ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 9-5
“รู้ข่าวเรื่องละครหรือยังครับ”
“รู้แล้ว”
ผู้กำกับกับสถานีโทรทัศน์และผู้เกี่ยวข้องในบริษัทที่ให้เงินทุนมารวมตัวโต้เถียงกันอย่างเร่าร้อนอยู่ระยะหนึ่งว่าจะเอาคังยองโมที่บาดเจ็บออก และแคสติ้งนักแสดงคนอื่นมาแทนก่อนจะถ่ายทำต่อ หรือจะเลื่อนการถ่ายละครไปจนกว่าเขาจะหายเจ็บ ฝั่งผู้กำกับและสถานีโทรทัศน์ได้ติดต่อนักแสดงคนอื่นไปแล้ว เพราะไม่สามารถเลื่อนการถ่ายทำออกไปโดยไม่มีกำหนดได้ แต่พวกคนจากบริษัทที่ให้เงินทุนกลับเอาแต่ยืนกรานให้ใช้คังยองโม ซึ่งนั่นก็เป็นผลลัพธ์ที่แน่นอนอยู่แล้วเพราะบริษัทที่คังยองโมสังกัดอยู่เป็นคนลงทุน พอจุดยืนถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง จึงพอจะเดาได้ว่าความคิดเห็นคงจะแตกออกเป็นลายสายจนทำให้การถ่ายทำไม่ราบรื่น ตอนนั้นเองอีอูยอนที่ฟังอยู่เงียบๆ ก็พูดด้วยเสียงที่เบาแต่เด็ดขาด
‘ถ้าไม่ได้ถ่ายกับรุ่นพี่คังยองโม ผมก็จะถอนตัวจากละครเรื่องนี้ด้วยครับ’
ผู้กำกับมองเขาด้วยสีหน้าเป็นเชิงถามว่า ‘นั่นนายพูดเพ้อเจ้ออะไรของนายอยู่’ แม้คนอื่นๆ จะพยายามห้ามไม่ให้เขาทะเลาะกัน แต่อีอูยอนก็พูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน
‘ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ต้องไปด้วยกันจนสุดทางสิครับ เราเริ่มถ่ายทำกันแล้ว ผมจึงคิดว่าเราไม่ควรเปลี่ยนตัวนักแสดงเรื่องนี้ครับ และผมก็คิดว่าอีวอนชิกในละครเรื่องนี้ นอกจากรุ่นพี่คังยองโมก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้วล่ะครับ’
ท้ายที่สุดการถ่ายทำก็ถูกเลื่อนออกไปจนกว่าคังยองโมจะหายจากอาการบาดเจ็บ แน่นอนว่าทางสถานีโทรทัศน์เองต้องวุ่นวายไปพักหนึ่ง เพราะต้องอุดตารางเวลาของละครที่หายไป ละครที่จะต้องเข้ามารับช่วงต่อจึงต้องเร่งถ่ายทำ และในระหว่างนั้นการจัดตารางเวลาก็เสร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง
ปฏิกิริยาแรกของคังยองโมที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดจากคนอื่นก็คือ ‘อีอูยอนบ้าไปแล้วเหรอ’ จากที่เห็นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ในกองถ่าย แม้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ต่อให้พูดจนปากฉีกก็ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ดี ในทุกๆ ครั้งถ้าคังยองโมหาเรื่อง อีอูยอนก็จะทำเป็นเผชิญหน้าอย่างนุ่มนวล แต่เขาจะไม่ยอมก้มหัวเข้าหาอย่างเด็ดขาด และคนที่รู้เรื่องนั้นดีกว่าใครก็คือคังยองโม แม้จะทำสีหน้ายิ้มน้อยๆ แต่ภายในใจของอีอูยอนกลับดำมืด เขามีลางสังหรณ์ว่าสิ่งเหล่านั้นคือตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย
“นายคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ชวนให้ฉันทำต่อ”
“ผมอยากถ่ายละครกับรุ่นพี่ให้เสร็จครับ”
“ทำไมล่ะ กลัวว่าถ้าไม่ใช่ฉัน เรตติ้งจะไม่ขึ้นหรือไง”
“นั่นเป็นเหตุผลใหญ่เลยล่ะครับ แน่นอนเลย”
คนทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะยิ้ม อินซอบที่ยืนอยู่ข้างๆ เหงื่อตก เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ถูกดูดพลังออกไป
“ว่าแต่โล่งอกไปทีนะครับที่จับคนร้ายได้”
“นั่นสิ แต่ถึงจะเป็นเรื่องบังเอิญก็มีเรื่องบังเอิญที่น่าขำอยู่ด้วยนะ คนร้ายที่เคยทำร้ายนายมาทำร้ายฉันอย่างนั้นเหรอ นายเชื่อไหมล่ะ”
“นั่นสินะครับ มีเรื่องบังเอิญแบบนั้นอยู่จริงๆ ด้วยสินะเนี่ย”
คังยองโมจ้องมองอีอูยอน เขาเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายจะต้องเล่นลูกไม้อะไรบางอย่างอย่างแน่นอน
“แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มาก็คือมันไม่มีหรอกนะ ความบังเอิญน่ะ จะมีก็แต่ความบังเอิญที่ถูกสร้างขึ้นมาเท่านั้น”
“ทำไมล่ะครับ มีสิครับ ความบังเอิญ”
อีอูยอนใช้นิ้วชี้ตัวเองพลางยิ้ม คังยองโมมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นเชิงว่า ‘แกพูดพล่ามอะไรของแก’
“ฮ่าๆๆ โล่งอกไปทีนะครับที่เห็นว่ารุ่นพี่แข็งแรง ผมสบายใจแล้วล่ะครับ”
“อะไรนะ โล่งอกเหรอ”
คังยองโมอยู่ในสภาพใส่เฝือกที่คอ และขาก็หักไปข้างหนึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถเหยียดตรงได้ด้วยซ้ำ แต่อีอูยอนกลับบอกว่าโล่งใจด้วยน้ำเสียงสบายใจอย่างมาก
“ในสายตาของนาย นายมองว่าเป็นเรื่องที่น่าโล่งอกเหรอ”
“ผมจะบอกว่าโล่งอกไปทีที่รุ่นพี่เป็นแค่นี้ ผมเผลอพูดผิดไปน่ะครับ”
อินซอบรู้ดีว่านั่นเป็นจิตใจที่แท้จริงของอีกฝ่ายไม่ใช่การพูดผิด คังยองโมไม่สามารถระงับความโมโหเอาไว้ได้ ใบหน้าของเขากลายเป็นสีม่วงด้วยความโกรธพลางจ้องอีอูยอนเขม็ง พอเห็นอินซอบที่ทำตัวไม่ถูกอยู่ข้างๆ เขาก็หันลูกธนูไปโจมตีอีกฝ่าย
“นี่ นายไปซื้อเครื่องดื่มมาหน่อยซิ”
“ครับ? จะให้ซื้อแบบไหน…”
“ร้านที่อยู่ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลทำน้ำผลไม้สดได้อร่อยมาก นายไปซื้อมาแก้วหนึ่งไป ไม่ใส่ไซรัปนะ”
“ให้ซื้อเป็นผลไม้อะไรดีครับ”
“สตรอว์เบอร์รี”
คังยองโมไม่ยอมให้เงิน และใช้งานเขาอย่างหน้าด้าน พออินซอบทำท่าจะออกจากห้องพักฟื้น อีอูยอนก็รีบคว้าแขนของเขาไว้
“ผมจะไปซื้อเองครับ”
“ครับ?”
