอง
“บะ…!”
อินซอบเห็นเลือดที่เปื้อนเสื้อเชิ้ตสีขาวของอีกฝ่าย จึงยกมือขึ้นด้วยความตกใจ อีอูยอนจับมือของอินซอบไว้ และบังคับให้เขาลุกขึ้นมาทั้งๆ แบบนั้น อินซอบถูกมือของอีอูยอนลากเข้าไปในห้องก่อนที่เขาจะทันได้ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียอีก
“บาดเจ็บเหรอครับ”
“…”
อีอูยอนไม่ตอบ เขาแค่ทอดสายตามองนิ่งๆ ในขณะที่จับข้อมือของอินซอบไว้เท่านั้น
“ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมครับ”
ชเวอินซอบสำรวจร่างกายของอีอูยอนอย่างระมัดระวังก่อนจะเอ่ยถาม ไม่ใช่แค่ที่เสื้อเท่านั้น แต่หน้าของอีกฝ่ายก็เปื้อนเลือดด้วย และเขาไปทำอะไรมานะ ถึงได้อยู่ในสภาพที่ผมชื้นเหงื่อแบบนั้น
“…เพิ่งกลับมาจากการถ่ายแบบเหรอครับ”
“นาย”
“…?”
“นายไปอยู่ที่ไหนมา”
อินซอบกะพริบตาเหมือนกับหวาดกลัวน้ำเสียงที่ราบเรียบของอีอูยอน
“ฉันถามว่านายไปอยู่ที่ไหนมา”
“…ไปซื้อเค้ก…”
อินซอบยกกล่องเค้กที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาให้ดูในขณะที่พูด
“เพราะเขาบอกว่าที่นี่ดังมาก…ก็เลยมาช้าเพราะแถวยาวกว่าที่คิดน่ะครับ ขอโทษนะครับที่ทำให้รอ”
อีอูยอนร้อง ‘เหอะ’ และกลั้นเสียงหัวเราะสั้นๆ นั้นไว้ เขาเสยผมที่ชื้นเหงื่อขึ้น และก้มลงมองอินซอบ
“รอเหรอ”
“…”
“ฉันรอเหรอ”
อีอูยอนตะโกนด้วยน้ำเสียงเหมือนโกรธ
เขาวิ่งไปวิ่งมาอยู่สามชั่วโมง เขาเข้าไปทุกตึก จนถึงขนาดที่ว่าไม่มีที่ไหนที่เขาไม่ได้เข้าไปดู และทุกครั้งที่เห็นผู้ชายเอเชีย เขาก็จะวิ่งเข้าไปดูหน้าเหมือนกับหมาที่หิวโหย เขาโทรศัพท์ไปที่สนามบินเพื่อบอกชื่อจริงของชเวอินซอบ และขอให้ทางสนามบินแจ้งให้เขาทราบว่าคนคนนี้ออกจากประเทศไปแล้วหรือเปล่า แม้จะรู้ว่าจะต้องถูกปฎิเสธ แต่เขาก็ยังโทรศัพท์ไปหาทุกสายการบิน เขาขับรถไปกลับสนามบินอยู่หลายรอบ เขาวิ่งไปทั่วทุกอาคารของสนามบิน และทุกครั้งที่เจอพนักงาน เขาก็จะเอารูปของอินซอบให้ดูและถามว่าเจอคนคนนี้บ้างไหม
อีอูยอนเทียวไปเทียวมาเพื่อหาชเวอินซอบเหมือนคนบ้า ทั้งๆ ที่รู้ความจริงว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ แต่เขาก็ยังวิ่งต่อไป แม้สมองจะบอกว่าไม่ แต่เขาก็หยุดร่างกายไม่ได้ เขาวิ่งเหมือนกับนี่ไม่ใช่ร่างกายของเขา เขาวิ่งต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งหมดแรง
อีอูยอนวนอยู่ในเมืองจนกระทั่งเขายอมรับความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถหาชเวอินซอบให้เจอได้ ตอนที่กลับมาถึงโรงแรม เขาเข้าไปในห้องของอินซอบก่อน แม้จะแน่ใจแล้วว่าเป็นห้องเปล่า แต่อีอูยอนก็ยังค้นห้องซ้ำแล้วซ้ำอีก ในขณะที่เดินขึ้นบันไดจากชั้นเก้ามาที่ชั้นสิบสอง อีอูยอนก็ยังกล้ำกลืนความจริงอันน่าขมขื่นว่าชเวอินซอบทิ้งตนเองไปแล้วไว้ในคอ ความรู้สึกนั้นไหลผ่านลำคอของเขา และจุดไฟในท้องของเขาขึ้นมา