“คุณอยู่ที่นี่แหละครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผม…”
ความเยือกเย็นปรากฏขึ้นมาในดวงตาของอีอูยอนที่กำลังยิ้มแวบหนึ่ง อินซอบห่อไหล่ก่อนจะพยักหน้า
“แค่ซื้อสตรอว์เบอร์รีมาก็พอใช่ไหมครับ”
“ใช่ ทำตามใจนายเลย”
คังยองโมไม่สนใจอยู่แล้วว่าใครจะเป็นคนออกไประหว่างสองคนนี้ พออีอูยอนออกไปจากห้องพักฟื้น อินซอบก็เหงื่อแตกมากกว่าเมื่อกี้เพราะทำตัวไม่ถูก เขาเกือบจะเป็นลมขึ้นมาจริงๆ ในตอนที่คุณป้าที่เฝ้าไข้ลุกขึ้นและบอกว่าจะขอไปกินข้าวสักพักหนึ่ง
เมื่อเห็นชเวอินซอบทำตัวไม่ถูกอยู่ตรงมุมห้องพักฟื้น คังยองโมก็เรียกเขาว่า ‘เฮ้ย’
“ครับ?”
“นายได้บอกเรื่องที่ฉันต่อยนายวันนั้นกับอีอูยอนหรือเปล่า”
“ไม่ได้บอกครับ”
วันนั้นอินซอบไม่ได้บอก ตอนที่อีอูยอนถามว่าโดนใครต่อยมาหรือเปล่า เขาก็ตอบไปแค่ว่าล้มเท่านั้น แม้อีกฝ่ายจะไม่เชื่อเขา แต่อินซอบก็ไม่ได้พูดอะไรเลย
“ไม่ใช่ว่านายบอกมันหรือไง มันถึงได้พาเจ้าพวกนั้นมาจากไหนไม่รู้มาฟาดหัวฉันน่ะ”
“ผมไม่ได้บอกจริงๆ นะครับ”
เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้เรายอมไปซื้อน้ำผลไม้สดมาสักร้อยแก้ว แล้วขนขึ้นมายังจะดีกว่า แบบนี้เขาเรียกว่าการประสบเคราะห์อะไรสักอย่างหรือเปล่านะ
“งั้นเหรอ ถ้านายบอกมันเมื่อไหร่ รู้ไว้เลยนะว่าวันนั้นนายจะไม่ได้ยืนอยู่บนโลกนี้อีก”
“…รู้ครับ”
ตอนนี้เขาอยากจะอ้อนวอนจากใจจริงว่าได้โปรด ได้โปรดทำให้ผมหายไปจากโลกนี้ทีเถอะครับ
ตอนนั้นเองคังยองโมก็พูดว่า ‘แม่งเอ๊ย’ ก่อนจะทำสีหน้าไม่ดี
“รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ ให้ผมเรียกพยาบาลให้ไหมครับ”
“นี่ มีกระบอกฉี่อยู่ใต้นั้นน่ะ เอาไปล้างมา”
“ใต้เตียงเหรอครับ”
อินซอบหยิบขวดพลาสติกเล็กๆ ที่วางอยู่ใต้เตียงขึ้นมาดูก่อนจะเอ่ยถาม
“ใช่ เอาไปล้างที”
“ครับ”
แม้จะไม่ได้รู้สึกยินดีอะไรมาก แต่เขาก็พยายามคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ป่วย สมควรต้องช่วยตามที่เจ้าตัวร้องขอ แต่คังยองโมกลับร้องขอในเรื่องที่น่าอายต่อ
“มารองฉี่ไปด้วย”
“ครับ?”
“บอกให้มารองฉี่ไปด้วยไง”
“ให้ผมเรียกคนเฝ้าไข้ดีไหมครับ”
“จะให้รอไปถึงเมื่อไหร่ล่ะ ฉี่จะแตกอยู่แล้ว”
“ให้เรียกคุณพยาบาล…”
“เรื่องอะไรดาราจะต้องมาโชว์ได้นั่นให้พยาบาลดู? คนเฝ้าไข้ที่รับเงินเพื่อมาทำอะไรแบบนี้อยู่แล้วยังไม่เท่าไหร่ แต่รู้บ้างไว้ว่าพยาบาลพวกนั้นปากมากแค่ไหน”
“แล้วผู้จัดการส่วนตัว…”
“ฉันรำคาญเลยไล่ออกไปแล้ว มัวทำอะไรอยู่ล่ะ ฉันบอกให้มารองฉี่ไปไง”
“…”
เราน่าจะไปซื้อน้ำผลไม้แท้ๆ
อินซอบดึงชุดผู้ป่วยของคังยองโมลง และเอากระบอกปัสสาวะไปไว้ตรงนั้น
“เฮ้ย ไอ้โง่ ทำให้มันตรงๆ สิ ไหลออกหมดแล้ว”
คังยองโมหงุดหงิดจนอินซอบสะดุ้ง และดันสิ่งนั้นเข้ามาในปากกระบอกของกระบอกปัสสาวะอีกครั้ง
“หันหน้าไป”
“ครับ…”
อินซอบค่อยๆ หันหน้าหนีไปทางอื่น เพราะอย่างไรเสียมันก็เป็นภาพที่เขาไม่อยากจะมองอยู่แล้ว เขาได้ยินเสียงของเหลวไหลเข้ามาในกระบอกเปล่า
เขารู้สึกเก้อเขิน
อินซอบพยายามคิดเรื่องอื่น และรอให้เวลาที่ไม่น่ายินดีนี้ผ่านไป ตอนนั้นเองประตูห้องพักฟื้นก็เปิดออก อีอูยอนถือกระป๋องเครื่องดื่มไว้ในมือข้างหนึ่งพลางเดินเข้ามา
“ผลไม้สดหมด ผมก็เลย…”
อีอูยอนมองคนทั้งคู่ด้วยดวงตาที่ตกใจ เห็นดังนั้นคังยองโมก็หงุดหงิดและแผดเสียงออกมา
“อะไรวะ ทำไมไม่เคาะประตูก่อน ไอ้คนไม่มีมารยาทเอ๊ย ปิดประตูซะ”
“ขอโทษครับ”
พออีอูยอนเดินเข้ามา อินซอบก็ทำตัวลำบากยิ่งขึ้น สุดท้ายไม่ว่าจะช่วยจัดเสื้อผ้าให้หลังจากที่คังยองโมทำธุระเสร็จแล้ว หรือแม้กระทั่งเอากระบอกปัสสาวะไปล้างให้สะอาดก็เป็นหน้าที่ของอินซอบ
“ไม่รู้สึกไม่สบายตรงไหนแล้วใช่ไหมครับ”
แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อรักษามารยาทที่ดีต่อคนไข้ อินซอบจึงเอ่ยถามขณะจัดเสื้อผ้าให้คังยองโม
“นายที่มันยอมก้มหัวให้คนอื่นอย่างไร้ศักดิ์ศรีจริงๆ”
“…”
“ถ้าฉันถูกขอให้มารองฉี่ ฉันคงเอาฉี่สาดใส่หน้าไปแล้ว ฮ่าๆๆๆ”
ความเจ็บปวดที่คอทำให้คังยองโมที่กำลังหัวเราะจนเห็นลิ้นไก่ทำสีหน้าเหยเก
“แม่งเอ๊ย ให้ตายสิ ฆ่าแม่งให้ตายก็ไม่หายแค้น ไอ้พวกคนสวะนั่นกล้าทำร้ายฉันเชียวเหรอ คลานเข้ามาอาศัยในประเทศของคนอื่น แล้วมาทำเรื่องทุเรศแบบนี้ได้ไงวะ น่าหงุดหงิดจริงๆ”
อีอูยอนซึ่งเป็นคนที่ต่อให้ฆ่าให้ตายก็ไม่หายแค้นจะกัดฟันไปแล้ว มิหนำซ้ำยังเป็นไอ้สวะที่คลานเข้ามาอาศัยในประเทศของคนอื่นสนับสนุนคำพูดของอีกฝ่ายเบาๆ ว่า ‘นั่นสินะครับ’
“ว่าแต่ว่าปกติแล้วพวกผู้จัดการส่วนตัวเนี่ย ต้องเป็นพวกที่ไม่ค่อยมีศักดิ์ศรีแบบนี้อยู่แล้วถึงจะทำงานนี้นี่นะ เด็กสมัยนี้ทำได้ไม่นานก็ลาออก ไม่มีเลือดนักสู้เอาซะเลย”