ความโกรธ ความหมดแรง ความอับอาย และความรู้สึกว่าโดนหักหลังที่เขาโดนหลอกถึงสองครั้ง
ทุกครั้งที่หายใจเข้าไป ความรู้สึกต่างๆ มากมายที่กองทับถมกันก็บีบรัดลำคอของเขา เขาเงยหน้ายอมรับความรู้สึกที่เรียกว่าการตำหนิตนเองเป็นครั้งแรก ทั้งการที่เขาทิ้งชเวอินซอบไว้ในห้องแบบนั้น ทั้งเรื่องที่เขาไม่รู้ว่าเอกสารที่อยู่ในซองคืออะไร แต่ก็สั่งให้เอาไปยื่นให้เอง และมากกว่าอะไรทั้งหมดก็คือเรื่องที่เขามอบหัวใจให้ชเวอินซอบขนาดนี้
เขากล้ำกลืนความรู้สึกที่ขมเหมือนกับเป็นยาพิษในขณะที่เดินไปตามทางเดิน และภาพของอินซอบที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าประตูก็เข้ามาในสายตาของอีอูยอน อีอูยอนคิดว่าดูเหมือนว่าที่สุดในอาการทางจิตของเราก็พัฒนาไปจนถึงขั้นที่เห็นภาพหลอนแล้วก่อนจะหลับตาลงและลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้ๆ สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นภาพหลอนก็ค่อยๆ แสดงความเป็นจริงมากขึ้น และมีชีวิต
เขาจับชเวอินซอบอย่างแรง อีอูยอนลากอินซอบเข้าไปในห้องทั้งๆ แบบนั้น ชเวอินซอบยื่นกล่องเค้กเล็กๆ ให้เพื่อตอบคำถามที่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาอึ้งจนหัวเราะไม่ออกด้วยซ้ำ
“ฉันรอนายงั้นเหรอ”
อีอูยอนตวาดใส่ชเวอินซอบ
เนื่องจากความรู้สึกที่ตนรู้สึกไม่เหมือนกับความรู้สึกของคนอื่น จึงมีช่วงเวลาที่เขาไม่แน่ใจกับการเลือกใช้คำบ้างในบางครั้ง แต่ตอนนี้เขาสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่าช่วงเวลานั้นไม่สามารถบรรยายออกมาด้วยคำว่ารอคอยได้เลย
มันคือความสิ้นหวัง
ช่วงเวลานั้นคือความสิ้นหวังสำหรับอีอูยอนที่ถูกชเวอินซอบทิ้ง
“แม่งเอ๊ย บอกว่าฉันรอนายเหรอ?!”
อีอูยอนตะคอกด้วยน้ำเสียงโมโห การตะคอกนั้นย้อนกลับมาหาเขาเองทั้งหมด
เขาแย่งกล่องเค้กที่ชเวอินซอบถืออยู่ในมือมาและปาลงพื้น พออินซอบร้อง ‘อ๊ะ’ และหันหน้าไปทางกล่องเค้กนั่น อีอูยอนก็บีบคางของอีกฝ่ายเอาไว้ และทำให้อีกฝ่ายกลับมามองตน
“…เพราะผม…มาสาย…”
อีอูยอนปิดปากของอินซอบที่กำลังจะพูดว่าขอโทษไว้เหมือนกับกัด เป็นจูบที่รุนแรงและดุเดือด อีอูยอนใช้มือฉีกเสื้อผ้าของอินซอบทิ้ง อินซอบที่แผลที่ข้อมือยังไม่หายสนิทบิดตัวด้วยความเจ็บปวด แต่อีอูยอนกลับไม่แม้แต่จะแกล้งทำเป็นรับรู้ด้วยซ้ำ
เขาบังคับให้อินซอบนอนลงบนโต๊ะและดึงกางเกงของอีกฝ่ายลง พอเขารูดซิปลง แก่นกายที่มันวาวเหมือนกับตื่นเต้นก็ปรากฏท่ามกลางขนในที่ลับ
“คะ คุณอูยอน ฟะ ฟังที่ผมพูด…โอ๊ย!”