อินซอบมองคังยองโมที่เคยพูดว่า ‘เพราะรำคาญก็เลยไล่ออก’ และกำลังพูดสิ่งที่ดูไม่เกี่ยวข้องกัน จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบาๆ
ถึงจะโล่งใจที่อีกฝ่ายปลอดภัยดี แต่เขาก็เกลียดคนคนนี้จริงๆ
ตอนนั้นเองคังยองโมก็หัวเราะคิกคักก่อนจะพูดต่อ เพราะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
“อีอูยอน ฉันขอยืมผู้จัดการส่วนตัวของนายหน่อยสิ”
“ครับ? รุ่นพี่หมายความว่ายังไงเหรอครับ”
“ฉันไม่ค่อยสะดวกเท่าไร เพราะไม่มีผู้จัดการส่วนตัว ถึงจะหาใหม่เร็วๆ นี้ แต่พอดีฉันรู้สึกว่าเด็กนี่ดูเหมาะจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวน่ะสิ ทั้งเชื่อฟังและว่านอนสอนง่ายมาก”
คังยองโมชี้อินซอบด้วยการพยักพเยิดหน้า
“ไม่ได้ครับ เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผม”
อีอูยอนยิ้มและปฏิเสธ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองจะแอบเชียร์อีอูยอนในใจหรือเปล่า แต่สำหรับอินซอบในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคังยองโมหรืออีอูยอนก็พอกันทั้งคู่
“เดี๋ยวนายก็จะเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวแล้วนี่ การใช้ให้คนโง่ที่ยอมก้มหัวอย่างไม่มีศักดิ์ศรีอย่างนั้นทำงานหนักน่ะดีจะตาย”
แม้อินซอบจะเป็นคนโง่ที่ยอมก้มหัวอย่างไม่มีศักดิ์ศรีอย่างคาดไม่ถึง แต่เขาก็ไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้ นี่เป็นสถานการณ์ที่ถึงแม้เขาจะถูกซ้ำเติมว่าเป็นคนโง่ที่สุดในบรรดาคนโง่ที่ยอมก้มหัวอย่างไร้ศักดิ์ศรี เขาก็ไม่มีอะไรจะพูด
“ขอยืมสักสามสัปดาห์ ไม่สิ สักเดือนหนึ่งแล้วกัน ฉันจะใช้ให้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ น่ะ”
“ไม่เอาครับ”
ไม่ได้ครับ ไม่ครับ พอได้ยินคำปฏิเสธอย่างเด็ดขาดตอบกลับข้อเสนอที่โยนไปเหมือนแซวเล่น คังยองโมก็มองบนอย่างรุนแรง
“ว่าไงนะ ไม่เหรอ”
“ครับ ไม่ครับ”
“นี่นายพูดว่าไม่กับรุ่นพี่เหรอ นายไม่ยินดีกับการที่รุ่นพี่ที่บาดเจ็บขอยืมผู้จัดการส่วนตัวอย่างนั้นเหรอ เหอะ จริงๆ เลย เดี๋ยวนี้การแสดงมันสบายขึ้นแล้วเหรอ หา? ไม่เห็นหัวรุ่นพี่แล้วหรือไง”
เป็นตรรกะที่ประหลาดมาก ชเวอินซอบเริ่มรู้สึกพะอืดพะอมทันทีที่คังยองโมเริ่มหาเรื่อง เขาคิดแค่ว่าอยากจะออกไปจากที่ที่ไม่สบายใจนี้เร็วๆ เท่านั้น
“ผมจะให้ยืมผู้จัดการส่วนตัวได้ยังไงล่ะครับ”
“นายก็มีผู้จัดการส่วนตัวคนอื่นอยู่เยอะนี่”
“รุ่นพี่เองก็มีผู้จัดการส่วนตัวคนอื่นอยู่เยอะเหมือนกันนี่ครับ ผมมีแค่คุณอินซอบคนเดียว”
‘มีแค่คุณอินซอบคนเดียว’
แม้จะรู้ว่านั่นเป็นคำพูดที่ไม่ได้มีความหมายอะไร แต่อินซอบกลับหน้าแดง