อีอูยอนดันแก่นกายของตัวเองเข้าไปในช่องทางลับของอินซอบโดยไม่มีการเตรียมตัวใดๆ อีอูยอนกระแทกเข้าไปในช่องทางที่คับแคบนั่น และกอดชเวอินซอบเอาไว้ อินซอบน้ำตาไหลและสะอึกสะอื้น เพราะความเจ็บปวดที่ร่างกายโดนแยก อีอูยอนเหมือนจะเป็นบ้าไปแล้ว เขาไม่อยากทำให้ชเวอินซอบบาดเจ็บ แต่มันก็ไม่ไปเป็นอย่างที่เขาตั้งใจ ร่างกายของเขาไม่ฟังคำสั่ง ตรงหน้าของเขาขาวโพลนด้วยความโกรธ เขาแยกไม่ออกแล้วว่าสิ่งที่กำลังวิ่งพล่านอยู่ในตัวคือความปรารถนาทางเพศ หรือความโกรธอินซอบกันแน่
“อ๊า…! จะ เจ็บ…ยะ หยุด…”
อินซอบเกาะโต๊ะไว้ และเอ่ยขอร้องพลางร้องไห้ไปด้วย อีอูยอนมองรอยนิ้วที่ตนเองเป็นคนทำขึ้นเมื่อวานปรากฏอย่างชัดเจนบนข้อมือของอินซอบก่อนจะเอ่ยถาม
“ทำไม ถึง ทำให้ผมเป็นแบบนี้ครับ”
“อื้อ…อ๊ะ ยะ หยุด…ยะ อย่า…!”
“ผมกำลังถามว่า ทำไม ถึงทำให้ผมเป็นบ้าอยู่นะครับ!”
แม้เขาจะรู้ว่านี่เป็นสถานการณ์ที่อินซอบไม่สามารถตอบได้ แต่อีอูยอนกลับเร่งคำตอบ
“ฉันสั่งให้ตอบ! ชเวอินซอบ!”
โต๊ะสั่นทุกครั้งที่อีกฝ่ายดันตัวเข้ามาจนเกิดเสียงดัง พลั่กๆ ร่างกายที่ผอมบางของอินซอบก็ตะเกียกตะกายอยู่บนนั้น ความโกรธของอีอูยอนที่มีต่อฝ่ายนั้นก็มากขึ้นไปด้วยด้วย เพราะความรู้สึกสงสารและรักใคร่ หัวของเขาจะระเบิด เขาคิดอะไรไม่ออกเลย เขาแค่อยากจะครอบครองสิ่งที่อยู่ในกำมือเอาไว้ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม หลอดลมของเขาบีบรัด ส่วนตรงหน้าของเขาก็ขาวโพลนจนเขามองไม่เห็นอะไรเลย อีอูยอนไม่ได้อยู่กับความเป็นจริงอีกต่อไปแล้ว เขากัดริมฝีปากของตัวเองพลางขยับเอว
อีอูยอนปลดปล่อยในขณะที่จับก้นของอินซอบไว้ น้ำรักกับเลือดไหลออกมาตามขาของอินซอบ ภายในของอีกฝ่ายฉีกขาด เพราะเขาสอดใส่เข้าไปโดยที่ไม่มีน้ำหล่อลื่น และเลือดก็ไหลออกมาเรื่อยๆ
“ฮึก…ฮึก…”
เสียงสะอื้นของอินซอบค่อยๆ ทำให้อารมณ์ของอีอูยอนคลายลง ชเวอินซอบนอนคว่ำหน้าและร้องไห้ การมองเห็นของอีอูยอนค่อยๆ ชัดขึ้น สิ่งที่เข้ามาในสายตาของเขาเป็นอย่างแรก ก็คือไหล่ของอินซอบที่สั่นเบาๆ