“ทำไมนายถึงยืนทำหน้าแดงอย่างนั้นล่ะ อย่าบอกนะว่าพวกนายสองคนมีความสัมพันธ์แบบนั้นกันจริงๆ ความสัมพันธ์สกปรกๆ น่ะ”
รอยยิ้มต่ำช้าเกิดขึ้นบนริมฝีปากของคังยองโม อีอูยอนยิ้มพลางตอบว่าไม่มีทางหรอกครับ
“ไม่ใช่อย่างนั้นจริงๆ เหรอ เพราะแบบนั้นถึงไม่ยอมให้ยืมหรือเปล่า ให้ตายเถอะ นายกลัวว่าฉันจะกินหมอนั่นหรือไง”
การเหน็บแนมของคังยองโมค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อินซอบที่รู้สึกถึงการดูถูกเหยียดหยามก้มหน้าลง และภาวนาให้การเยี่ยมไข้จบลงเร็วๆ
“รุ่นพี่แซวแรงไปแล้วนะครับ วันนั้นผมก็ขอไปแล้วนี่ครับ…”
อีอูยอนยิ้มก่อนจะจับมือคังยองโมไว้ สีหน้าต่างๆ หายไปจากใบหน้าที่เคยประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ เขาก้มลงมองคังยองโมและพูดต่อด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์เหมือนกระดาษเปล่าสีขาว
“…ว่าต่อไปให้ช่วยระวังหน่อย”
แม้จะเป็นน้ำเสียงที่ละมุนละไมเหมือนผีเสื้อที่เกาะอยู่บนดอกไม้ แต่อินซอบกลับเสียวสันหลังวาบ เพราะรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น
ตอนที่คังยองโมทำตาโตและพูดว่า ‘ว่าไงนะ’ อีอูยอนก็กลับมาทำหน้ายิ้มอีกครั้ง
“ไม่ว่ายังไงก็อย่าแกล้งคุณอินซอบมากนักนะครับ ถึงวันนั้นผมจะพูดไปแล้วก็ตาม แต่เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมครับ”
“แม่งเอ๊ย วันนั้นฉันจะไปรู้อะไรล่ะ ฉันเมาจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพูดอะไรไป ไสหัวไปได้แล้ว รำคาญ”
คังยองโมโบกมือก่อนจะแสร้งทำเป็นสั่งให้ออกไป
“ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ รักษาสุขภาพด้วยครับ”
สวัสดีค่ะ
สิ้นปีนี้ทาง inkstone ได้เข้าร่วมแคมเปญกับทาง fictionlog ในแคมเปญ “เพิ่มตอนซ่อนของขวัญ” มอบความสุขส่งท้ายปีให้นักอ่านทุกท่าน เพื่อตอบแทนทุกกำลังใจที่มีให้กันเสมอมา
โดยจะมีการเพิ่มตอนในช่วงเวลาแคมเปญ จากวันละ 1 ตอน เป็นวันละ 5 ตอน ระหว่างวันที่ 27-31 ธันวาคมนี้ (อัปเดต 4 ตอน เวลา 18.00 และอัปเดต 1 ตอน เวลา 21.30)
และจะมีการซ่อนของขวัญเป็นโค้ดเหรียญทองในเนื้อหานิยายที่ลงในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ โค้ดมีจำนวนจำกัด เจอก่อนมีสิทธิก่อนน้า
และสุดท้าย จะมีการเพิ่มตอนถาวร จากวันละ 1 ตอน เป็นวันละ 2 ตอน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นไป โดยจะอัปเดตเวลา 21.30 เช่นเคยนะคะ
ขออภัยที่ให้รอนานนะคะ และขอขอบคุณที่สนับสนุนกันมาตลอด ทุกคำติชมทางเราจะนำไปปรับปรุงและพัฒนางานต่อไปค่ะ
แล้วพบกันนะคะ